มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake - บทที่ 862
มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 862
“ดาซีกับลูนถือเป็นอัจฉริยะของค่ายสว่างที่มีความสามารถไม่เลวเลย” เก๋อฟูพยักหน้า ทันใดนั้นสายตาก็พลันเป็นประกาย “ลีน่า ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดจะ?”
ลีน่ายิ้มบาง ๆ “หรือว่าเจ้าไม่คิด? ถ้าหากตำหนักเทวสามารถแนะนำอัจฉริยะคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขให้ เมื่อใดที่แดนเบื้องบนรับเข้าไปแล้ว ข้าและเจ้าต่างก็จะได้รับรางวัลที่ที่มีมูลค่ามหาศาล บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาสที่เราจะได้ฝึกตนเป็นเทพก็เป็นได้”
“แต่ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้พลังอ่อนแอเกินไป มีศักยภาพมีพรสวรรค์ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีโอกาสประสบผลสำเร็จสูง มีอัจฉริยะไม่น้อยที่โดดเด่นอย่างมากในตอนแรก แต่ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งไม่มีพลังแล้ว” เก๋อฟูเอ่ย
“ไม่รีบ ดูไปอีกสักระยะค่อยว่ากัน” ลีน่ายกแก้วเหล้าขึ้นมาใกล้ริมฝีปากแดงสด แล้วจิบเหล้าชั้นยอดที่ถูกสกัดมาเป็นอย่างดี
……
ชั้นที่สองของตำหนักเทวมืด มีผู้คนอยู่ราว ๆ ร้อยกว่าคน โดยเฉลี่ย ที่นี่มีทั้งหมดแปดหอคอยเทว จำนวนของผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักร เมื่อรวมกันแล้วก็จะมีประมาณแปดร้อยถึงหนึ่งพันคน
อีกทั้ง จำนวนที่ว่านี้ยังไม่ใช่จำนวนโดยรวมทั้งหมดของผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักรแห่งโลกเชิ่งถิง ในกองกำลังต่าง ๆ ย่อมต้องมีเจ้ายุทธจักรอยู่อีกไม่น้อย ในการประเมินเบื้องต้น จำนวนของผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรแห่งโลกเชิ่งถิง จะต้องมีเกินกว่าสองพันคนเป็นแน่
เมื่อเทียบกันแล้ว จำนวนของเจ้ายุทธจักรแห่งโลกแสงดาว มีไม่มากเท่ากับที่โลกเชิ่งถิงอย่างแน่นอน
จำนวนคร่าง ๆ ของผู้แข็งแกร่งเจ้ายุทธจักร เทียบกับจำนวนของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ มีสถานที่ฝึกตนที่เอื้ออำนวยอย่างหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ จำนวนของผู้แข็งแกร่งมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งโลกเชิ่งถิงจะต้องมีไม่ตำกว่าสองร้อยขึ้นไป กลับกันจำนวนของมหาจักรพรรดิยุทธ์แห่งโลกแสงดาว ก็มีอยู่ราว ๆ หนึ่งร้อนคนเท่านั้น
หากเปรียบเทียบกับหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ การเข้าร่วมแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งโลกแสงดาวนั้นมีเงื่อนไขที่สูงกว่า สามารถเข้าไปได้เพียงแค่ครั้งละ 20 คน อีกทั้งยังต้องเป็นรอทุก ๆ สิบปีจึงจะเปิดครั้งหนึ่ง ไม่เหมือนกับหอคอยแห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เปิดอยู่ตลอดเวลา
เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความปะหลาดใจใด ๆ ให้กับหลัวซิว เพราะว่าโลกแสงดาวเคยผ่านพ้นพิบัติโบราณมาครั้งหนึ่ง เวลาที่ล่วงเลยไปนับหมื่นปียังไม่สามารถที่จะฟื้นฟูให้รุ่งเรืองดั่งเช่นวันเก่าได้เลย
จากคำบอกเล่าของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำ หลัวซิวได้รับรู้เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับยุคสมัยโบราณ โลกแสงดาวในสมัยโบราณ จำนวนผู้แข็งแกร่งนั้นมีมากกว่าโลกเชิ่งถิงในปัจจุบันนี้อย่างมาก
อีกทั้งโลกเชิ่งถิง ถึงแม้ค่ายสว่างและค่ายมืดทั้งสองค่ายใหญ่จะเป็นศัตรูกันมาตลอด แต่ก็มีน้อยครั้งมากที่จะเกิดการปะทะกันใหญ่โตขึ้น พลังการต่อสู้ระดับสูงของเหล่าเจ้ายุทธจักรขึ้นไป ยังพบได้น้อยมากที่จะตกอยู่ในสถานการณ์ตกต่ำ การมีอยู่ของระดับเทพมารนิรันกาลยิ่งเป็นสิ่งที่ทำให้การต่อสู้นั้นเกิดได้ยากมาก
เช่นเดียวกับพิภพต่ำ พลังนั้นก็มีทั้งแข็งแกร่งทั้งอ่อนแอ
“ผลการฝึกตนระดับมหายุทธ์ขั้นห้าก็ขึ้นมาที่ชั้นสองเสียแล้ว ถึงแม้ข้าจะกดพลังของตนเอาไว้แล้ว แต่มองยังไงก็ยังคงเป็นจุดดึงดูดสายตาอยู่ดี น่าจะถูกเหล่าผู้แข็งแกร่งสังเกตุเห็นได้โดยง่าย”
เมื่อมาถึงกลางชั้นสอง หลัวซิวพบว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับเจ้ายุทธจักรจำนวนไม่น้อยมองมาที่ตนด้วยสายตาแปลกประหลาด อีกทั้งยังมีไม่น้อยที่พูดคุยกันถึงเรื่องของเขาที่เกิดขึ้น ณ ชั้นที่หนึ่งของหอคอยเทว
“จะยกระดับผลการฝึกตนขึ้นอีกสักหน่อยดีหรือไม่ เช่นนี้ข้าก็จะสามารถสำแดงพลังที่แข็งแกร่งขึ้นมาได้อีกเล็กน้อย อีกทั้งจะไม่เป็นการดึงดูดความสงสัยของผู้คนอีกด้วย?”
หลัวซิวขมวดคิ้วพร้อมพึมพำ แต่ความคิดเช่นนี้ไม่นานก็ดูเขาล้มเลิกไปเสียก่อน เข้าเพิ่งจะบรรลุถึงมหายุทธ์ขั้นห้าได้ไม่นาน ครั้งนี้หากเสียงยกระดับผลการฝึกตนขึ้น อาจจะเกิดสถานการณ์ที่รากฐานไม่มั่นคง และส่งผลกระทบต่อการเข้าแดนในภายหลังได้
หลัวซิวไม่คาดคิดว่าตนเพิ่งจะขึ้นมาถึงชั้นที่สอง ยังไม่ทันได้เข้าไปท้าประลองกับคนอื่น ความวุ่นวายก็มาหาเข้าถึงหน้าบ้านด้วยตนเองเสียแล้ว
“เจ้าคนจากค่ายสว่างมันยโสเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ก็ท้าประลองที่ชั้นหนึ่งหอคอยเทว ตอนนี้ยังจะมาถ้าประลองพวกเราชั้นที่สองตำหนักเทวมืดอีก?”
“ตำหนักทวยเทพมีพันธสัญญามานานแล้ว ระดับเจ้ายุทธจักรมีการท้าประลองเป็นตายน้อยมาก ต่อให้สู้ โดยทั่วไปต่างก็เป็นการมาโอ้อวดความเก่งกล้าของตนแล้วก็กลับไปเท่านั้น แต่ครั้งนี้คนของค่ายสว่างมาด้วยความยโอโอหังยิ่งนัก”