มู่หนานจือ - บทที่ 114 เจอกัน
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” เจียงเซี่ยนตกใจเป็นอย่างมาก และรีบมองไปรอบด้าน ถึงพบว่าไม่รู้ว่าตนเองเดินมาถึงใต้ต้นไม้โบราณขนาดสองคนโอบที่แตกกิ่งก้านต่อกันเหมือนร่มซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องอุ่นตั้งแต่เมื่อไร ข้างกายนั้นนอกจากนางในกับขันทีที่รับใช้ตนเองแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก บนพื้นน้ำแข็งที่อยู่ไกลๆ ธงหลากสีโบกสะบัดกำลังเป็นช่วงเวลาที่คึกคักพอดี นางถึงโล่งอก
หลี่เชียนมองนางและหัวเราะเล็กน้อย พลางเอ่ยว่า “นี่ก็เพราะข้าได้ยินว่าหน่วยองครักษ์กับกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครเล่นปิงฉิว[1]อยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ?”
การเล่นปิงฉิวก็เหมือนกับทำสงครามเช่นกัน ต้องเคลื่อนทัพ จัดวางกำลังทหาร และต้องวางแผน
จ้าวอี้ทำแบบนี้ก็เหมือนกับเผยไพ่ตายของตนเองให้หลี่เชียนดูแล้ว
แต่จ้าวอี้ในชาตินี้ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นไม่กี่ปีหลี่เชียนจะก่อกบฏ…นี่ก็ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรมเช่นกัน!
เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียน และพยักหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ทว่าหลี่เชียนกลับรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ตลกมากจริงๆ
หน้าตาอ่อนวัยมาก แต่สีหน้ากลับเย็นชาราวกับน้ำแข็ง เหมือนกับเด็กที่แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่
เขาอดที่จะลากแขนเจียงเซี่ยนและพานางไปหลังต้นไม้ไม่ได้ ขณะที่ปากยังบ่นว่า “ท่านจะยืนก็ยืนตรงที่ไม่โดนลมสิ! ไม่งั้นก็ไปที่กระโจมที่ประทับของฝ่าบาท ตรงนั้นมองเห็นชัดและเข้าใจ พี่ใหญ่ของท่านก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน”
เจียงเซี่ยนไม่สนใจพวกกองกำลังรักษาพระนครที่ดูเหมือนโหดเหี้ยมและเต็มไปด้วยจิตสังหาร ทว่าถึงเวลาลงสนามรบจริงส่วนใหญ่กลับพ่ายแพ้ย่อยยับ จึงเอ่ยว่า “เจ้าออกมา เฉาไทเฮารู้หรือไม่?”
ทันใดนั้นหัวใจของหลี่เชียนก็เหมือนถูกลวกด้วยน้ำอุ่น และสงบลงอย่างถึงที่สุด
หญิงสาวถามและตอบอย่างยากที่จะเข้าใจได้ทุกครั้ง แต่ทุกประโยคและทุกถ้อยคำกลับล้วนพุ่งมาที่เขาและเป็นห่วงเขา
“รู้!” เสียงของเขาอ่อนลงในทันใด “ไม่เพียงแต่เฉาไทเฮาที่รู้ เฉาเซวียนยังคิดหาทางให้ข้าปลอมตัวเข้ามาด้วย”
เจียงเซี่ยนถึงได้สังเกตว่าเขาสวมเครื่องแบบของหน่วยองครักษ์อยู่
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย และเอ่ยว่า “เจ้าน่าจะใส่เครื่องแบบของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร เครื่องแบบของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครทำงานง่ายกว่าหน่วยองครักษ์มาก และตรวจเจอได้ยาก”
หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “นี่ก็เพราะกลัวสร้างปัญหาให้ซื่อจื่อแห่งจวนเจิ้นกั๋วกงไม่ใช่หรือ?”
“เวลาทำสงครามต้องมีกลลวง!” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างจริงจัง “เจ้าห่วงหน้าพะวงหลังแบบนี้ เป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงไม่ได้หรอก!”
เป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงแล้ว ก็สามารถลากจ้าวอี้ลงมาจากตำหนักจินหลวนได้
ตอนนี้นางอยากให้จ้าวอี้ได้เห็นตนเองเป็น ‘ซุ่นตี้’ หรือ ‘ไอตี้’ ตอนที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่มาก นั่นถึงจะเป็นการกำจัดความโกรธในใจอย่างแท้จริง!
ทว่าเสียงพูดของนางยังไม่ทันจางหาย ดวงตาของหลี่เชียนกลับลุกไหม้ขึ้นมาเหมือนเปลวไฟสองกอง ซึ่งร้อนแผดเผาจนลวกคน และสว่างไสวจนแสบตา
“ท่านก็คิดว่าข้าจะกลายเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงเหมือนกันหรือ?” เขาถาม ในน้ำเสียงมีความร้อนรนที่ทำให้คนสังเกตได้ยาก แต่กลับถูกเจียงเซี่ยนจับได้แล้ว
ก็?!
มีคนคิดแบบนี้เหมือนกันงั้นหรือ?
หลี่ฉางชิง? หรือว่าเพื่อนหญิงที่รู้ใจคนไหนของเขา?
ชาติก่อนเขาไม่แต่งงาน จนกระทั่งนางพระราชทานอนุภรรยาให้เขา เขาถึงมีทายาท
เจียงเซี่ยนขมวดคิ้วขึ้นมา และย้อนถามว่า “เจ้าไม่อยากเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงที่ทิ้งชื่อเสียงอันดีงามไว้ในประวัติศาสตร์หรือ?”
หลี่เชียนแสยะปากยิ้ม รอยยิ้มทระนงตนและได้ใจ ราวกับส่องสว่างไปทั่วหล้า “ตั้งแต่เล็กข้าก็หวังว่าตนเองจะเป็นเหมือนเว่ยชิงกับฮั่วชวี่ปิงได้ ท่านพ่อบอกว่า ข้ามีแววว่าจะเป็นแม่ทัพ ต่อไปจะต้องกลายเป็นแม่ทัพที่มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน”
“คนที่เอ่ยเรื่องนี้คือพ่อของเจ้า?” เจียงเซี่ยนรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
ในเมื่อเชื่อมั่นในลูกชายของตนเองขนาดนี้ ทำไมตอนที่อายุสามสิบสี่สิบปีถึงลาออกและปลีกตัวออกจากราชสำนัก? ต่อให้ไม่อยากขวางทางลูกชาย อย่างน้อยก็คุมพวกยุทธปัจจัยอย่างเสบียงกับหญ้าก็ได้กระมัง? ถึงอย่างไรก็น่าไว้ใจมากกว่าพี่ชายที่ชื่อหลี่หลินนั่นกระมัง?
นางมักจะรู้สึกว่ามีบางจุดในนั้นที่นางไม่เข้าใจ
ทว่านางก็ไม่ได้ซักถามมากนักเช่นกัน
ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของชาติก่อน และหลังจากนางฟื้นคืนชีพมา เรื่องราวมากมายก็เปลี่ยนไปแล้ว หลี่เชียนกับหลี่ฉางชิงได้รับผลกระทบมากขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็จะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
หลี่เชียนพยักหน้า และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเติบโตบนบ่าของท่านพ่อมาตั้งแต่เล็ก ท่านพ่อรักข้ามาก ขอเพียงข้ามีความสุข เขาก็จะให้ข้าทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากท่านแม่เสียไป…ความจริงแล้วน้องรองของข้าอายุน้อยกว่าข้าแค่ห้าปี แต่ท่านพ่อก็กดหัวไว้ตลอดจนเขาอายุเก้าขวบถึงให้เขาเริ่มเรียนหนังสือ”
ตอนที่เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็แลดูค่อนข้างจนใจ
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับรู้สึกว่าทำแบบนี้ไม่ดี จึงเอ่ยว่า “ไม่อยากให้เขาขวางทางเจ้าก็มีวิธีการตั้งมากมาย แบบพ่อเจ้านี่เป็นหนึ่งในวิธีที่โง่ที่สุด หากไม่ระวังก็จะเหมือนเลี้ยงหมาป่าขึ้นมาฝูงหนึ่ง อันที่จริงครอบครัวนักรบอย่างพวกเจ้า ทั้งครอบครัวต้องร่วมแรงร่วมใจกันถึงจะประสบความสำเร็จได้โดยง่าย ดังนั้นควรจะคิดหาทางปลูกฝังให้เขาเป็นผู้ช่วยของเจ้าถึงจะถูก ไม่ใช่บุ่มบ่ามเอาแต่กดขี่แบบนี้…”
หลี่เชียนมองอย่างจริงจัง ตั้งใจฟังนาง
เจียงเซี่ยนรีบปิดปาก
นี่เป็นความขัดแย้งในครอบครัวของตระกูลหลี่ นางไปยุ่งอะไรด้วยล่ะ!
ยิ่งกว่านั้นคนอื่นอาจจะรู้ว่า บางครั้งสถานการณ์แค่บังคับคนเท่านั้นเอง!
ทว่าหลี่เชียนกลับเอ่ยว่า “ทำไมท่านไม่พูดแล้วล่ะ?”
เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไร้ชีวิตชีวาว่า “พูดจบแล้ว!”
หลี่เชียนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น และขยิบตาให้เจียงเซี่ยน “ท่านวางใจ ข้าจะไม่บอกสิ่งที่ท่านพูดกับท่านพ่อหรอก!”
ดวงตานั้นแฝงไปด้วยรอยยิ้มปนเจ้าเล่ห์เล็กน้อย ราวกับมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
เจียงเซี่ยนหัวใจเต้นผิดจังหวะ และรู้สึกหน้าร้อน ไม่ค่อยกล้าสบตากับเขา จึงหลุบตาลงเหมือนหลบเลี่ยง ในใจยังพึมพำอย่างไม่ยอมว่า “เจ้าไปบอกพ่อเจ้าเถอะ! ข้ายังกลัวเขางั้นหรือ! เจ้าลองไปดูตระกูลแม่ทัพที่ยืนยาวมาร้อยปีพวกนั้น มีตระกูลไหนที่ลูกชายของภรรยาเอกกับลูกชายของอนุภรรยาไม่เหมือนกันบ้าง มีแต่ความสามารถเท่านั้นที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด รากฐานของตระกูลเจ้าก็อ่อนแอเกินไปเช่นกัน จนทำอะไรตามอำเภอใจ แล้วก็ไม่ใช่ตระกูลที่เรียนหนังสือหรือทำการเกษตรมาหลายชั่วอายุคน แม้แต่ตระกูลแบบนั้น ลูกชายของอนุภรรยาที่มีพรสวรรค์ ก็จะพยายามอุทิศชีวิตให้กับเรียนหนังสือเช่นกัน…”
บอกว่าตระกูลหลี่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจขึ้นมาชั่วข้ามคืน
หากเป็นคนอื่น หลี่เชียนจะต้องรู้สึกไม่พอใจแน่
ทว่าพอเป็นเจียงเซี่ยน เขารู้ว่านางหวังดีกับเขา
เหมือนที่พอทั้งสองคนเจอกัน นางก็ถามว่าเขาออกมาเองหรือเปล่า เพียงเพราะกลัวว่าเฉาไทเฮาจะรู้ร่องรอยของเขาเท่านั้น
ผู้หญิงคนนี้ จะจบอย่างไร
เวลาเป็นห่วงคนอื่นก็แข็งทื่อเช่นกัน ไม่นุ่มนวลแม้แต่นิดเดียว
แบบนี้หากแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่รู้นิสัยนาง จะไม่ทุกข์ใจจนตายงั้นหรือ
หลี่เชียนนึกถึงข่าวลือในช่วงนี้ แล้วเขาก็อดที่จะเงียบไม่ได้
ความเงียบแบบนี้ เกิดขึ้นกับเขาน้อยมาก
ซึ่งเมื่อเกิดขึ้น นั่นก็คือจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
เจียงเซี่ยนใจเต้นตึกตัก ในน้ำเสียงเจือความกระวนกระวายที่แม้แต่ตนเองก็ไม่รู้สึกเช่นกัน นางเอ่ยว่า “เจ้าเป็นอะไรไป?”
หลี่เชียนรีบเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร” ทว่าพอมองดวงตาสีดำสนิทที่จ้องเขาอยู่ของเจียงเซี่ยน หัวใจเขาก็คิดจะก่อความวุ่นวายขึ้นมาเอง จนกระทั่งอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “คนข้างนอกต่างกำลังลือว่าฝ่าบาทจะตั้งท่านเป็นฮองเฮา…”
สีหน้าของเจียงเซี่ยนเปลี่ยนเป็นซีดลงกว่าเดิมในชั่วพริบตา
นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มดูถูก
มิน่าเล่าไทฮองไทเฮาถึงไม่อยากให้นางตามจ้าวอี้มาดูการละเล่นบนน้ำแข็งแล้ว คงจะได้ยินข่าวลือแบบนี้มาก่อนแล้วแน่ๆ
ความไม่เป็นธรรมและการเหยียดหยามที่ได้รับในชาติก่อนเหล่านั้นหมุนวนในใจนางอีกครั้ง จนนางอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “เขาคิดจะใช้ข้าเป็นเครื่องมือ?! ฝันไปเถอะ!” นางเข้าใจจุดสำคัญในนี้ทันที และปรายตามองหลี่เชียนอย่างเย็นชา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสูงปนแหลม เหมือนกับที่ทั้งสองคนปฏิบัติต่อกันหลังจากที่นางกับหลี่เชียนทะเลาะกันจนแตกหักกันแล้วในชาติก่อน “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะให้ตนเองแต่งงานออกไปก่อนเขาตั้งฮองเฮาอย่างแน่นอน”
จ้าวอี้จะกลายเป็นเพียงบันไดที่จะก้าวไปสู่ความก้าวหน้าของนางเท่านั้น
——————-