มีฉันเต็มไปหมด [Yuri/Selfcest] - ตอนที่ 3.1 แย่งชิงทรัพยากร (1)
แม่ของฉันมักควบคุมทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบที่สุด
เมื่อผิดพลาดครั้งหนึ่งจะกลายเป็นความเลวร้าย เมื่อเสียความบริสุทธิ์จึงถูกมองเป็นของมีตำหนิ
ในสายตาแม่ ฉันดูไม่มีค่าเลยสักนิด
ต้องทำยังไงถึงจะไล่ตามแผ่นหลังนั้นได้… ต้องทำแบบไหนถึงจะมีตัวฉันสะท้อนบนแววตาของแม่ในทิศทางที่ดีขึ้นมาบ้าง…
“ไม่น่าลำบากเลี้ยงขยะอย่างแกเลย”
…เงียบนะ หุบปากไปซะ
ฉันเกลียด… เกลียดแม่ที่สุด… เลิกทำร้ายฉันได้แล้ว หยุดเข้ามาพังจิตใจฉันสักที ฉัน… ไม่อยากอนุญาตให้แม่ทำแบบนั้นเลย
น้ำตาที่หลั่งไหลซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแห้งเหือดเริ่มกลายเป็นความชินชา สุดท้ายก็ตกตะกอนความคิดได้ว่าฉันจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายอีกแล้ว
ปิดกั้นหัวใจซะ แล้วจะปลอดภัยจากคำพูดของคนอื่น…
“เธอแค่มองภาพสะท้อนของตัวเธอเอง” เสียงแฟนเก่าดังกังวาน
แล้วยังไงล่ะ ไม่ใช่เพียงฉันที่มองแต่ตัวเองสักหน่อย แม่ก็สนใจแค่เรื่องที่ตนเองเผชิญอยู่ไม่ใช่เหรอ มองแค่สิ่งที่ตัวเองรู้สึก ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของฉันเลยสักนิดเดียว
สิ่งที่ต้องทำก็แค่อยู่กับตัวเองให้คุ้นเคย ฉันจะได้ไม่ทรมานจากความสัมพันธ์อื่นอีก
แต่ทำไม…
ทำไมถึงรู้สึกโดดเดี่ยวขนาดนี้กันนะ
การพักผ่อนสิ้นสุดลงเมื่อได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นจากข้างนอก
แม้สถานที่เกิดเหตุจะดูเหมือนอยู่ไกลแต่ก็ทำให้ฉันต้องลุกขึ้นมาเฝ้าระวังภัยอยู่ดี
สติเรียบเรียงเหตุการณ์โลกาวินาศดั่งภาพย้อนกลับ ว่าปัจจุบันโลกนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว…
เมื่อคืนฉันไม่ได้เล่าเรื่องแผ่นเกมให้ใครฟัง เพียงส่งความคิดเรียกเรดออกมาสลับตัวกลับเข้าห้องและนอนกับฟ่างอย่างสงบ
จะหาข้อมูลก็ต้องเลื่อนแถบข้อมือดูหน้าต่างเครือข่ายของระบบแทน เพราะโซเชียลทุกรูปแบบถูกระงับไปแล้ว สำนักข่าวต่างๆ เองก็ผันตัวมาทำรายการช่องในระบบเกมขุมนรกแห่งสัจธรรมแทน
การถ่ายทอดสดมีทั้งพวกไล่ฆ่าบาโฟเมต อวดพลังของตนเอง แล้วก็รายงานสถานการณ์… ดูเหมือนเสียงสนั่นเมื่อสักครู่จะเป็นการยิงถล่มปราการลอยฟ้าเหนือประเทศไทย
แต่มันไม่สะเทือนเลยสักนิดเดียว ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
เฮ้… เดี๋ยวนะ นี่พวกต่างประเทศส่งขีปนาวุธโจมตีโดยไม่มีประกาศอพยพประชาชนเลยเหรอ ถึงเวลาจะบีบบังคับแค่ไหนก็เถอะ
รัฐบาลห่วยๆ นั่นยอมได้ยังไง?
ฉันเปิดม่านออกไปดูเหนือศีรษะ ตอนกลางคืนมองเห็นไม่ชัดก็จริง แต่ตอนนี้ก็แทบไม่ต่างจากตอนกลางคืนเท่าไรนัก เพราะเงาของปราการยักษ์บดบังท้องฟ้าไปทั้งหมด แทบจะกลืนเส้นสายตาสุดขอบการมองเห็นไปเลยด้วยซ้ำ
ทั้งที่ดูในข่าวต่างประเทศเหมือนลอยอยู่สูง แต่ยังใหญ่มากขนาดนี้
“เกิดอะไรขึ้น…” เด็กสาวผมเปียงัวเงียคลำหาแว่นตา “ว้าย! เธอเป็น… อ๊ะ จริงสินะ…”
ตอนเพิ่งตื่นก็คงสภาพนี้แหละนะ ในเมื่อเหตุการณ์หมอกปรสิตเพิ่งผ่านมาคืนเดียว ใครก็ยังปรับตัวไม่ชินทั้งนั้น
ฟ่างจดจำสถานการณ์ปัจจุบันได้แล้วจึงลุกขึ้นจากเตียงใหญ่ด้วยท่าทางเซื่องซึม ทว่าทันทีที่ขยับหน้าอกหนานุ่มก็ดีดกระดุมชุดนอนฉันหลุดกลิ้งไปตามพื้น
“ขอโทษ” แขกตัวน้อยทำหน้าสลด
“ไม่เป็นไร เสื้อผ้าฉันมีแต่ตัวเล็กน่ะนะ” ความจริงขนาดร่างกายพวกเราก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร ฟ่างตัวเล็กกว่าฉันด้วยซ้ำแต่ดันมีสิ่งนั้นที่ใหญ่มาก… เรียกว่าหุ่นในอุดมคติของพวกลามกเลยแหละ
อะแฮ่ม ใช่ค่ะ ฉันลามกค่ะ ชอบผู้หญิงนมใหญ่มากๆ เลยค่ะ!
อย่างไรก็ตาม ฉันยังไม่อยากดูเป็นภัยสังคมในสายตาสาวน้อยน่ารักที่กำลังสั่นกลัวกับเหตุโลกาวินาศอยู่หรอก ดังนั้นจึงหยิบพวกเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ๆ ออกมาเรียงไว้ รวมทั้งจัดชุดในตู้บางส่วนมาวางสำรองให้
“ถ้าใช้ทักษะช่องเก็บของของฟ่าง น่าจะเอาชุดพวกนี้ไปได้ด้วยสินะ” ฉันนึกวิธีใช้ประโยชน์จากเพื่อนใหม่ทันที “ขอฝากเสื้อผ้าส่วนของฉันด้วยแล้วกัน”
“คือ… เหมือนว่าปริมาณที่เก็บได้จะมีจำกัดน่ะ” ฟ่างก้มหน้าลงคล้ายรู้สึกผิด “ในหน้าต่างเขียนว่าหนึ่งลูกบาศก์เมตร”
“งั้นก็ต้องคัดเฉพาะตัวที่พอดีและใส่สบายสินะ” ฉันจับคางครุ่นคิดหลังได้ข้อมูลใหม่ “ถ้าทักษะพิเศษมีกันแค่คนละอย่าง มันก็ควรเติบโตได้ตามเลเวล”
ซึ่งหมายความว่าการแยกร่างของฉันเองก็ควรจะพัฒนาได้ด้วย…
เรื่องความสามารถคงต้องพิสูจน์ทีหลัง ตอนนี้มีปริมาณของที่นำไปด้วยได้ค่อนข้างจำกัดจึงต้องจัดลำดับความสำคัญในหนึ่งลูกบาศก์เมตรให้เหมาะสม
ทักษะช่องเก็บของแม้จะไม่สามารถใช้ต่อสู้ได้แต่ดูมีประโยชน์ในการเตรียมตัวมากทีเดียว เพราะสามารถจุของที่คนอื่นมองไม่เห็นได้และเคลื่อนไหวสะดวกโดยไม่สนใจน้ำหนัก เรียกว่าการเก็บไพ่ลับดีๆ นี่เอง
ส่วนอะไรที่น่าจะได้หยิบใช้บ่อยก็ใส่กระเป๋าสะพายหลังซึ่งเอามาจากมุมห้องแทน ไม่ต้องพึ่งพาทักษะพิเศษไปซะหมด
“ผลัดกันอาบน้ำก่อนเถอะ เดี๋ยวจะช่วยดูให้” ฉันดันหลังฟ่างให้เข้าไปจัดการตัวเองก่อน
พอพับเสื้อเท่าที่คิดว่าพวกเราใส่ร่วมกันได้แล้วก็ให้เจ้าตัวมาเก็บด้วยพลังช่องว่างมิติ จากนั้นค่อยเปลี่ยนตัวอาบน้ำ
ฉันไม่ลืมซ่อนชุดหนึ่งเอาไว้และเรียกเรดออกมาสวมระหว่างอยู่เพียงลำพัง ครั้งต่อไปที่ออกมาจะได้ไม่ล่อนจ้อนอีก
…จริงด้วยสิ แบบนี้ฉันก็ให้เรดสวมชุดไว้เยอะๆ แล้วบันทึกค่าไว้ได้เหมือนกัน คล้ายเก็บของไปในตัว
[ตอนออกมาอีกทีก็หนักแย่น่ะสิ!?] เรดประท้วงทันที
นั่นสินะ คงลำบากถ้าเรียกออกมาในสถานการณ์ฉุกเฉิน…
เหลือเวลาอีกสองวันกับสิบกว่าชั่วโมงก่อนการเทเลพอร์ตเข้าปราการลอยฟ้าจะทำงาน พวกเราคงต้องรีบไปเก็บเลเวลและทดสอบเงื่อนไขพลังหลายๆ อย่าง
เมื่อจัดการอะไรเรียบร้อยแล้วลงไปชั้นล่างก็พบพวกผู้ชายสวมชุดเดิมนอนเอกเขนกในห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“ช้ามาก!” เจ้าหนุ่มคนแรกพูด “พวกเราตื่นตั้งแต่สองชั่วโมงก่อน ลงมารอ…”
“ไปกันได้แล้ว” ฉันตัดบทเขาและหยิบกุญแจรถกระบะออกมา
“ไปไหนนะคะ” ฟ่างสะดุ้งโหยงแต่ก็รีบก้าวตาม
“พวกเราต้องเพิ่มเลเวลและหาอาหารกับอุปกรณ์หลายๆ อย่าง”
เกมขุมนรกแห่งสัจธรรมไม่เคยถูกวางขาย เพราะทีมพัฒนาทั้งหมดหายไปอย่างเป็นปริศนาก่อนกำหนดการ คนที่เคยได้เล่นคงมีแต่ผู้เกี่ยวข้องกับคนสร้างอย่างฉันเท่านั้น
ถึงจะจำอะไรไม่ได้มาก แต่การเล่นเกมนี้ค่อนข้างทรหด ทั้งยังใช้เวลานาน บางครั้งก็ไม่อาจพึ่งพาทักษะพิเศษอย่างเดียว ส่วนอาวุธจากระบบนั้นต้องหาวัสดุมาก่อนถึงจะสามารถสร้างได้
“ไปรวบรวมข้าวของจำเป็นกันเถอะ” ฉันพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉยขณะออกมาเปิดประตูรถ
“เวลาแบบนี้ยังใจเย็นได้อีก” คนอื่นทยอยตามมาแบบไม่มีทางเลือก
โทรศัพท์มือถือถูกใช้เปิดหาเส้นทาง ส่วนเด็กต่างโรงเรียนช่วยกันออกความเห็นว่าควรไปที่ห้างสรรพสินค้าเพื่อดูของหลายๆ อย่าง
ระหว่างนั้นพวกเขาก็เริ่มแนะนำตัว “เธอคงรู้แล้วว่าผู้หญิงที่นอนกับเธอชื่อฟ่าง ส่วนหมอนี่คือกาย แล้วเราก็ชื่อเพชร”
เพชรอีกแล้วเหรอ… ชื่อเล่นของคนไทยจะโหลไปรึเปล่า
ทำเอาอยากยกมือกุมขมับเลยทีเดียว ถ้าไม่ติดว่าต้องใช้สองแขนหมุนพวงมาลัยลัดถนนหลบซากรถน่ะนะ “ฉันชื่อนิล”
พวกเรายังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ เสียงระเบิดแบบเมื่อเช้าก็ดังขึ้นอีกครั้งเหนือศีรษะไปไกล… หน้าต่างเครือข่ายในระบบรายงานว่าการโจมตีระลอกสองยังคงไม่สร้างแผลใดให้กับปราการลอยฟ้าขนาดมหึมา
ฉันปัดผ่านและขับยานพาหนะต่อ จนกระทั่งมาถึงอาคารขนาดใหญ่ซึ่งมีที่จอดรถกลางแจ้งมากมายอยู่หน้าตึก
บาโฟเมตโดยรอบถูกจัดการไปแล้ว ดังนั้นจึงตีความได้ว่าพวกเราไม่ใช่คนกลุ่มแรกที่เข้ามาเหยียบห้างสรรพสินค้าแห่งนี้
ความระแวดระวังตัวของกลุ่มเพิ่มสูงขึ้น เพชรอาสานำหน้า ส่วนกายปิดท้ายขบวนเมื่อเราลงจากรถกระบะ เลเวลของทั้งสองน่าจะเพิ่มขึ้นจากการกำจัดบาโฟเมตตลอดทางเมื่อวาน ฉันจึงไม่ได้ทักท้วงที่รูปแบบการปล้นออกมาในลักษณะนี้
เมื่อประตูอัตโนมัติเปิดให้เข้าสู่ศูนย์การค้า พวกเราก็ต้องชะงัก
“โอ้ พวกเด็กๆ พาสาวสวยสองคนมาให้เราด้วยแหละ” ชายร่างผอมคนหนึ่งพูดในขณะที่มือขวาจับปืนยาวไว้
ข้างในนั้น มีกลุ่มผู้ชายสามคนยืนเฝ้าประตูพร้อมอาวุธ
ดูเหมือนการมาห้างสรรพสินค้าจะเป็นการตัดสินใจผิดซะแล้ว
พวกคนที่มีสายรัดข้อมือสีดำและลุกฮือต่อต้านรัฐบาล… พวกเขาคงกระจายตัวออกมาและใช้สถานที่บางแห่งเป็นฐานทัพชั่วคราว ซึ่งห้างฯ นี้ก็มีทรัพยากรพรั่งพร้อมจนล่อคนเหล่านั้นมาได้เสียด้วย
นอกจากระวังบาโฟเมตยังต้องระวังมนุษย์ด้วยกันอีกนะ
“พี่ๆ ครับ…” กายเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “พวกผมจะ… ถอยไปที่อื่นเอง ขอโทษที่มารบกวน…”
“อ่านสถานการณ์เป็นนี่ เจ้าหนุ่ม” ชายร่างผอมกระชับปืนดั่งพร้อมจะนำออกมายิง “พวกแกจะกลับออกไปก็ได้ แต่ฉันถูกใจสาวน้อยสองคนนี้ซะแล้วว่ะ”
เพชรและกายอ้ำอึ้งอยู่กับที่
“รออะไรวะ ออกไปซะสิ พวกเราจะดูแลเพื่อนแกต่อเอง” ชายอีกคนเข้ามาจับมือฉัน “หน้าตาดีจังนะหนู เป็นดารารึเปล่าเนี่ย”
หวา… ขยะแขยงอะ
“ฉันเพิ่งอายุสิบเจ็ด ทำแบบนี้จะกลายเป็นพรากผู้เยาว์…”
พูดไม่ทันจบพวกเขาก็หัวเราะลั่น “กฎหมายคงเอามาใช้ตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ ไม่มีตำรวจทำงาน แล้วก็ไม่มีศาลให้ฟ้องร้องซะด้วย”
“จริงด้วยเนอะ” ฉันพยักหน้าแบบซื่อๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ถูกใจยัยนี่ว่ะ!! ตลกเป็นบ้า!”
กายอาศัยจังหวะนี้จับมือฟ่างวิ่งออกไปข้างนอก จากนั้นเสียง ปัง! ก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มซึ่งล้มลงบนพื้น
บ้าเอ๊ย หูฉัน… ระยะใกล้เลยไม่ใช่หรือไง!?
“เอ้า ถ้าจะไปก็ไปดีๆ อย่าเอาผู้หญิงไปด้วยสิ” คนที่จับมือฉันอยู่ดึงให้เข้าไปใกล้
จากนั้นมือหนาก็ไล้เข้ามาในสาบเสื้อและบีบคลึงหน้าอก
ฮัลโหล? ถามความยินยอมบ้างไหมคะ?
ก็เข้าใจได้อยู่ว่าสถานการณ์โลกตอนนี้มันควบคุมด้วยกฎหมายไม่ไหวแล้ว ยิ่งมีเด็กสาวที่ใช้กำลังข่มเหงได้ง่ายมาอยู่ตรงหน้าก็คงปลุกสัญชาตญาณสัตว์ป่าของพวกไร้หัวคิดขึ้นมา
แต่ฉันไม่ชอบจู๋แล้วอะ ขอโทษที
“กาย…” ฟ่างคล้ายกลัวจนไม่อาจยืนไหวและล้มลงกับพื้น
เพราะมือที่เมื่อครู่ยังสัมผัสกันอยู่กลับกลายเป็นศพไปเสียแล้ว ด้วยกระสุนแค่นัดเดียว…
“เฮ่ย ยัยแว่นฉี่ราดว่ะ!” พวกเขายังคงหัวเราะกันเหมือนเป็นเรื่องสนุก “ไม่ต้องห่วงนะหนู พวกเราจะดูแลให้เป็นอย่างดี”
เพชรตัวสั่นเทิ้มแต่ถูกความกลัวสะกดเอาไว้จึงไม่กล้าขยับเขยื้อน
“แกก็ออกไปได้แล้ว ไอ้หนุ่ม” คนที่จับตัวฉันอยู่เอ่ยไล่เขาทันที
สุดท้ายเพื่อนก็เป็นแค่เพื่อน… เขาทิ้งฟ่างให้อยู่ตรงนี้กับฉันและเดินจากไปอย่างเงียบงัน ความกล้าตอนชวนหนีจากที่ว่าการอำเภอเมื่อคืนมลายสิ้นไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวแสงสว่างในแววตา
ทั้งเพชร ทั้งกาย เปลืองสมองจดจำชื่อชะมัด นึกว่าจะใช้งานได้มากกว่านี้ซะอีก
…ฉันใจดำไปเหรอคะ แต่พวกนั้นก็ทิ้งฉันแบบขี้ขลาดเหมือนกันนะ ทั้งที่ตัดสินใจร่วมกันเลยมาที่นี่แท้ๆ กลับหนีไปโดยไม่รับผิดชอบอะไรเลย
“ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ” เพราะแสดงบุคลิกแบบสาวซื่อบื้อไปแล้ว ตอนกลับมาพูดคุยกับพวกถืออาวุธอันตรายจึงต้องเล่นละครต่อให้แนบเนียน แม้จะเจ็บที่ถูกขยำหน้าอกอยู่ก็เถอะ
“ถามอะไรจ๊ะ สาวน้อยคนสวย” ชายด้านหลังก้มมองระยะประชิด
“เอาปืนมาจากไหนกันเหรอคะ แถมยิงแม่นอีกต่างหาก” กระสุนที่ฝังในตัวกายเจาะเข้ากลางศีรษะจนไม่มีเวลาร้องทรมานด้วยซ้ำ
พวกเขาเงียบไปพักหนึ่งและสังเกตท่าทีการโต้ตอบ
“นั่นไม่ใช่เพื่อนหนูเหรอ ทำไมดูสงบนิ่งจังนะ” มือที่ลูบคลำอยู่เปลี่ยนมาสะกิดยอดอย่างหยอกเย้า
แต่ฉันไม่มีอารมณ์มาเล่นด้วยเลยจับแขนเขาเบาๆ เพื่อให้ตั้งสมาธิตอบคำถาม “เพิ่งรู้จักกันค่ะ… คนก็ตายไปตั้งเยอะจนเริ่มชินแล้ว เลยสนใจมากกว่าว่าทำไมพวกพี่ๆ ถึงมีปืนในครอบครองได้”
“พวกเราขโมยมาจากพวกทหารน่ะ เคยฝึกยิงอยู่นิดหน่อยเลยใช้คล่อง” คำตอบของเขาพูดแบบไม่จริงจังนัก “ศพพวกตำรวจหัวแพะก็มีปืนพกให้เก็บนะ สุดยอดไปเลยใช่ไหมล่ะ”
คนพวกนี้คงอาศัยจังหวะชุลมุนเมื่อคืนแย่งอาวุธมา
“ถ้างั้น สอนยิงหน่อยได้ไหมคะ” ฉันทำใจกล้าพูดออกไป
แต่ชายอีกคนก็เข้ามาตบปากจนชาไปทั้งแถบ “เด็กนี่เล่นเหลี่ยมอะไรอยู่แน่ๆ …มันน่าสงสัย”
เมื่อรู้สึกไม่ชอบมาพากลอีกคนจึงหันมาปิดล้อมด้วย
เจ้าคนที่ตบหน้ายื่นมือมาบีบกรามฉันเอาไว้ “ทักษะพิเศษของแกน่ะ คืออะไร”
ผู้เหลือรอดทุกคนคือ ผู้เล่น ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มหันมาสนใจฉันในฐานะมนุษย์คนหนึ่งซึ่งอาจเป็นภัยต่อตนเอง
อย่างน้อยฉันก็ชอบสีหน้าตอนนี้มากกว่าถูกมองเป็นวัตถุทางเพศแหละนะ ดูมีเกียรติกว่ากันเยอะ
“ทักษะของฉัน… คือการสร้างของเลียนแบบค่ะ” ฉันโกหก
สถานการณ์ตอนนี้ พวกที่ยึดอาคารอยู่คงไม่ได้อยากเก็บฉันไว้นานนัก อย่างมากก็เล่นสนุกสนองตัณหาแล้วฆ่าทิ้ง
แต่ถ้ามีค่าขึ้นมาอีกระดับละก็… การปฏิบัติจะต่างกันลิบลับ
สิ่งที่พวกนี้ต้องการคือทรัพยากร ถึงได้ตั้งฐานกันในห้างสรรพสินค้าและคอยกำจัดบาโฟเมตรอบๆ ดังนั้นการอ้างว่าสามารถสร้างของเลียนแบบได้ พวกเขาถึงได้ตาวาวขึ้นมา
ปืนอาจจะอยู่ได้อีกนานแต่กระสุนมีจำกัด หากนี่คือความกังวลของทีมชายฉกรรจ์ ฉันก็จะกลายเป็นความสามารถที่ขาดไปไม่ได้
“พิสูจน์สิ” คนที่จับตัวฉันไว้คลายมือออก
ฉันเรียกเรดในใจให้ร่างแยกปรากฏขึ้น [ทำตัวนิ่งไว้ หลับตาซะ]
โชคดีที่ตอนออกมาจากบ้านฉันจงใจใส่ชุดคล้ายกับเรด รายละเอียดเสื้อผ้าผู้หญิงหากไม่เพ่งมองดีๆ ก็จะไม่สังเกตถึงความแตกต่าง
“นิล…” ฟ่างอ้าปากค้าง แต่ฉันขมวดคิ้วเป็นสัญญาณให้เงียบ
เด็กสาวสวมแว่นคนนี้ย่อมคิดว่าฉันมีพลังสร้างไฟจากการแสดงของเรด เมื่อเห็นพลังอื่นจึงไม่เข้าใจ
“นี่คือของเลียนแบบที่ฉันสร้างได้ตอนนี้ค่ะ แต่เพราะเลเวลยังอยู่แค่หนึ่งเลยไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรได้อีกบ้าง” ฉันอ้างพลางเดินเข้าไปใกล้พวกผู้ชาย “ถ้าอนาคตใช้ปืนได้ก็อยากเรียนรู้ไว้น่ะค่ะ… ช่วยสอนให้หน่อยได้ไหมคะ”
ในเกมมีทักษะพิเศษหลากหลายรูปแบบที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน แม้จะมีพวกอวดพลังแปลกๆ ลงคลิปไว้ให้เห็น แต่คนเหล่านี้ดูเหมือนไม่เคยเปิดหาข้อมูลในเครือข่ายมาก่อน คงยากจะปฏิเสธคำพูดของฉันในทันที
พวกเขาสำรวจเรดแล้วมองหน้ากันเองเพราะไม่อาจตัดสินใจได้ “ขอติดต่อหัวหน้าก่อน”
ในขณะหยิบโทรศัพท์ เรดก็สร้างลูกไฟยิงใส่หัวชายคนหนึ่ง “เชี่ย!”
ฉันรีบแย่งปืนมากอดไว้และจับมือฟ่างวิ่งหาที่กำบัง
สู้เขา เรด! สู้ๆ!!
[ทิ้งกันแบบนี้เลยนะ] เรดคล้ายหงุดหงิดเล็กน้อยแต่จำต้องสนใจการถูกผู้ชายสามคนรุมล้อม