มีฉันเต็มไปหมด [Yuri/Selfcest] - ตอนที่ 2.1 ขุมนรกแห่งสัจธรรม (1)
คงจะไม่มีใครทำร้ายฉันได้ ถ้าหากฉันไม่อนุญาตให้ทำ
แหม ฉันไม่ได้หมายถึงในทางกายภาพหรอกนะ แบบนั้นเอาปืนมายิงกันสักเปรี้ยงก็ไม่ต้องถามความยินยอมแล้ว ตายก่อนพอดีสิคะ
ที่ต้องการจะสื่อน่ะคือทางจิตใจต่างหาก
กระนั้นก็ไม่ได้แปลว่าการถูกคำพูดแง่ลบพร่ำกระซิบอยู่ทุกวันจะไม่บั่นทอนเกราะป้องกันทางใจของฉันลง
สุดท้ายพอโดนโจมตีมากเข้าก็ไม่อาจตั้งรับไหวและถูกกลืนไปกับความเจ็บปวด… จากความทรมานเริ่มกลายเป็นความชินชา จนในที่สุดแม้แต่ความคิดของฉันก็ยังทำร้ายตัวเองไปด้วย
เพราะฉันมอบความสมบูรณ์แบบให้กับแม่ไม่ได้
การเรียนของฉันไม่อาจเป็นที่หนึ่งไปตลอดกาล ฉันจึงเป็นได้แค่คนขี้แพ้ที่มีดีแค่หน้าตา
หากไปไม่ถึงเป้าหมายก็เป็นเพียงคนไร้ประโยชน์สำหรับแม่เท่านั้น
ยิ่งฉันรักแม่มากเท่าไร แม่ก็ยิ่งทำร้ายฉันได้มากเท่านั้น นั่นเพราะลึกลงไปแล้วใจฉันคงอนุญาตให้แม่ทำแบบนั้นเอง…
ความผิดหวัง ความเสียใจ และทุกคำด่าทอทำให้ฉันรู้สึกตัวหดเล็กลงไปทุกชั่วขณะ
ไม่อาจหาความหมายในการคงอยู่ได้ ไม่รู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองอีกต่อไป ได้เพียงกรีดร้องอยู่ข้างในแล้วเอาทุกอย่างไปฝากไว้กับคนอื่นแทน
พวกเขาชื่นชอบรูปร่างหน้าตาของฉัน ฉันเลยมอบร่างกายให้เพื่อแลกกับคำชม ทำแบบนั้นแล้วก็รู้สึกเหมือนได้รับความสำคัญขึ้นมาทีละนิด ทีละนิด…
แต่พอได้สิ่งที่ต้องการแล้วจะผู้ชายหรือผู้หญิงก็ทิ้งฉันไปหมด
พวกเขาบอกว่าฉันไม่รู้จักความรัก
เพชรบอกว่าฉันแค่มองหาตัวเองในแววตาของคนอื่นเท่านั้น ดั่งภาพสะท้อนของกระจก
…แค่โกรธยังโกรธไม่ลงเลย ก็มันเป็นความจริงนี่นะ
ฉันต้องการถูกรักเพื่อที่จะรู้สึกมีค่า แต่ไม่อยากหลงไปกับความรัก เพราะคนที่ฉันทุ่มเทให้อาจทำร้ายฉันอีก… เหมือนกับแม่
หากเรียกให้ถูกฉันคงเป็นคนประเภทเห็นแก่ตัว
แต่มันผิดตรงไหนกัน เพราะรู้สึกไร้ความหมายจึงอยากมีค่า ไม่อาจมอบความรักให้กับตัวเองได้จึงมองหาจากคนอื่น เพียงยอมแลกร่างกายดีกว่าเสียน้ำตาไปกับความโง่เขลาเป็นครั้งที่สอง…
ฉันลืมตาขึ้นมาอีกครั้งในห้องโถงของที่ว่าการอำเภอซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านกว่าเก่า
ท่ามกลางคนไม่รู้จักและเจ้าหน้าที่ราชการมากมายดันเผลอนั่งหลับเพราะความอ่อนเพลียซะได้…
เมื่อกดปุ่มดูเวลาในโทรศัพท์มือถือก็เห็นตัวเลขสี่ทุ่มกับอีกห้าสิบเจ็ดนาที แถบสถานะซึ่งเด้งขึ้นมาตรงหน้าเป็นการยืนยันอีกทางหนึ่ง
นับเวลาตั้งแต่เกิดหมอกสีขาวจนถึงเส้นตายของสายรัดข้อมือนั้นมีเพียงสิบสองชั่วโมง ซึ่งขณะนี้ขาดอีกไม่กี่อึดใจเท่านั้น
คนที่อยู่ในถิ่นห่างไกลตัวเมืองหรือไม่มีพาหนะเดินทางเข้ามาคงยากจะรับอุปกรณ์ได้ทัน
แม้มนุษยธรรมในตัวฉันจะไม่สูงนักแต่ก็ลอบด่ารัฐบาลอยู่ในใจว่าน่าจะหาข้อมูลก่อนรวมอำนาจให้ประชาชนคลานมาหา หากเพิ่มจำนวนผู้รอดชีวิตด้วยสายรัดสีดำได้ก็อาจทำให้พลิกวิกฤตในประเทศได้ไวขึ้น
ประเทศอื่นใช้วิธีกระจายของ แต่ประเทศไทยกลับอยากควบคุมสถานการณ์โดยมีรัฐบาลเป็นจุดศูนย์กลาง…
ฉันเลื่อนสำรวจแถบหน้าต่างและคิดจะหาข้อมูลเพิ่มเติมจากโทรศัพท์มือถือ แต่เจ้าหน้าที่ชิงเปิดโทรทัศน์ถ่ายทอดสดช่องพิเศษมาดึงความสนใจทุกคนในห้องโถงเสียก่อน
บนหน้ากล้องมีนักโทษนั่งอยู่บนเก้าอี้โดยไม่สวมสายรัดข้อมือสีดำ ราวกับเป็นตัวทดลองของรัฐบาลเพื่อพิสูจน์ข้อความบนหน้าต่างนับถอยหลัง
…เลขศูนย์ปรากฏขึ้นบนแถบขวา
แล้วจู่ๆ ก็ใบหน้าครึ่งบนของนักโทษคนนั้นก็ปูดโปน เลือดทะลักออกมาจากเบ้าตาและจมูกก่อนที่จะถูกก้อนเมือกสีขาวเจาะกลางศีรษะขึ้นมาราวกะเทาะเปลือกไข่
“เหี้ย!!” ใครสักคนในที่ว่าการอำเภอร้องอุทานลั่น
คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าพะอืดพะอมเตรียมสำรอกอาหาร
นักโทษคนนั้นถูกปรสิตครอบงำแล้ว มันยังสร้างเปลือกแข็งราวกะโหลกแพะพร้อมทั้งผิวหนังใหม่ขึ้นมาห่อหุ้มในพริบตา
มันอะไรกัน… เจ้าพวกนั้นออกมาจากสมองของมนุษย์…
ฉันข่มตาลงแล้วหันไปเปิดดูข่าวต่างประเทศเพื่อช่วยยืนยัน
บนแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตชื่อดังมีการอัดคลิปคนไม่สวมสายรัดข้อมือถูกปรสิตเจาะออกมาจากสมองเช่นเดียวกัน
“ตัวพวกนั้น… อยู่ในร่างกายพวกเรางั้นเหรอ!?” สมมติฐานที่ดูใกล้เคียงภาพฉายมากที่สุดโพล่งออกมาจากคนคนหนึ่ง
แต่มนุษย์ที่ได้รับสายรัดข้อมือสีดำกลับไม่มีความผิดปกติใด
ถ้านี่เป็นเกมก็ควรมีคำอธิบายอะไรบ้างไม่ใช่หรือไง…
คล้ายจะตอบรับความคิด หน้าต่างนับถอยหลังถูกลบหายไปพร้อมเด้งกรอบใหม่ขึ้นมาแทนที่
“เกมเริ่มขึ้นแล้ว… จงเก็บเลเวลเพื่อเพิ่มค่าพลังและมีชีวิตรอด” มีคนอ่านข้อความเหล่านั้นออกมา
เก็บเลเวล… หากตามเกมต่อสู้ปราบปีศาจก็คงหมายถึงให้ฆ่าสัตว์ประหลาดหัวแพะพวกนั้น
ยอมรับไม่ได้เลยแฮะ
คำอธิบายเพิ่มเติมในกรอบต่อมายาวเป็นหางว่าว แต่พอสรุปใจความคร่าวๆ ได้ว่า หมอกสีขาวครั้งแรกสุดมีตัวอ่อนบาโฟเมตอยู่… มันแทรกซึมไปในระบบหายใจของมนุษย์และจะฟักตัวออกมาเมื่อถึงเวลา
บาโฟเมตที่ว่าก็คือคำเรียกของปรสิตสีขาวนั่น ใช้ชื่อเดียวกับปีศาจครึ่งมนุษย์ครึ่งแพะในตำนานเก่าแก่
ทุกคนรอดมาได้ด้วยสายรัดข้อมือสีดำ เมื่อสวมใส่มันจะฉีดสารกำจัดตัวอ่อนเข้าไปในร่างกาย และบังคับให้ทุกคนกลายเป็น ‘ผู้เล่น’
คนที่มีชีวิตรอดตอนนี้เฉียดผ่านความตายมาถึงสองหน ด้วยเวลาเพียงแค่สิบสองชั่วโมงเท่านั้น
หนแรกคือตอนเมือกสีขาวปรากฏพร้อมหมอกและครอบงำสมองให้กลายเป็นบาโฟเมต หนที่สองคือตัวอ่อนซึ่งลอยอยู่ในหมอกเหล่านั้นและจะกลายเป็นบาโฟเมตภายหลังหากสวมสายรัดข้อมือไม่ทัน…
“ดูนั่น!” เสียงหนึ่งเรียกความสนใจให้ฉันหันไปมองโทรทัศน์
ข่าวถ่ายทอดสดฉายภาพปราการลอยฟ้าสีดำขนาดมหึมาเมื่อเทียบกับแสงสว่างในเมืองที่อยู่ด้านล่างซึ่งแทบมองอะไรไม่เห็น อย่างกับถอดมาจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์และไม่ใช่เรื่องจริงที่เผชิญหน้าอยู่
กรอบข้อความของระบบเด้งขึ้นมาว่า <ยินดีต้อนรับสู่เกม ขุมนรกแห่งสัจธรรม>
“เกมงั้นเหรอ…” ชายคนหนึ่งกำมือแน่นก่อนตวาดลั่น “เกมบ้าเกมบออะไรวะ!? คืนลูกเมียกูมานะโว้ย! ไอ้เวร!!”
เห็นฉากนี้แล้วก็รู้สึกว่ามนุษย์เราช่างไร้อำนาจจนดูเหมือนตัวเล็กจ้อยเสียจริง
อย่างไรก็ตาม ขุมนรกแห่งสัจธรรม… ฉันรู้สึกคุ้นตาชื่อนี้อย่างประหลาด แต่พอสืบค้นในอินเทอร์เน็ตกลับไม่พบข้อมูล
ทั้งที่จำได้ว่ามันเป็นวิดีโอเกมเก่า และเหมือนจะเคยเล่นมันมาก่อน… ทว่าข้อมูลบางอย่างคล้ายขาดช่วงไป ไม่สามารถนึกออกได้
ไม่สิ เดิมทีฉันจะเอาเวลาที่ไหนไปเล่นกันนะ แม่เคยอนุญาตให้ฉันเล่นเกมด้วยเหรอ
<ปราการลอยฟ้าจะเปิดให้เทเลพอร์ตเข้าไปได้ในอีก 3 วัน กรุณามีชีวิตรอดให้ถึงเวลานั้น> ฉันอ่านข้อความครู่หนึ่งก่อนมันจะกลายเป็นแถบนับเวลาถอยหลังแทนหน้าต่างเดิม
หมายความว่ายังไงกันแน่… นี่คือเกมจริงๆ งั้นเหรอ
“ขอให้ทุกท่านใจเย็นก่อนนะครับ” ชายวัยกลางคนขึ้นพูดหน้าเวทีอีกครั้ง “ตอนนี้รัฐบาลของพวกเราต้องการรวบรวมข้อมูลผู้มีชีวิตรอดทั้งหมดเพื่อผ่านสถานการณ์วิกฤตนี้ให้ได้ ดังนั้นผมจึงจะขอความร่วมมือทุกท่านช่วยลงทะเบียนบอกทักษะพิเศษกับเจ้าหน้าที่ด้วยครับ”
หลายคนเริ่มกรูกันไปทางโต๊ะลงทะเบียนอีกครั้งก่อนจะกลายเป็นแถวยาวเหยียด ส่วนฉันยังคงทำใจเย็นและเสียบชาร์จมือถือพลางอ่านข่าวต่างประเทศไปด้วย
ผลสำรวจคร่าวๆ ของแต่ละสำนักข่าวคำนวณประชากรมนุษย์ที่เหลืออยู่บนโลกตอนนี้เพียงหนึ่งในสิบของเมื่อวานเท่านั้น
ส่วนปราการที่ระบบพูดถึง… ปัจจุบันลอยอยู่เหนือน่านฟ้าของประเทศไทยเพียงแห่งเดียวและไม่มีทีท่าจะเคลื่อนไหว มันใหญ่มหึมาและบดบังแสงจนแทบไม่เห็นรูปทรง มีเพียงเงามืดจากข้างใต้เท่านั้น
…ทำไมต้องเป็นประเทศไทยล่ะ แล้วทำไมโลกนี้ถึงไปเชื่อมกับเกมที่ชื่อขุมนรกแห่งสัจธรรมได้
ข้อสันนิษฐานไหนก็ไม่อาจล่วงรู้ สิ่งเดียวซึ่งแน่นอนก็คือ โลกนี้เปลี่ยนไปแล้ว
“หนีกันเถอะ” เสียงกระซิบคุยกันไม่ไกลนักมาจากกลุ่มชุดนักเรียนสถานศึกษาอื่น “ถ้าโลกของเกมมาเชื่อมมิติกับที่นี่จริง พวกเราก็ควรไปเพิ่มเลเวลเอง ไม่ต้องพึ่งพารัฐบาลหรอก”
สีหน้าคนพูดดูคล้ายสนุกสนานและอยากท้าทาย… มันทำให้ฉันขนลุกนิดหน่อย
ในสถานการณ์โลกแตกแบบนี้ คนที่อยู่รอดหากไม่สิ้นหวังหดหู่กับชีวิตก็มีพวกวัยรุ่นที่เห็นระบบเป็นสิ่งบันเทิงงั้นเหรอ
ฉันเรียกสติกลับมาเพื่อตัดสินใจว่าควรเลือกทางไหน
จะหาช่องว่างหลบหนีหรือควรเข้าร่วมกับรัฐบาลไปก่อนดี…
จากวิธีการแจกสายรัดข้อมือสีดำคงหวังได้ยากว่ารัฐบาลจะไม่ใช้ฉันกับคนอื่นๆ ไปเสี่ยงอันตรายเมื่อถึงคราวจวนตัว แต่ที่นี่ก็มีทั้งกำลังและอาวุธที่หาจากชุมชนปกติไม่ได้ ส่วนข้างนอกยังมีสัตว์ประหลาดหัวแพะเต็มไปหมด หากออกไปคนเดียวก็คงลำบาก
ขณะเหลือบมองไปรอบด้านก็เห็นคนอื่นเรียงแถวบอกรายละเอียดพลังของตัวเองให้โต๊ะลงทะเบียนฟัง
สร้างไฟ กลั่นน้ำ ควบคุมลม และเสกดิน… สี่ธาตุหลักถูกนำมาใช้เป็นทักษะพิเศษเหนือมนุษย์ของคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางคนที่เหมือนจะได้ทักษะต่างออกไป
เจ้าหน้าที่ผู้บันทึกรับฟังข้อมูลและคีย์เข้าระบบโดยไม่มีการพิสูจน์
บางทีรัฐบาลเองก็ยังไม่มีคนรู้วิธีใช้ทักษะพวกนั้น หรืออาจไม่มีเวลามากพอจะพิสูจน์ และคงเชื่อว่าประชาชนคงไม่เสี่ยงโกหกทางการ…
“เหวอ!” ชายคนหนึ่งร้องตกใจเมื่อมีเปลวไฟเกิดขึ้นเหนือฝ่ามือ
ทุกคนหันไปมุงล้อมรอบ “ทำได้ยังไงน่ะ”
“ไม่รู้!! พอคิดถึงรูปร่างของไฟมันก็ออกมาเอง!” คำตอบของเขาทำให้หลายคนเริ่มทำตาม
ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วยังมีพลังประหลาดอย่างอื่นอีก
ในโถงที่ว่าการอำเภอเริ่มโกลาหลทีละน้อยเพราะเจ้าหน้าที่ไม่อาจควบคุมประชาชนที่มีพลังพิเศษไว้ได้
หน้าต่างสถานะเลเวลหนึ่งทำให้ความคิดฉันเอนเอียงไปทางวิ่งหนี เพราะหากนี่เป็นระบบเกมจริงๆ ก็ควรเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองเตรียมพร้อมก่อนสามวันให้หลัง
มันคงเป็นความคิดเดียวกับหนุ่มสาวคนอื่นๆ เช่นกัน
พวกเขาเลยลุกขึ้นยืนและสร้างความปั่นป่วนโดยอาศัยความชุลมุนของสถานการณ์ที่ทุกคนทดสอบทักษะพิเศษ เริ่มจากการทำทีเป็นไม่ตั้งใจเผาไฟใส่คนข้างๆ และให้เจ้าหน้าที่เข้ามาดูแล
เมื่อเปิดช่องว่างวงล้อมด้านหนึ่งแล้วก็มีใครบางคนตะโกนขึ้นมาว่า “ไปอัปเลเวลกันเลย!!”
นี่คือโอกาสในการวิ่งหนีของฉันด้วยเช่นกัน
ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดนี้ในสายตาประชาชนนั้นมีต่ำมาก อีกทั้งการรวมผู้คนไว้ที่เดียวกันโดยไร้จุดหมายมีแต่ทำให้รู้สึกกังวลเหมือนนั่งรอความตายท่ามกลางตัวเลขนับถอยหลัง
ในเมื่อโลกนี้ถูกควบคุมด้วยระบบเกม ทุกคนที่รอดมาจนถึงตอนนี้และเข้าใจความหมายของมันได้ย่อมกัดฟันเผชิญหน้า
ฝูงชนตั้งแต่วัยหนุ่มสาวยันผู้ใหญ่ที่ยังแข็งแรงดีกรูกันออกมาจากอาคาร บ้างก็หอบสัมภาระพาครอบครัววิ่งฝ่าไปพร้อมกัน
ฝั่งข้าราชการมีมาตรการโต้ตอบด้วยการเล็งปืนขู่ แต่กลับถูกแรงดันน้ำจากทักษะพิเศษของฝูงชนพุ่งอัดไปด้านหลังเพื่อเปิดทาง
ในสามวันนี้ต้องโกลาหลมากแน่…
เสียงปืนดังขึ้น ทำให้หลายคนสะดุ้งตกใจชั่วขณะแต่ก็ไม่หยุดฝีเท้า
ฉันปีนข้ามรั้วด้านข้างแทนการปะทะตรงประตูหน้า จากนั้นพอหย่อนตัวลงอีกฝั่งก็เริ่มออกวิ่งไปทางลานจอดรถและคว้ากุญแจพาหนะคันเดิมขึ้นมาจากกระเป๋าผ้า
การสาดกระสุนข้างนอกยังคงดังต่อเนื่องราวกับบุฟเฟ่ต์ปืน คล้ายเลิกใช้สันติแก้ปัญหาไปแล้ว
แต่ละคนหันอาวุธเข้าหากัน ทั้งทักษะพิเศษและลูกตะกั่ว สู้เพื่อการควบคุม สู้เพื่ออิสรภาพ และสู้เพื่อเพิ่มเลเวลในระบบเกม
ฉันลองค้นหาในอินเทอร์เน็ตว่าควรจะทำยังไงดีขณะนั่งคาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ แต่ดูเหมือนว่าโลกโซเชียลจะถูกระงับการใช้งานทุกช่องทาง เว้นก็เพียงเว็บไซต์แหล่งความรู้และบทความต่างๆ ที่ยังพอหาข้อมูลได้
หน้าต่างระบบเกมเด้งเครือข่ายเสมือนเว็บบอร์ดขึ้นมาแทน…
คลิปวิดีโอ กระทู้ข้อมูล ทุกอย่างแชร์ซึ่งกันและกัน ทั้งยังดูเป็นการออกแบบที่คุ้นตาอย่างมาก… ทำไมกันนะ…
มีแค่ฉันหรือไงที่รู้สึกเหมือนเคยเล่นขุมนรกแห่งสัจธรรม?
เบาะแสเดียวคือการกลับไปที่บ้านและค้นแผ่นเกมเก่าซึ่งอาจจะเคยผ่านตามาสักครั้ง
ฉันตัดสินใจติดเครื่องยนต์และเหยียบคันเร่ง ขับตัดหน้ากลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพวกนั้นถือวิสาสะอะไรไม่รู้ในการกระโดดขึ้นมาอยู่ด้านหลังกระบะเองเฉยเลย
เวร! นี่ไม่ได้ต้อนรับนะคะ!?
แต่เพราะเสียงปืนที่ยังดังไล่หลังมาทำให้ฉันไม่มีเวลาทักท้วง ทั้งยังถูกกระสุนพุ่งเฉียดผ่านแก้มตอนขับทะลุด่านกั้น
โอ้… บ้าเอ๊ย… ถึงจะไม่โดนแต่ก็รู้สึกเหมือนตายไปชั่วขณะเลย
สามคนที่กระบะหลังช่วยใช้ทักษะพิเศษจัดการบาโฟเมตด้านหน้าให้ตอนออกถนนใหญ่ ฉันจึงทำใจกล้าลัดเลาะหลบซากรถได้สะดวกมากขึ้น
เอาก็เอา ไปด้วยกันทั้งแบบนี้แหละ พวกคนหน้าแปลก… อะแฮ่ม พวกคนแปลกหน้า
ในเมื่อฉันเป็นคนขับจึงมีสิทธิ์กำหนดปลายทาง และฉันตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะกลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน