มีฉันเต็มไปหมด [Yuri/Selfcest] - ตอนที่ 1.2 ในวันที่โลกใกล้ดับสูญ (2)
เสียงเฮลิคอปเตอร์ผ่านเหนือน่านฟ้าดังขึ้นเป็นระยะ ราวกับช่วยยืนยันความโกลาหล
พอมาคิดดูแล้วตอนนี้ฉันค่อนข้างตกที่นั่งลำบากไม่น้อย นอกจากโทรศัพท์มือถือแล้วก็ไม่มีอะไรติดตัว ทั้งอาหารและข้าวของจำเป็น
ถ้าตามภาพยนตร์แนวเอาชีวิตรอดก็ควรหาอาวุธเป็นอย่างแรก…
ฉันมองไปทั่วห้องเก็บของก่อนตัดสินใจยกมือถือขึ้นมา
ไม่รู้ว่าพวกสัตว์ประหลาดมีประสาทสัมผัสด้านไหนบ้าง แต่แสงจากโทรศัพท์ที่ไม่ได้หันไปทางประตูไม่ทำให้พวกนั้นสังเกตเห็นจนบุกเข้ามา
ห้องเก็บของนี้… ถ้าจะพูดให้ถูกคือห้องเก็บอุปกรณ์กีฬา มันตั้งอยู่ไม่ไกลจากห้องเรียนฝั่งมัธยมศึกษาตอนปลาย
ทีแรกฉันอยู่หน้าห้องน้ำชั้นล่างสุด และเห็นว่าครึ่งสนามฝั่งใกล้อาคารยังโล่งอยู่จึงมุ่งมาทางนี้เป็นอันดับแรก
แต่ดูเหมือนหลายคนก็คิดแบบเดียวกัน หน้าประตูห้องเก็บอุปกรณ์กีฬาตอนนี้ถึงได้มีเงาเดินผ่านไปผ่านมาโดยไร้ซึ่งคำพูด
บางทีพวกที่เหลือรอดคงเป็นฝ่ายล่อสัตว์ประหลาดพวกนั้นมา
ถ้าแรกเริ่มวิ่งออกนอกรั้วโรงเรียนไปเลยอาจดีกว่ารึเปล่านะ… ทว่าตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามานึกเสียดายสักเท่าไร
ตรงนี้มีไม้เบสบอลเก่าอยู่สองด้าม… ไม่สิ โรงเรียนฉันไม่ได้สอนเบสบอลสักหน่อย จะเบสบอลหรือซอฟต์บอลก็ช่างเถอะ เอาเป็นว่าใช้เหวี่ยงฟาดได้
ส่วนที่พอจะเป็นอาวุธอีกอันคือแหลน ซึ่งเป็นด้ามเรียวยาว สามารถใช้แทนหอกได้ เหมาะจะเว้นระยะแต่ดูไม่น่าคล่องตัวเท่าไรนัก
ฉันหยิบไม้เบสบอลหนักมาถือไว้ชั่วขณะก่อนวางลงข้างตัว
มันจะดีแล้วจริงๆ หรือเปล่านะ
แรงของฉันไม่ได้มากมายอะไรไปกว่าผู้หญิงในวัยเดียวกัน ถ้าถืออาวุธนี่ไล่จัดการพวกปรสิตหัวแพะอาจจะเหนื่อยตั้งแต่ครึ่งทาง
ไม่รู้จำนวนศัตรู และที่สำคัญคือ… การทำร้ายร่างกายคนอื่น
มีสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากยืนยันให้แน่ใจก่อนเปิดประตูออกไป
เพราะแบบนั้นแบตเตอรี่ที่เหลือจึงเปลี่ยนจากเปิดแสงสว่างมาใช้ค้นหาข่าวอัปเดตเพิ่มเติม แต่ก็ยังไม่มีอะไรชัดเจนพอ
สำนักข่าวใหญ่ๆ คล้ายจะกรองข้อมูลกันอยู่ ส่วนพวกคนบนโซเชียลที่ยังเหลือรอดก็พิมพ์สมมติฐานตีกันมั่วซั่ว ทุกภาษาทุกเชื้อชาติและทุกมุมโลก
ฝั่งประเทศที่อยู่ในเวลากลางคืนน่าจะรับบทหนัก เพราะประชากรส่วนใหญ่คงไม่มีเวลาตื่นตัวรับรู้ได้ทัน
…ยังไม่ทันหารายละเอียดที่ต้องการต่อ เสียงทุบหนักๆ ก็ดังขึ้นติดต่อกันพร้อมฝีเท้าซึ่งใกล้เข้ามาทุกที
ดูท่าจะไม่ได้มากันแค่คนเดียว
ใจเย็นไว้ตัวฉัน ฝีเท้ามั่นคงเดินมาแบบมีจุดหมายชัดเจนอย่างนี้คงเป็นมนุษย์… มั้งนะ
ความไม่แน่นอนทำให้ฉันเพียงมองประตูสั่นไปมา
“เฮ่ย มันล็อกอยู่” เหล่าคนมาใหม่นั้นคุยกัน เป็นสัญญาณให้ผ่อนความตึงเครียดลงเล็กน้อย
“พวกนายเป็นใคร” ฉันส่งเสียงตอบกลับไป
“เธอนั่นแหละเป็นใคร พวกเรามาหาอาวุธเพิ่ม!” เสียงทุ้มตะคอกกลับมา “ถ้าอยากรอดก็เปิดให้พวกเราเข้าไปซะ!”
ถ้าอยากรอดงั้นเหรอ ไม่สิ… จะประมาทไม่ได้
“ฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่านายไม่ได้มีหัวเป็นแพะอยู่” ข้อมูลยังไม่มากพอ ฉันจึงไม่อาจบุ่มบ่ามเสี่ยงชีวิต
สัตว์ประหลาดพวกนั้นเข้าไปฝังอยู่กับศีรษะคนและบังคับร่างให้ทำร้ายมนุษย์ได้ ขอบเขตที่แน่ชัดคือการควบคุมสมอง แม้ส่วนใบหน้าจะเปลี่ยนไปแต่อาจแทรกแซงได้ถึงขั้นพูดคุยหรือเปล่า…
“ข้างในนั้นน่ะ นิลใช่ไหม” เสียงผู้ชายที่ดูใจเย็นกว่าตอบโต้แทนเพื่อน
ให้ตายเถอะ วันโลกาวินาศยังต้องเจอแฟนเก่าอีกเหรอ ฉันเลิกคบผู้ชายมาเป็นปีแล้วนะ
“ถ้ายังไม่ตอบพวกเราจะพังประตูเข้าไปแล้วนะ!” คนโมโหรีบตะโกนใส่ “ไม่มีเวลาแล้ว!!”
น่าสงสัยชะมัดว่าเจ้าพวกนี้ออกมาจากอาคารได้ยังไง
“ได้ ฉันจะเปิดประตูให้” ฉันถ่วงเวลาไว้ก่อนจะกลับด้านโทรศัพท์ยื่นออกไปใต้ช่องว่างประตูครึ่งหนึ่ง และถ่ายรูปด้วยโหมดตั้งเวลา
เจ้าพวกนี้ไม่มีอะไรครอบอยู่บนหัวจริงๆ จึงยอมปลดล็อกให้
ทั้งผู้ชายและผู้หญิงรวมสี่คนกรูกันเข้ามาในห้องเก็บอุปกรณ์ ฉันรีบปิดประตูและกอดไม้เบสบอลกับมือถือของตัวเองไว้
อาวุธที่พวกนั้นพกกันมาเป็นพวกด้ามยาวแต่ดูใช้การลำบาก ทั้งไม้บรรทัดเหล็กที่จะบาดมือได้หากกำแน่นเกินไป ท่อนไม้มีเสี้ยนซึ่งน่าจะเก็บรายทางมา และไม้ถูพื้นกับไม้กวาดสำหรับผลักดันเว้นระยะห่าง
“เฮ่ย ไม้เบสบอลของเธอน่ะ เอามาให้ฉัน” ร่างสูงใหญ่ข่มขู่ “ถ้าอยากรอดก็ส่งมา แล้วจะช่วยพาออกไปข้างนอก”
นับว่าเป็นข้อเสนอที่ไม่ได้เลวร้าย แต่ฉันไม่วางใจใครทั้งนั้น
“นายใช้แหลนเถอะ น่าจะเหมาะมือกว่า” คำพูดฉันทำให้พวกเขาหันไปสังเกตอาวุธอีกชิ้น “ส่วนผู้หญิงคนอื่นน่ะ เอากระบี่ไม้ไปใช้น่าจะไหวอยู่ น้ำหนักคงกำลังพอดีมือ …ฉันรับผิดชอบไม้เบสบอลด้ามนี้เอง”
มันเป็นอาวุธที่แข็งแรงและน่าจะใช้งานได้คงทนที่สุด ฉันจึงไม่อยากปล่อยมือไป
“…” พวกเขาเก็บไปคิดและกระจายข้าวของตามคำแนะนำ
“เพชร” ฉันเรียกชื่อแฟนเก่าและยื่นมือออกไป “ขอสายชาร์จกับหูฟังด้วย”
“เดี๋ยวสิยะ ทำไมเพชรต้องให้เธอด้วย…” นักเรียนสาวที่เกาะติดอีกฝ่ายตั้งแต่ก้าวเข้ามารีบแหวใส่ “เพชร!”
สายสีขาวสองแบบพร้อมหัวเสียบถูกยื่นให้โดยง่าย
“ไม่เป็นไรน่า พวกเรายังแบ่งกันใช้ได้นี่”
“แล้วทำไมต้องให้ยัยนี่…!”
“จะหุบปากกันได้หรือยัง” ฉันเสียบสายเข้ากับมุมห้องเพื่อเติมพลังงานให้มือถือคู่ใจ แล้วหันไปขมวดคิ้วมองผู้มาใหม่ด้วยความรำคาญ “ฉันเปิดประตูให้พวกเธอเข้ามา แถมยังมีข้อมูลที่พวกเธอไม่น่าจะรู้ด้วย ถ้ายังอยากรอดอยู่ก็เงียบแล้วฟังซะ”
ความจริงฉันก็ตกใจที่ตัวเองยอมรับเรื่องราวทุกอย่างได้รวดเร็วขนาดนี้… อาจเป็นเพราะแม่เพิ่งตายไปหรือเปล่านะ เลยรู้สึกว่าต่อไปโลกจะเป็นเวทีที่ฉันกำหนดชะตาของตัวเองได้
“ข้อมูลที่พวกเราไม่รู้…”
“ใช่ เมื่อกี้นายพูดถึงพาออกไปข้างนอกสินะ แต่ว่า… เรื่องนี้เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก” ฉันเลื่อนหาข่าวไปด้วยขณะอธิบาย
สื่อในประเทศเพิ่งลงสรุปสถานการณ์ที่ฉันดูไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ส่วนสื่อต่างประเทศลงข้อมูลใหม่เรื่องรายละเอียดปรสิตขาว
“พวกนายจัดการสัตว์ประหลาดนั่นยังไง”
“พยายามงัดจากใต้คางน่ะ” เพชรตอบด้วยสีหน้าพะอืดพะอม “กระดูกข้างในของมันแข็งเกินไป แต่ถ้าซัดจากคางจะกระทบไปที่สมองให้สั่นสะเทือนได้มากกว่า”
หลักการเดียวกับหมัดอัปเปอร์คัต… นับว่ามีไหวพริบเหมือนกัน
“แต่ถ้าไม่ทะลุเข้าสมองก็จะไม่ตาย มันจะแค่น็อกล้มชั่วขณะ” ข้อมูลในข่าวที่ฉันถืออยู่มีวิดีโอประกอบด้วย “มีตัวอย่างทดลองเข้าห้องวิจัยแล้ว พวกเขาพยายามแกะส่วนปรสิตออกจากร่างมนุษย์”
และนี่คือสิ่งที่ฉันต้องการคำยืนยัน…
“ทั้งปรสิตที่ดึงออกมาและร่างกายที่ถูกใช้ไปแล้วไม่สามารถฟื้นคืนได้อีก” คลิปบนมือถือแสดงภาพสุดสยองไปด้วย ซึ่งนี่หมายความว่าหากถูกแทรกแซงเข้าศีรษะก็เท่ากับตายไปแล้ว “แถมรูปทรงของศพยังประหลาดอีกต่างหาก”
ความรู้สึกผิดในใจคงลดน้อยลงเวลาหันอาวุธเข้าใส่หรือฆ่าพวกนั้นซ้ำเป็นหนที่สอง… ถ้าฆ่าได้น่ะนะ
อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ หากตอนที่อยู่ในห้องน้ำฉันไม่ได้ก้าวหลบไปโดยสัญชาตญาณคงกลายเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
ศพหัวแพะ…
ฉันปรับอารมณ์ให้เย็นลงเพื่อที่จะพร้อมรับมือสถานการณ์ต่อไป
“แล้วพวกเราควรทำยังไงกันดี… พ่อแม่ล่ะ…” เพื่อนร่วมชั้นสาวอีกสองคนตัวสั่นเหมือนลูกนก
เพชรที่ใจหนึ่งก็หวาดกลัวแต่อีกใจก็ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษยังคงยื่นมือเข้าไปลูบหัวแฟนใหม่
แหวะ เลี่ยนเป็นบ้า ฉันเคยคบหมอนี่จริงดิ
“ก่อนอื่นก็ต้องหาอาหาร” ฉันโพล่งขึ้นเมื่อนาฬิกาบอกเวลาเข้าสู่ยามเที่ยงวัน “อย่างที่นายพูด เจ้ากล้ามโต เราควรออกจากโรงเรียนก่อน อย่างน้อยก็หาบ้านสักหลังในละแวกนี้ไว้ปักหลักดูสถานการณ์”
“ไปที่บ้านฉัน…”
“บ้านนายอยู่ในระยะที่จัดการพวกนั้นแล้ววิ่งเข้าไปได้อย่างปลอดภัยทั้งห้าคนหรือเปล่าล่ะ” ฉันรีบโต้กลับความคิดโง่ๆ ทันที “ฉันเข้าใจว่าพวกนายห่วงครอบครัว แต่ห่วงตัวเองก่อนเถอะว่าจะมีหน้าไปพบครอบครัวแบบเป็นๆ รึเปล่า”
“แล้วทำไมต้องบ้านคนล่ะ” ผู้หญิงอีกคนถามขึ้นมา “เป็นพวกร้านสะดวกซื้อไม่ดีกว่าเหรอ”
“จะมีคนคิดแบบนั้นกี่คนกัน” ฉันถามกลับไป “ร้านสะดวกซื้อเหมาะจะไปหาของแต่ไม่เหมาะอยู่อาศัย พวกมันน่าจะถูกล่อไปรวมกันแถวนั้นด้วยซ้ำ หน้าต่างก็เป็นกระจก เตียงนอนก็ไม่มี ใช้พักผ่อนได้งั้นเหรอ”
ทุกคนเงียบลง
“นิลนี่แข็งแกร่งเหมือนเดิมเลยนะ” เพชรยิ้มบางและหยิบไม้เบสบอลอีกอันมาถือไว้ “สถานการณ์แบบนี้ยังใจเย็นวิเคราะห์ได้… สุดยอดไปเลย”
มือของเขาสั่นไหวเมื่อเห็นภาพนรกบนดิน
“ไปร้านตึกแถวซอยด้านหลังกันไหม…” นายกล้ามโตเสนอขึ้นมา “เจ้าของเป็นคนแก่คนเดียว พวกสัตว์ประหลาดหัวแพะนั่นคงไม่เยอะด้วย ประตูเหล็กน่าจะกั้นอะไรได้หลายอย่าง”
“แต่เสียงจากการขยับประตูเหล็กน่าจะลำบากอยู่นะ” ฉันหรี่ตาลงขณะครุ่นคิดไปด้วย
“นั่นสินะ จากที่สังเกตดูพวกมันพึ่งพาทั้งประสาทหูและสายตา” เพชรยกนิ้วขึ้นกัดเล็บด้วยความเคร่งเครียด
“เสียงเฮลิคอปเตอร์อาจพอช่วยได้” ฉันแบมือไปทางแฟนเก่า “ขอสมุดกับดินสอ”
หากเงื่อนไขตึกแถวนั่นตรงตามที่พูดก็คงไม่มีปัญหาสักเท่าไร ฉันจึงใช้เครื่องเขียนขีดวางผังเส้นทาง อธิบายขั้นตอนที่ต้องทำให้แต่ละคน…
พวกเราเก็บของและเปิดประตูห้องอุปกรณ์กีฬา ให้ผู้ชายสองคนเป็นด่านหน้าในการเสยคางสัตว์ประหลาดบนสนามให้หงายล้ม ฉันปรับลมหายใจและก้าวไปตามแผน
ตอนที่เพชรกำลังจะถูกสัตว์ประหลาดอีกตัวเข้ามารุมก็เหวี่ยงไม้เบสบอลเป็นวงสวิงช่วย
“นิล…” เขายิ้มมองอย่างซาบซึ้ง
“รีบไป!” ฉันไม่ว่างมาเล่นบทถ่านไฟเก่าหรือสำนึกเสียใจที่ทำร้ายศพ เพราะพวกเราต้องรอดไปให้ถึงปลายทาง
แต่พวกศีรษะแพะนี่ดูเยอะเหมือนรวมครึ่งโรงเรียนมาไว้ที่สนามอย่างนั้นแหละ… บางทีคงมีพวกหนีออกไปก่อนแล้วล่อมารวมกันตรงนี้
น่ารำคาญชะมัด
ชายเสื้อนักเรียนโบกสะบัดตามการเคลื่อนไหวบนสนามหญ้า กระโปรงจะเปิดเห็นอะไรก็ช่างหัวมันเถอะ เจอตัวที่หลบได้ก็หนี มีตัวที่มาจากด้านหน้าถึงจำใจสู้ พยายามเว้นระยะห่างให้มากที่สุดก่อนจะถูกโอบล้อมหรือไล่ตามได้ทัน
ต้องสลัดจากสายตาและหูของพวกมันให้พ้น
ฉันสอดไม้เบสบอลไว้กับช่องว่างก่อนโยนตัวเองข้ามรั้วอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่มีทักษะด้านกีฬาเป็นพิเศษแต่ความคล่องตัวนับว่าไม่เลวร้าย จึงปีนป่ายออกจากเขตโรงเรียนได้ในไม่กี่วินาทีและรีบดึงอาวุธกลับมาถือไว้ให้มั่น
ผู้หญิงอีกสองคนในกลุ่มนับว่าทำเวลาเร็วไม่แพ้กันยามสถานการณ์คับขัน พวกเราจึงสามารถอ้อมไปซอยด้านหลังได้โดยจัดการสัตว์ประหลาดตามถนนเพียงไม่กี่ตัว
เพราะโรงเรียนนี้ตั้งอยู่ในซอยลึกด้วยแหละนะ… นอกจากตัวโรงเรียนแล้วความหนาแน่นของประชากรก็ไม่สูงนัก ตอนฝ่าอุปสรรคมาถึงร้านขายของชำด้านหลังจึงยังไม่เกินชั่วโมงพักเที่ยง
ส่วนที่น่าสลดคือร่างเจ้าของร้านลงไปนอนอาบเลือดกับพื้นอยู่ก่อนแล้ว… ขนมไม่ได้พร่องลงจากชั้นมากนัก ซึ่งหมายความว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามาก่อนหน้าพวกเรา
สัตว์ประหลาดหัวแพะงั้นเหรอ…
แต่จะมาแล้วไปแล้ว หรือมาอยู่ข้างในตึกแถวกันล่ะ ถ้าเกิดการต่อสู้ในที่แคบจะเสี่ยงและลำบากเกินไปรึเปล่า
ระหว่างที่ทุกคนในกลุ่มกำลังกดดันหนัก ฉันกลับคว้าห่อขนมขึ้นมากินเอาแรงก่อน
เพราะพวกร่างปรสิตยังไม่ไล่ตามมาจึงคล้ายสลัดตัวด้านหลังพ้น และซอยนี้ก็เปลี่ยวคนใช้ได้เหมือนกันจึงพอได้พักหายใจหายคอ
“ทำตามแผนไปก่อนเถอะ” เพชรเสนอความเห็นท่ามกลางความตึงเครียด “รอเสียงเฮลิคอปเตอร์”
พวกเรารับประทานมื้อเที่ยงอันไม่ค่อยมีสารอาหารนัก และเมื่อแว่วเสียงเครื่องยนต์ทางอากาศก็รีบช่วยกันดันประตูเหล็กปิดลง