มู่หนานจือ - บทที่ 107 ครอบครัวพร้อมหน้า
เจียงเซี่ยนขมวดคิ้ว
หลิวชิงหมิงผู้นี้มาทำอะไรอีก?
เดิมทีนางไม่อยากเจอ แต่ใครจะรู้ว่าหวังจ้านได้ยินแล้วกลับเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ามีธุระ งั้นข้าก็ขอตัวก่อน…ข้าฉวยโอกาสมาตอนที่งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม เดี๋ยวเจ้าพบไทฮองไทเฮาก็ช่วยทูลไทฮองไทเฮาให้ข้าด้วยว่า หลายวันนี้ข้าเข้าเวรตลอด ตอนที่ข้ามาวังฉือหนิงก็มักจะลั่นดาลแล้ว ตอนที่ข้ากลับไป ก็เป็นเวลาเช้าตรู่ ไว้ผ่านวันที่สิบเดือนหนึ่งไปแล้ว ถึงเวลานั้นข้าจะคิดหาทางมาฉลองเทศกาลโคมไฟเป็นเพื่อนพวกเจ้า”
ปกติจ้าวอี้ไม่อยากให้หวังจ้านติดต่อกับคนของตระกูลเจียง
ตอนนี้หวังจ้านเจียดเวลาว่างมา หากจ้าวอี้รู้เข้า ก็ยังไม่รู้ว่าจะแอบกลั่นแกล้งหวังจ้านอย่างไรบ้าง!
เจียงเซี่ยนไม่กล้ารั้งเขาไว้อีก นางเร่งให้เขารีบกลับไป และเอ่ยว่า “ข้ากับพวกไทฮองไทเฮาไม่ไปร่วมงานเลี้ยงแล้ว ก็ขอให้ท่านมีความสุขในวันปีใหม่ตรงนี้ก่อน! ปีหน้าราบรื่นทุกเรื่อง!”
หวังจ้านยิ้มตาหยีพลางตอบว่า “อือ”
หลังจากภาพเงาด้านหลังหายไปที่กำแพงวังแล้ว เจียงเซี่ยนถึงถามนางในคนนั้น “ขันทีหลิวอยู่ที่ใดเล่า? เชิญเขาไปดื่มชาในตำหนักข้าง!”
นางในขานรับและจากไป
เจียงเซี่ยนกลับตำหนัก เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ หวีผมและล้างหน้ารอบหนึ่ง ดื่มชาร้อนถ้วยหนึ่ง กินของว่างไปสองชิ้นแล้วถึงจะย้ายมานั่งที่ตำหนักข้าง
ระหว่างนี้หลิวชิงหมิงยืนรออยู่กลางตำหนักข้างอย่างนอบน้อมตลอด พอเห็นเจียงเซี่ยนมา ก็รีบเข้ามาคำนับคารวะ สองมือยกกล่องชุบเงินทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดสามนิ้วขึ้น และเอ่ยว่า “ท่านหญิง สิ่งนี้ให้ท่านสำหรับปีใหม่ขอรับ”
เอาใจอย่างไร้สาเหตุ เจียงเซี่ยนระวังตัวขึ้นมา
ทว่านางยังคงรับของไว้อย่างเยือกเย็น
ในเมื่ออีกฝ่ายมาขอร้องนาง ขอเพียงนางนิ่งดุจขุนเขา ละความโลภและความโกรธ คนเหล่านั้นก็จะเผยพิรุธออกมาเอง
นางไล่หลิวชิงหมิงกลับไปโดยไม่ถามอะไรทั้งนั้น
แต่หลังจากนั้นนางก็ยังอดที่จะหยิบกล่องเล็กใบนั้นไม่ได้
ด้านบนกล่องพิมพ์รูปสลักพระโพธิสัตว์ตาราขาว พอเปิดออกก็ข้างในเป็นพลอยขี้นกการเวกขนาดเท่าไข่ห่านเม็ดหนึ่ง งดงามดั่งทะเล ทำให้คนเห็นแล้วจิตใจก็สงบลงตามไปด้วย
นี่น่าจะเป็นของที่มาจากต่างแดน
นางเคยเห็นในหนังสือ นี่เป็นของดีที่ผู้หญิงต่างแดนใช้เป็นที่ห้อย ชิ้นใหญ่ขนาดนี้ มีน้อยมากและล้ำค่ามาก
หลิวชิงหมิงคิดที่จะมอบพลอยขี้นกการเวกให้นางได้อย่างไร?
เขาเอามาจากไหน?
ทำไมเขาถึงได้มีเงินมาติดสินบนนางเยอะขนาดนี้?
เจียงเซี่ยนลูบผิวที่ขรุขระและไม่เรียบของพลอยขี้นกการเวกอย่างแผ่วเบา มักจะรู้สึกว่าตนเองเหมือนมองข้ามอะไรบางอย่างไป
จนกระทั่งนางรับประทานอาหารค่ำเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาแล้ว ตอนที่เสียงนาฬิกาแรกดังรับยามจื่อของปีใหม่ ความรู้สึกแบบนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ถึงขนาดที่ว่านางหลับไปแล้วก็ตกใจตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เหมือนไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง
ฉิงเค่อเป็นคนเข้าเวรกลางคืน นางรีบรินน้ำอุ่นถ้วยหนึ่งส่งให้ใกล้มือเจียงเซี่ยน และเอ่ยว่า “ท่านหญิง ฝันหรือเจ้าคะ?”
“เปล่า!” เจียงเซี่ยนตอบอย่างสับสน ได้ยินเสียงประทัดแว่วๆ
ฉิงเค่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฝ่าบาทเจ้าค่ะ พาซื่อจื่อจิ้งไห่โหว อ๋องเหลียว แล้วก็พวกคุณชายใหญ่มาจุดประทัดในอุทยานหลวง ยังไม่หยุดเลยเจ้าค่ะ!”
เจียงเซี่ยนรู้แล้วว่าทำไมตนเองถึงไม่สบายใจ
เมื่อก่อนทุกครั้งที่ถึงเวลานี้หลี่เชียนก็จะส่งประทัดกองใหญ่เข้าเมืองหลวง นางไม่ชอบคนที่ส่งประทัด แล้วก็ไม่ชอบเสียงอึกทึกครึกโครมเช่นกัน จึงไม่เคยจุดเลย
แต่ตอนนี้นางไม่ได้เจอหลี่เชียนนานมากแล้ว
ไม่มีการรบกวนจากหลี่เชียน
เจียงเซี่ยนนอนลงอีกครั้ง ได้ยินเสียงประทัดดังขึ้นมาอีกหลายนัด ตอนที่ฟ้าเริ่มสว่างถึงจะหลับไปอย่างสะลึมสะลืออีกครั้ง
กว่านางจะตื่น ในตำหนักก็สว่างเจิดจ้า
ฉิงเค่อยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านหญิง เมื่อคืนหิมะตกหนักมาก ในลานขาวโพลนไปหมด พวกขันทีกับนางในน้อยกำลังเล่นปาหิมะกันอยู่! ท่านจะไปดูไหมเจ้าคะ?”
“ไม่ต้อง” วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง ตามธรรมเนียมเจียงเซี่ยนต้องไปอวยพรปีใหม่ไทฮองไทเฮา “เจ้าช่วยพยุงข้าขึ้นเถอะ! วันนี้ข้าต้องอยู่เป็นเพื่อนเสด็จยาย”
ฉิงเค่อช่วยนางเปลี่ยนเป็นเสื้อกันหนาวแขนยาวที่มีซับในสีแดงเข้ม เกล้ามวย และติดดอกทับทิมผ้าสีแดงเข้มแบบพิเศษหนึ่งดอก ขับให้ผิวของเจียงเซี่ยนขาวนวลผ่องเหมือนหิมะแรก และขับให้เอวที่เพรียวบางของนางบอบบางเหมือนกิ่งหลิวที่พลิ้วไหว
ไป๋ซู่เห็นแล้วก็เม้มปากยิ้ม พลางเอ่ยว่า “เจ้าใส่ชุดสีน้ำเงินสวยกว่านะ!”
เจียงเซี่ยนก็รู้สึกอึดอัดเช่นกัน นางดึงเสื้อด้านหน้า แต่ปากกลับเอ่ยว่า “ปีใหม่นี่นา ต้องเรียกสิ่งดีๆ เข้ามาหน่อย!” นางเอ่ยพลางปรายตามองไป๋ซู่ครั้งหนึ่ง
วันนี้ไป๋ซู่ก็ใส่สีแดงเข้มทั้งตัวเหมือนกัน ทว่าบนศีรษะติดดอกสายน้ำผึ้งผ้าไหมจางสองดอก ทั้งสองคนจูงมือกันเข้าไปในห้องอุ่นของไทฮองไทเฮา มองไปไกลๆ เหมือนตุ๊กตารูปคนสองตัว
ไทฮองไทเฮาเห็นแล้วก็หัวเราะไม่หยุด พลางหยิบขนมรังไหมมาให้พวกนางกิน และถามพวกนางว่าหลับสบายหรือไม่ หน้าตาสดใส สีหน้ามีเลือดฝาด
ไทฮองไทเฮาเป็นแบบนี้ทำให้เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็มีความสุขเช่นกัน ทั้งสองคนล้อมไทฮองไทเฮาด้วยรอยยิ้มและเอ่ยสิ่งที่เป็นมงคล
ไทฮองไทเฮากำลังจะให้อั่งเปาเป็นรางวัลแก่พวกนาง หลิวตงเยว่ก็วิ่งเข้ามาบอกว่าจ้าวอี้กับพวกซื่อจื่อจิ้งไห่โหวและอ๋องเหลียวมาคารวะไทฮองไทเฮาแล้ว
ไทฮองไทเฮาขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น และให้เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่กลับไปก่อน ถึงจะสั่งให้หลิวตงเยว่เชิญคนเข้ามา
แต่ยังคงสายไปเล็กน้อยอยู่ดี
พอไป๋ซู่กับเจียงเซี่ยนออกไปข้างนอกก็เจอพวกจ้าวอี้อยู่ตรงหน้า อยากกลับไปเงียบๆ ก็ไม่ได้
ทั้งสองคนจำเป็นต้องเข้าไปคารวะจ้าวอี้
จ้าวอี้ชี้พวกเจียงลวี่กับหวังจ้าน และเอ่ยว่า “เจียหนาน คนพวกนี้เจ้ารู้จักหมด ข้าก็ไม่แนะนำแล้ว ท่านนี้คืออ๋องเหลียวพี่ใหญ่ของข้า ส่วนท่านนี้คือจ้าวเซี่ยวซื่อจื่อจิ้งไห่โหว พูดถึงก็เป็นพี่ชายของเจ้าเหมือนกัน…”
อ๋องเหลียวดูท่าทางอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี รูปร่างผอมสูง หน้าตาสุภาพเรียบร้อย สวมชุดผ้าดิ้นใยป่านสีแดงอมม่วง ท่าทางสูงใหญ่
เขายิ้มพลางประสานมือคารวะเจียงเซี่ยน ถือว่าคารวะแล้ว แลดูทำอะไรตามใจชอบและสนิทสนม
ทว่าจ้าวเซี่ยวกลับขยิบตาให้เจียงเซี่ยน และเอ่ยว่า “ที่แท้ท่านนี้ก็คือท่านหญิงเจียหนานนี่เอง!” น้ำเสียงผ่อนคลายและมีความสุขจนเหลาะแหละเล็กน้อย
จ้าวอี้เลิกคิ้ว และเอ่ยว่า “ที่แท้พวกเจ้ารู้จักกันหรือ?”
จ้าวเซี่ยวยิ้มและเอ่ยว่า “ครั้งที่แล้วบังเอิญเจอท่านหญิงเข้าที่ภูเขาวั่นโซ่ว แต่ตอนนั้นชายหญิงแตกต่างกัน จึงมองอยู่ไกลๆ และไม่กล้าถาม…คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอกันที่วังฉือหนิงอีก”
จ้าวอี้พยักหน้า สีหน้าเย็นชาเล็กน้อย และแนะนำไป๋ซู่กับพวกเขา
ไป๋ซู่คารวะอย่างสุภาพเรียบร้อย
เจียงเซี่ยนสังเกตเห็นว่าอ๋องเหลียวมองไป๋ซู่สองสามครั้ง แต่สายตาไม่ได้ตกใจ ทว่าสังเกต
เพราะไป๋ซู่กำลังจะแต่งงานกับเฉาเซวียนหรือ?
เจียงเซี่ยนคาดเดาในใจ
ฮ่องเต้พาพวกอ๋องเหลียวเข้าไปในห้องอุ่นตะวันออก
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ถอยหลังเล็กน้อย รอให้พวกเขาเข้าไป
ผู้ชายคนหนึ่งที่เดินอยู่ท้ายสุดเดินมาข้างหน้าอย่างลังเล เขาหยุดลงข้างกายเจียงเซี่ยน และพึมพำอย่างทำอะไรไม่ถูกว่า “ท่านหญิง ท่านยังจำข้าได้หรือไม่? ข้าคือเติ้งเฉิงลู่แห่งจวนอันลู่โหว”
เจียงเซี่ยนจำเขาไม่ได้
เขาหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที และเอ่ยว่า “ก็…ก็วันเทศกาลบ๊ะจ่าง ข้าเข้าวังมาเป็นเพื่อนท่านแม่ พวกเราเจอกันที่ระเบียงคด ข้าถามท่านว่าชอบกินบ๊ะจ่างอะไร…”
เจียงเซี่ยนจำได้แล้ว
นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางถูกคนรั้งไว้คุย
นางจำได้เพียงว่าคนนั้นพูดจาตะกุกตะกักต่อหน้านางและเหงื่อตกเต็มศีรษะ แต่กลับลืมหน้าตาของคนนั้นไปตั้งนานแล้ว
ชาติก่อน นางไม่เข้าใจว่านี่คือชอบ
แถมยังทำให้เขาจากไปอย่างตกใจด้วย
ชาตินี้นึกขึ้นได้แล้วกลับเสียใจกับคนนั้น
นางยิ้มและเอ่ยว่า “เจ้าก็เข้าวังมาพบฝ่าบาทเช่นกันหรือ?”
เจียงเซี่ยนน้ำเสียงอ่อนโยน แตกต่างกับคนที่จ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นยะเยือกในวันนั้นอย่างสิ้นเชิง
เติ้งเฉิงลู่อ้ำๆ อึ้งๆ และพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว เขาเห็นว่าทุกคนเข้าไปในห้องอุ่นตะวันออกหมดแล้ว และไม่อาจชักช้าได้แล้ว จึงรีบตามไป แต่ก็ไม่ทันระวังไปชนม่านประตูเข้า จนเกือบล้ม
นางในและขันทีที่เข้าเวรอยู่ข้างๆ กลั้นไว้ไม่กล้าหัวเราะ
ทว่าเติ้งเฉิงลู่กลับอยากให้ฟ้าผ่าตนเองเสียตอนนี้
เขากุมหน้าผากที่ถูกชนไว้ และเข้าไปในห้องอุ่นตะวันออกอย่างอับอาย
————