มีฉันเต็มไปหมด [Yuri/Selfcest] - ตอนที่ 1.3 ในวันที่โลกใกล้ดับสูญ (3)
ไฟด้านในตึกแถวถูกเปิดรอไว้ก่อนแล้วจึงไม่ได้มืดลงเท่าไรนัก
แต่ไม่มีใครกล้าก้าวเข้าไปลึกกว่านี้ แม้ควรตรวจสอบว่าประตูหลังร้านล็อกอยู่หรือเปล่าก็ตาม
ส่วนหนึ่งเพราะกลัวว่าจะมีอะไรบางอย่างอยู่ด้วย และอีกส่วนคือศพที่อยู่ตรงกลางร้าน
อย่างน้อยตอนพวกเราเหนื่อยหอบกันอยู่เพราะการวิ่งออกจากโรงเรียนโดยไม่คิดชีวิตก็ควรพักเอาแรงสักนิด…
ฉันหาช่องเสียบไฟเพื่อชาร์จมือถือต่อ จากนั้นก็นั่งลงและเปิดหาข่าวระหว่างกินขนม
“เธอฟังข่าวที่ไหนเนี่ย” แฟนใหม่ของแฟนเก่ายื่นหน้าเข้ามาดู “นี่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษนี่”
“ก็ต้องเปิดเทียบหลายๆ สื่อเผื่อมีอะไรใหม่ไง” ฉันเหนื่อยจะอธิบายเรื่องพวกนี้ เพราะพูดไปก็เสียเวลาเปล่า
สถานการณ์คับขันระดับโลก แต่ละประเทศย่อมต้องมีการทดลองและวิจัยหาความจริงไปด้วย อย่างตอนนี้สหรัฐอเมริกากับยุโรปเน้นไปที่ปรสิตหัวแพะ ส่วนจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และรัสเซียกำลังสืบหาข้อมูลของสายรัดสีดำซึ่งทำลายไม่ได้
แน่นอนว่าฉันไม่ได้อัจฉริยะขนาดฟังออกเป็นสิบภาษา แต่เปิดตัวจับคำแปลข้อความเป็นภาษาอังกฤษคู่ไปด้วยต่างหากถึงเข้าใจ ส่วนภาษาจีนพอจะไปวัดไปวาได้บ้าง
“ทั้งหมดนี่น่ะ… พวกเราไม่ได้กำลังฝันอยู่ใช่ไหมคะ” สาวน้อยที่เงียบมาตลอดทางบีบน้ำตาร้องไห้
“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร…” พวกผู้หญิงปลอบกันเองในขณะที่ฉันยังคงหาข่าวฟังต่อ
จู่ๆ ทางการญี่ปุ่นก็มีประกาศว่าจะแจกจ่ายสายรัดข้อมือให้กับประชาชนทุกคนที่ยังเหลือรอดโดยเร็วที่สุด
ตามมาด้วยจีน รัสเซีย เกาหลี สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป…
เนื้อหาไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของสายรัดข้อมือสีดำ แต่การประกาศด่วนพร้อมกันของประเทศชั้นแนวหน้าชวนให้หวั่นเกรงว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล
ไม่นานในไทยเองก็ประกาศว่าจะแจกจ่ายสายรัดข้อมือสีดำตามที่ว่าการอำเภอ
“พวกเราต้องรีบไป” ฉันลุกขึ้นเมื่อฟื้นกำลังมาได้หลายส่วน
“สายรัดข้อมือสีดำ… มันมีอะไรงั้นเหรอ” เพชรที่ฟังอยู่ด้วยนั้นขมวดคิ้วให้กับข่าวใหม่
“ไม่รู้” คำตอบนี้ทำให้ทุกคนเบิกตากว้าง “แต่มันต้องเกี่ยวข้องกับพวกปรสิตและหมอกสีขาวแน่”
กล่องของขวัญบรรจุสายรัดข้อมือสีดำหล่นจากท้องฟ้าของแต่ละเมืองพร้อมกันทั่วโลก… มันต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ทุกประเทศออกประกาศเร่งด่วนแบบนี้
ฉันมองหากระเป๋าผ้าซึ่งแขวนขายในร้านและคว้าอันขนาดกลางมาใส่ขนมกับข้าวของลงไปเท่าที่จำเป็น
แบตเตอรี่เองก็ชาร์จเต็มแล้วเช่นกัน
“ต้องไปจริงเหรอ” นักเรียนหญิงต่างห้องแสดงความหวาดกลัวออกมาทางสีหน้า “ทำไมเธอถึงมีสิทธิ์สั่งพวกเราไปไหนมาไหนด้วยล่ะ”
“นิล ไม่มีเหตุผลบอกพวกเราเลยสินะ” เพชรสบตาฉันคล้ายใจอ่อน
“ไม่มี” ฉันเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองว่าต้องไปเอาสายรัดข้อมือสีดำนั่นให้ได้ “พร้อมจะอยู่รอดไปด้วยกันหรือเปล่าล่ะ”
“เดี๋ยวสิ เพชรน่ะแฟนฉันนะ! เธอเป็นแค่แฟนเก่าแท้ๆ ทำไมต้องส่งสายตาให้กันแบบนั้นด้วย!?”
“จะบ้าหรือไงที่มาคิดเรื่องนั้นเอาตอนนี้” คุยกับพวกนี้แล้วเหนื่อยชะมัด “ฉันไม่สนใจผู้ชายมาเป็นปีแล้ว และถ้าเธอยังไม่สบายใจอีกก็บอกเลยว่าฉันไม่สน นั่นเป็นปัญหาของเธอ”
“เธอก็เป็นแบบนี้ตลอด ปั้นหน้าสวยๆ เรียนในห้องคิง ทำตัวเหมือนไม่เห็นใครอยู่ในสายตา… เหมือนกับว่าพวกเราไม่ได้อยู่ระดับเดียวกัน!” อีกฝ่ายระเบิดอารมณ์ออกมา “ใช่สิ ยัยคนเพียบพร้อม หน้าตาดี บ้านรวย หัวไว แค่กระดิกนิ้วก็มีคนเข้าหาแล้วใช่ไหมล่ะ ฉันรู้นะ ลับหลังคงอ้าขาให้ผู้ชายไปทั่วเลยสิ กับเพชรก็เคยเอากันมาแล้วนี่!!”
ฉันหันมองแฟนเก่าที่ทำท่าคล้ายรู้สึกผิดแทนคนต่อว่า “พูดจบแล้วจะไปกันได้หรือยัง”
“ฉันไม่ไป” ตัวปัญหานั่งปักหลักอยู่กับพื้นร้าน
“ฉันไป” เจ้ากล้ามโตลุกขึ้นมายืนข้างๆ โดยไม่บอกเหตุผล
“นายขับรถเป็นไหม” ฉันไม่สนใจคนที่จะแยกจากกัน จึงหันมาดูทักษะของเพื่อนร่วมทีมแทน
“เป็น” เขาตอบนิ่งๆ “แต่ต้องมีรถให้ขับด้วย”
สองขาของฉันก้าวข้ามศไปดูเคาน์เตอร์และมองหากุญแจรถยนต์
หากร้านนี้มีผู้ดูแลคนเดียวก็คงมีพาหนะสำหรับเคลื่อนย้ายสินค้าหรือเติมของเข้าร้านอยู่… แล้วก็ถูกเผง ฉันหากุญแจรถยี่ห้อตลาดเจอดอกหนึ่งอยู่ในลิ้นชัก
แต่ความเงียบทั่วร้านทำให้รู้สึกแปลกประหลาด
เมื่อหันกลับไปมอง นักเรียนชายคนหนึ่งซึ่งมีหัวเป็นแพะก็กำลังง้างกรงเล็บเล็งมาที่ฉัน
เวร!
ฉันกลิ้งหลบไปด้านข้างก่อนจะตั้งหลักเตะตัดขาให้มันล้มลง จากนั้นก็ลุกขึ้นใช้ไม้เบสบอลหวดจากใต้คางมันแทนกระดูกแข็งด้านบน
แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไร…
“นิล ถอยออกมา!” เพชรเรียกให้ฉันคว้ากระเป๋าผ้ากับกุญแจรถหลบ
แหม ช่วยได้มากเลยมั้งคะ
ไม้เบสบอลของฉันกลิ้งไปตามพื้นตอนวิ่งหนี และมันก็คว้าเอาไว้ด้วยอุ้งมือเล็บแหลม ทำให้เจ้าหนุ่มหัวแพะมีอาวุธเพิ่มระยะโจมตี
ให้ตายเถอะ อันตรายขึ้นไปอีกเท่าตัว!
“ไปที่ประตูหลัง” เจ้ากล้ามโตให้สัญญาณและหาช่องว่างแทงแหลนเสยจากใต้คางซ้ำ
เป็นภาพที่ชวนสยองชะมัด แต่ด้วยรูปแบบนี้แล้วก็ทำให้อีกสองสาวตามมาด้วยแหละนะ
พอเปิดประตูหลังพวกเรารีบมองหารถอีกฝั่งของตึกแถวจนเจอกระบะยี่ห้อเดียวกับตราบนกุญแจ ทว่าไม่ไกลออกไปก็มีปรสิตขาวเช่นกัน
เจ้าของร่างใหญ่ตามมาคว้ากุญแจจากฉันและขึ้นไปบนรถ
ฉันจึงเร่งไปฝั่งตรงข้ามเพื่อเปิดประตูเข้าสู่ข้างใน
พวกเพชรตามมาทีหลัง ฉันจึงได้ที่นั่งด้านหน้าสุด ส่วนสองสาวกับเพชรเบียดอยู่เบาะท้าย
คนขับรถเป็นเพียงคนเดียวเริ่มเดินเครื่อง ฉันแอบลักจำวิธีขับเกียร์กระปุกไว้เผื่อสถานการณ์ฉุกเฉินต้องเปลี่ยนคนขับกลางทาง
คิดแผนสำรองเผื่อสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเอาไว้ก่อนดีกว่ามาแก้เอาตอนเกิดเรื่อง ฉันไม่ไว้ใจว่าจะรอดไปด้วยกันได้ทั้งห้าคนเท่าไรนัก
รถของพวกเราเบี่ยงหลบการปะทะกับปรสิตและมุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่ตามจีพีเอสที่ฉันเปิดหาปลายทาง ทว่าก่อนจะไปถึงที่ว่าการ ถนนใหญ่ก็ดูหายนะไม่แพ้กัน
บนพื้นยางมะตอยมีซากรถไฟลุกอยู่ หลายต่อหลายคันถูกทิ้งขวางถนนไว้โดยไร้ซึ่งคนขับ แม้จะมีช่องว่างให้แทรกเปลี่ยนเลนอยู่บ้างแต่ก็ต้องชนกับพวกหัวแพะที่เดินไปเดินมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เสียงเห่าของสุนัขข้างทางทำให้รู้ว่าพวกมันมีเป้าหมายแค่มนุษย์เท่านั้น… แต่ทำไมกันล่ะ
หนุ่มกล้ามโตขับไปขับมาก็ต้องเลี้ยวเข้าซอยเพราะเจอซากรถเรียงขวางเต็มหน้ากระดาน
เขาถือโอกาสขับไปอีกทางซึ่งไม่ตรงตามจีพีเอส
“นี่…!” ฉันท้วงทันที
“บ้านฉันอยู่ใกล้แค่นี้เอง ขอแวะหน่อยเถอะนะ” เขาอ้อนวอน ซึ่งนี่คงเป็นจุดประสงค์หลักในการอาสาขับรถ “น้องสาวฉันก็ถูกพวกมัน…”
คำพูดของเขาทำให้ทุกคนในกลุ่มนิ่งเงียบ
รถกระบะถูกใช้เหยียบทับร่างปรสิตในซอยซ้ำไปซ้ำมาจนแน่ใจว่าพวกมันตายสนิท จากนั้นก็ลุกเข้าไปยังบ้านจัดสรรหลังหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยล้าและต้องการที่ซุกหัวนอนอยู่หรือเปล่า เพชรกับสาวๆ เลยตามไปด้วย
ฉันพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามต้องการ
แต่จะเปรียบว่าคนพวกนี้เป็นตัวถ่วงก็ไม่ถูกนัก เพราะครอบครัวฉันมีแค่แม่ซึ่งตายไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนจึงไม่มีอะไรให้ห่วงกังวลเหมือนพวกเขา
แม่ห่วยๆ พรรค์นั้นก็น่าอิจฉาซะจริง ที่ชิงไปอย่างสงบก่อนโลกวิบัติ
“กรี๊ดดด! เพชร!!”
เสียงตะโกนจากในบ้านทำให้ฉันขมวดคิ้วและโยนตัวข้ามเบาะมาฝั่งคนขับ ปลายนิ้วกดปุ่มล็อกประตูโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันอันตรายภายนอก กระนั้นก็ยังหมุนกระจกลงเล็กน้อยเพื่อให้ได้ยินความเป็นไป
“นายจะทำอะไร!? ไม่นะ!” แฟนของเพชรกรีดร้องอย่างหนักและวิ่งออกมาหน้าประตูบ้าน
“ทำอะไรน่ะเหรอ… ไม่เห็นหรือไงว่าฉันไม่เหลืออะไรแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า!” เสียงเจ้ากล้ามโตฟังดูเศร้าโศกกึ่งประชดประชัน เขาตามมาลากขาเพื่อนร่วมชั้นไม่ให้หนี “ฉันชอบเธอนะ ชอบมานานแล้ว… ตอนนี้เพชรมันก็ไม่อยู่แล้ว… มาเป็นของฉันเถอะ”
โลกแตกเถอะ
ไม่สิ ก็เรียกว่าโลกาวินาศอยู่แล้วนี่
ไอ้ที่เข้าไปเนี่ยเจออะไรบ้างวะคะ… ครอบครัวโดนปรสิตเข้าตัว? พวกมันฆ่าเพชรตายสนิทแล้วช่วยไม่ทัน? แบบนี้เหรอ? สาวอีกคนล่ะ? ตายไปพร้อมกันไหม? แล้วนี่คือจัดการพวกหัวแพะได้แล้วใช่ปะ?
“อ๊า! ไม่!!” ชุดนักเรียนของแม่สาวคนสวยถูกฉีกออกซะแล้ว
ไอ้ฉันมันก็ไม่ใช่คนใจดำขนาดมองคนอื่นถูกกระทำอยู่เฉยๆ ด้วยสิ
เพราะอย่างนั้นเลยสตาร์ตรถแล้วเลียนแบบวิธีขับเกียร์กระปุกออกจากซอยอย่างทุลักทุเล…
อะไรนะ ฉันใจดำ ไร้มนุษยธรรมงั้นเหรอ
ถามจริง แรงอย่างฉันจะไปสู้พี่กล้ามโตนั่นไหวได้ไง เพิ่มเหยื่อเปล่าๆ
บอกไว้ตรงนี้เลยนะฉันไม่ใช่วีรสตรีผู้ผดุงความยุติธรรม แต่เป็นคนธรรมดาที่อยากรอดไปใช้ชีวิตของตัวเองในโลกที่ไม่มีแม่อยู่แล้วน่ะ
ระหว่างที่พยายามฝึกขับรถไปด้วยจนเริ่มประคองพวงมาลัยกับเปลี่ยนเกียร์ได้ถนัด คำพูดของเพชรตอนยังคบกันเมื่อปีก่อนก็ลอยเข้าหัวมา
ฉันพึมพำกับตัวเองซ้อนทับประโยคนั้น “เธอไม่เคยรู้สึกรักใครเลยใช่ไหม นิล… สายตาที่เธอมองมาไม่ได้เห็นเราหรือใครเลย แต่เป็นการดูภาพสะท้อนของตัวเธอเอง…”
คำพูดนั้นคงสะกิดใจฉันมากเกินไป ฉันเลยเลิกกับเขา
ลาก่อนอดีตแฟนหนุ่ม เฮ้อ เลิกเศร้าดีกว่า ไปที่ว่าการอำเภอต่อด้วยการลัดเลาะซอยเปลี่ยวนี่แหละ
…กว่าฉันจะขับจนชินได้ รถกระบะก็ทั้งดับ ทั้งชนเสา ชนกำแพง ทับปรสิตไปหลายรอบ แต่เพราะไม่ใช่การปะทะหนักเลยไม่สะเทือนเครื่องยนต์นักและมาถึงปลายทางได้ในที่สุด
บริเวณนี้ถูกทหารกับตำรวจควบคุมอยู่จึงปลอดภัยในระดับวางใจได้นิดหน่อย
ฉันลงจากรถไปต่อคิวรับสายรัดข้อมือสีดำ เพราะไม่ได้พกบัตรประชาชนมาเลยลงทะเบียนลายนิ้วมือและเขียนเอกสารบางส่วนแทน
ทุกคนที่รอดชีวิตถูกบังคับให้สวมสายรัดสีดำไว้ก่อนพามารวมกันที่ห้องโถงใหญ่
ตอนสวมเข้ากับข้อมือมันเจ็บจี๊ดขึ้นมาเล็กน้อย แต่คล้ายเป็นการคิดไปเองมากกว่าเลยพยายามไม่ใส่ใจ…
อาหารกับน้ำถูกเตรียมพร้อมระหว่างรอเจ้าภาพ เสียงร้องไห้อย่างขมขื่นและบรรยากาศหนักอึ้งกดทับจนไม่กล้าเสวนากับใครแม้แต่คนเดียว
ข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศและในประเทศยังนำเสนอเรื่องเดิมและประโคมให้ทุกคนรับสายรัดข้อมือสีดำโดยเร่งด่วน
มันจะเป็นกับดักหรือเปล่า… สมมติว่าสวมไอ้นี่แล้วเกิดอะไรขึ้นมาพร้อมกันทั่วโลก…
ฉันคิดจะแกะมันออกอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นว่าประธานาธิบดีประเทศอื่นที่ออกถ่ายทอดสดก็สวมไว้เลยทำใจให้สงบนิ่ง แม้ตอนนี้วางใจอะไรไม่ได้ ทว่าลางสังหรณ์บอกว่าไม่เป็นไร ก็คงยังไหวละมั้ง
“เอาล่ะ ประชาชนทุกคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้” บนเวทีมีคนขึ้นมาพูดแล้ว หลังจากปล่อยให้รอมามากกว่าสามชั่วโมง “สายรัดข้อมือสีดำที่ได้สวมไปถูกวินิจฉัยแล้วว่าเป็นวัตถุทำลายไม่ได้ ซึ่งจำเป็นกับโลกใหม่”
โลกใหม่…
คำนั้นถูกนำมาใช้ราวกับเปลี่ยนยุคสมัย
“ทุกท่านลองลูบมันโดยนึกว่าอยากสำรวจตัวเองดูสิครับ” สิ้นคำพูดของเขาก็มีคนทำตาม
ฉันลองเลื่อนดูก็พบแผงหน้าจอสีเข้มเด้งขึ้นมาตรงหน้า มันลอยกลางอากาศและมีตัวอักษรเรียงราย
“สิ่งที่ทุกท่านเห็นมีเพียงท่านเท่านั้นที่จะรับรู้… แต่ก่อนจะสนใจข้อมูลระบบกับทักษะพิเศษ กรุณามองไปที่กรอบขวา”
ขนทั่วร่างลุกขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
ข้อความภาษาไทยที่กำกับตรงนั้น… มีตัวเลขนับถอยหลังอยู่ อีกไม่กี่ชั่วโมง หรือก็คือตอนเกือบเที่ยงคืน…
“เมื่อพ้นเวลาห้าทุ่มไป หากใครไม่สวมสายรัดข้อมือสีดำแบบนี้…” ผู้ประกาศเว้นจังหวะหายใจ “จะตายครับ”
เรื่องพรรค์นี้หากออกประกาศสู่สาธารณชนก็จะทำให้แตกตื่นทั่วโลก ทว่าการพิสูจน์ไม่ได้ว่าจะตายจริงๆ หรือเปล่าก็ทำให้ทางการแต่ละประเทศไม่กล้าออกสื่อชัดเจน
ความเสี่ยงแบบนี้… รัฐบาลกล้ารับไว้งั้นเหรอ
ดูจากวิดีโอชั่วโมงแรก จำนวนสายรัดสีดำซึ่งกระจายไปตามเมืองมีเยอะมากพอที่พวกข้าราชการชั้นสูงไม่ต้องฮุบไว้กับตัวเองเลย ให้ใช้เฮลิคอปเตอร์ตระเวนแจกตามพื้นที่ยังได้ด้วยซ้ำ แต่กลับไม่ทำ!
“พวกเราจะออกประกาศสุดท้ายและระบุเงื่อนไขการตายครับ ขอให้ทุกท่านในตอนนี้เข้าไปรวมกลุ่มที่โถงอีกด้านก่อนนะครับ”
รัฐบาลแต่ละประเทศใช้วิธีกระจายของพวกนี้ต่างกัน
แต่ที่นี่… รัฐบาลพยายามควบคุมประชาชนให้เข้าสู่ศูนย์กลาง เพื่อบันทึกข้อมูลและสร้างบุญคุณ ราวกับรวบรวมผู้รอดชีวิตสำหรับเก็บไว้ใช้ภายหลังโดยไม่สนความเป็นตาย
ฉันมองหน้าต่างสถานะด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ระบบพวกนี้ หมอกสีขาว สัตว์ประหลาดหัวแพะ…
ราวกับว่าโลกนี้ถูกเปลี่ยนเป็นเกมให้ใครบางคนเล่นสนุกอย่างไรอย่างนั้น