มู่หนานจือ - บทที่ 122 โกรธ
“แต่ข้าก็ต้องไปจากไทฮองไทเฮาเช่นเดียวกัน” เจียงเซี่ยนเอ่ย สีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “ข้าไม่อยากไปจากเสด็จยาย”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่นางรู้ดีว่าไทฮองไทเฮาเหลือเวลาอีกไม่เท่าไร และทุกวันที่ผ่านไปก็เท่ากับลดลงไปหนึ่งวัน
ไป๋ซู่ถอนหายใจ และกอดเจียงเซี่ยนเบาๆ
ทั้งสองคนตัดสินใจกลับวังก่อน
เจียงเซี่ยนเรียกซุนเต๋อกงมา และให้เขาไปแจ้งจ้าวอี้
จ้าวอี้โกรธมาก ทว่าต่อหน้าพวกเจียงลวี่กลับไม่อาจพูดอะไรได้ เขาจึงใช้กำลังระงับโทสะในใจเอาไว้และอนุญาตให้เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่กลับไปก่อน
การกระทำของเจียงเซี่ยนทำให้จ้าวเซี่ยวได้เห็นความเอาแต่ใจของนางอีกครั้ง แต่เจียงลวี่กลับคิดว่าทางฝั่งเจียงเซี่ยนต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ ติดที่ว่าจ้าวอี้อยู่ด้วย เขาจึงไม่อาจถามอะไรมากได้ เพียงแค่ขอให้จ้าวอี้อนุญาตให้เขาไปส่งเจียงเซี่ยนเท่านั้น
จ้าวอี้เห็นเจียงลวี่ทำเหมือนว่าตามหลักก็ควรจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้วก็รู้สึกโกรธ ดังนั้นน้ำเสียงจึงเย็นชามาก “งั้นใต้เท้าเจียงก็ไปส่งท่านหญิงเจียหนานเถอะ!”
เจียงลวี่รู้สึกว่าจ้าวอี้แปลกประหลาดจนแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว จึงไม่อยากสนใจเขามากนัก คารวะแล้วก็ลุกขึ้นบอกลา
หวังจ้านอยากตามไปดูมาก ทว่าเห็นสีหน้าของจ้าวอี้ดูแย่มากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเรื่องอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจเจียงลวี่ เขาคิดแล้ว สุดท้ายจึงยังคงเงียบเช่นเดิม
แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนไม่อยากให้เจียงลวี่เป็นกังวล จึงบอกเพียงว่าอากาศหนาวเกินไป นั่งดูพวกทหารวิ่งไปวิ่งมาบนผิวทะเลสาบอยู่ตรงนั้นก็น่าเบื่อ จึงกลับวังดีกว่า วันไหนว่างค่อยออกมากับเจียงลวี่เป็นการส่วนตัว “…ข้าก็ไม่ใช่คนของกรมกลาโหมเสียหน่อย จะสนหรือว่าหน่วยองครักษ์เก่งมากหรือกองบัญชาการปัจญทิศรักษานครเก่งมาก?”
เจียงลวี่ได้ยินก็หัวเราะเสียงดังลั่น และรู้สึกว่าผู้หญิงควรจะแสดงออกเช่นนี้ต่างหาก จึงไม่สงสัย และประคองเจียงเซี่ยนขึ้นรถม้าด้วยตนเอง
ไม่ต้องอยู่ร่วมห้องกับสตรีพวกนั้น เจียงเซี่ยนก็โล่งอก พอกลับถึงวังฉือหนิงและเจอไทฮองไทเฮาก็ไม่บ่น แค่บอกว่าเจียงลวี่เก่งมากแค่ไหน ตอนที่คุณหนูสองคนของตระกูลอันกั๋วกงกับคุณหนูของตระกูลอันลู่โหวพูดถึงเจียงลวี่ดวงตาสว่างไสวแค่ไหนเป็นต้น ไทฮองไทเฮาได้ฟังเรื่องส่วนตัวของเด็กสาวเหล่านี้ก็รู้สึกว่าตนเองอ่อนเยาว์ลงหลายปี และมีความสุขมาก จึงตั้งใจสั่งให้ห้องเครื่องเพิ่มอาหารอีกสองสามอย่างเป็นพิเศษ
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ต่างเหนื่อยเล็กน้อย พวกนางรับประทานอาหารมื้อเย็นเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาแล้วก็ต่างคนต่างไปพักผ่อน
ใครจะรู้ว่าเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นจ้าวอี้กลับมาคารวะไทฮองไทเฮา
ไทฮองไทเฮาก็คุยกับเขาเรื่องการละเล่นน้ำแข็งที่ทะเลสาบสือช่า
จ้าวอี้ตอบไทฮองไทเฮาอย่างขอไปทีลวกๆ ไม่กี่คำ ไม่ได้ใส่ใจนัก
ไทฮองไทเฮารู้สึกไม่พอใจ ตอนที่จ้าวอี้ลุกขึ้นบอกลาจึงไม่ได้รั้งเขาไว้เช่นกัน ทว่าใครจะรู้ว่าเขากลับเอ่ยกับเจียงเซี่ยนที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “น้องหญิง เจ้าออกไปส่งข้าเถอะ!”
ตามธรรมเนียมก็ไม่เป็นเรื่องผิด ทว่าตั้งแต่จ้าวอี้ว่าราชการด้วยตนเอง นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากเองว่าให้เจียงเซี่ยนออกไปส่งเขา จึงแปลกเล็กน้อย
เจียงเซี่ยนส่งจ้าวอี้ออกด้านนอกอย่างเยือกเย็น
เหมือนกับเมื่อก่อนตอนที่ทั้งสองคนยังไม่หวาดระแวงกันแม้แต่นิดเดียว
จ้าวอี้ออกมาจากวังฉือหนิงแล้วกลับไม่นั่งบนเกี้ยวทันที ทว่ายืนคุยกับเจียงเซี่ยนบนขั้นบันไดของวังฉือหนิง “เมื่อวานเจ้าเป็นอะไรไป? นึกไม่ถึงว่าจะทะเลาะกับชิงอี๋ นางเป็นคนไม่รู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ เจ้าทะเลาะกับนางจะไม่เสียหน้าหรือ?”
เขามีสิทธิอะไรมาสั่งสอนนาง?
เจียงเซี่ยนก็โกรธทันที และเอ่ยว่า “ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร? จะช่วยพูดให้หานถงซินหรือ? นางชี้หน้าด่าหม่อมฉันแล้ว ฝ่าบาทยังให้หม่อมฉันอดทนกับนาง ฝ่าบาทเลอะเลือนไปแล้วหรือเปล่า? ไม่ ฝ่าบาทมีเรื่องจะขอร้องอ๋องเจี่ยนหรือเปล่า? ต่อให้มีเรื่องจะขอร้องอ๋องเจี่ยน ฝ่าบาทก็ไม่จำเป็นต้องไปประจบหลานสาวคนหนึ่งของพวกเขาเช่นกัน ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องเจี่ยนยังมีชีวิตอยู่ดี สติปัญญาดี และทำอะไรเฉลียวฉลาด…”
หน้าของจ้าวอี้เปลี่ยนเป็นโกรธจัด เขาตะโกนว่า “เจียงเซี่ยน เจ้าจะหยุดได้หรือยัง? เจ้าลองดูตนเองตอนนี้สิว่ากลายเป็นแบบไหนไปแล้ว? ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น? อยากทำอะไรก็ทำ? อยากจะโกรธใครก็โกรธ สรุปแล้วในวังนี้ข้าเป็นฮ่องเต้หรือเจ้าเป็นฮ่องเต้กันแน่…” เขาพูดอยู่ จู่ๆ ก็บันดาลโทสะขึ้นมา จึงเตะประตูใหญ่ที่ติดที่เคาะประตูทองแดงของวังฉือหนิงไปทีหนึ่ง “ทำไมพวกเจ้าถึงเป็นแบบนี้กันหมด? คนสกุลฟางไม่รู้ว่าไปที่ไหน? เสด็จแม่ก็บังคับให้ข้าตั้งชื่อและตำแหน่งให้ซ่งเสียนอี๋…พวกเจ้าจะหยุดสักนิดไม่ได้หรือ?”
เจียงเซี่ยนยิ้มเยาะ และตัดสินใจทำให้จ้าวอี้ไม่สบายใจเช่นกัน
“คนสกุลฟางไปเจอสามีกับลูกของนางที่เมืองเป่าติ้งไม่ใช่หรือ? จะหายตัวไปได้อย่างไร?” นางแสร้งทำเป็นเอ่ยอย่างไม่รู้อะไรเลย “ซ่งเสียนอี๋ยังไม่คลอดลูก ทำไมไทเฮาต้องบังคับให้ฝ่าบาทตั้งชื่อและตำแหน่งให้ซ่งเสียนอี๋ด้วย? ความดีความชอบที่คลอดลูกชายคนโตที่เกิดจากสนมกับลูกสาวคนโตที่เกิดจากสนมไม่เหมือนกันนะ ซ่งเสียนอี๋จะคลอดช่วงเดือนสองไม่ใช่หรือ? นี่ยังมีเวลาอีกกี่วันล่ะ! จะรีบร้อนขนาดนั้นไปทำไม?”
จ้าวอี้จ้องนางตาโต มุมปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ ท่าทางไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดี
เจียงเซี่ยนมองเขาอย่างเงียบๆ และคุมเชิงกับเขาอยู่
จ้าวอี้หันตัวไปขึ้นเกี้ยวทันที และตวาดเสี่ยวโต้วจึเสียงดัง “ยังไม่กลับวังเฉียนชิงอีก!”
เสียงนั้นฟังดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เสี่ยวโต้วจึรีบสั่งให้ยกเกี้ยวขึ้นไม่หยุด
เจียงเซี่ยนเบ้ปาก และกลับวังฉือหนิง
ไม่นานก็ถึงวันที่สิบสี่เดือนหนึ่งแล้ว ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงเข้าวังมาเยี่ยมไทฮองไทเฮา แล้วก็ปิดประตูกระซิบคุยกับไทฮองไทเฮาอยู่ในห้องอุ่นตะวันออกนานมาก จนกระทั่งออกมาเจอเจียงเซี่ยน เจียงเซี่ยนก็อดที่จะถามนางอย่างอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ “ท่านคุยอะไรกับเสด็จยายไปบ้างหรือ?”
ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงยิ้มและเอ่ยว่า “ปีนี้เป็นปีแรกที่ฝ่าบาทว่าราชการด้วยพระองค์เอง แถวถนนฉางอัน ถนนประตูฉงเหวิน ถนนประตูเซวียนอู่ และต้าสือลั่นต่างมีงานเทศกาลโคมไฟ ลุงของเจ้าบอกว่าคึกคักมาก ข้าจึงโน้มน้าวให้ไทฮองไทเฮาออกไปเดินเล่นด้วย”
“ดีเลย ดีเลย!” เจียงเซี่ยนก็รู้สึกว่าท่านยายอยู่ในวังเหงาเกินไปหน่อยเช่นกัน “ไทฮองไทเฮาตกลงหรือไม่? หากไทฮองไทเฮาไม่ตกลง ข้าจะลองไปเกลี้ยกล่อมไทฮองไทเฮา จะได้ลากจ่างจูออกไปด้วยกันด้วย อีกไม่นานนางก็จะแต่งงานแล้ว ถึงเวลานั้นจะชวนนางออกมาก็ไม่ง่ายแบบนี้แล้ว”
ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงยิ้มพลางพยักหน้า และเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮาตรัสว่า เรื่องนี้ยังต้องปรึกษาหารือกับฝ่าบาท”
ถึงอย่างไรไทฮองไทเฮาออกไปข้างนอกก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “งั้นข้าจะไปคุยกับฝ่าบาท”
นางจึงเอ่ยว่า “ไม่ต้อง เรื่องนี้ข้ามอบให้เจียงลวี่แล้ว ตอนนี้เขาได้เข้าเฝ้าฝ่าบาททุกวัน…การละเล่นบนน้ำแข็งที่ทะเลสาบสือช่าครั้งที่แล้ว ทหารของกองบัญชาการปัญจทิศรักษานครชนะหน่วยองครักษ์ สองสามวันนี้ฝ่าบาทว่าราชการเสร็จแล้วก็รั้งเจียงลวี่ไว้ถามเรื่องการเดินทัพและจัดวางกำลังทหาร เขาไปคุยจะสะดวกกว่าเจ้า”
เจียงเซี่ยนก็ไม่อยากไปคุยกับจ้าวอี้เช่นกัน หากเป็นเจียงลวี่ขอแทนก็ดีกับนาง จึงตกลงอย่างรวดเร็ว
คิดไม่ถึงว่าจ้าวอี้จะตกลงอย่างเร็วมาก แถมยังตั้งใจมาถามไทฮองไทเฮาโดยเฉพาะด้วยว่าอยากจะดูโคมไฟที่ไหน
ไทฮองไทเฮาคิดว่าถนนฉางอันอยู่ค่อนข้างใกล้กับวังหลวง จึงตัดสินใจเลือกถนนฉางอัน
—
ถึงวันที่สิบหกเดือนหนึ่ง ถนนฉางอันก็สร้างจุดชมทิวทัศน์ตรงที่ใกล้กับแม่น้ำหยกและสะพานเหนือ และปิดถนนครึ่งสาย ไทฮองไทเฮากับฮ่องเต้ร่วมสุขกับประชาชน และชมเทศกาลโคมไฟด้วยกัน
ไทฮองไทเฮาห่อตัวด้วยเสื้อคลุมหนังเตียวสีดำ สวมผ้าคาดหน้าผากขนจิ้งจอกสีขาว ถือเตาอุ่นมือที่ลงยาและนอนตะแคงอยู่ในจุดชมทิวทัศน์ที่ล้อมด้วยม่านหนังสามด้าน คุยเรื่องตลกกับเหล่าสตรีบรรดาศักดิ์ที่รับราชโองการให้มาอยู่เป็นเพื่อนและพาผู้ดูแลมาด้วย เวลาว่างที่เหลือถึงจะว่างเงยหน้าดูทะเลโคมไฟที่สว่างไสวราวกับทะเลดาวบนถนนฉางอันสักครั้ง
เจียงเซี่ยนที่อยู่เป็นเพื่อนข้างๆ แลกเปลี่ยนสายตากับไป๋ซู่อย่างจนใจครั้งหนึ่ง
นางก็รู้ว่าสุดท้ายแล้วการชมโคมไฟก็เป็นเพียงการให้ไทฮองไทเฮาเปลี่ยนสถานที่คุยเล่นกับสตรีบรรดาศักดิ์ข้างในเหล่านั้นเท่านั้น
งั้นอยู่ที่วังฉือหนิงยังดีเสียกว่า
อย่างน้อยในวังฉือหนิงก็จุดเตาไฟใต้ตำหนักคลายหนาว และอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ
ที่นี่ต่อให้อุ่นแค่ไหนก็เป็นเพียงจุดชมทิวทัศน์ที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น แขวนม่านหนังแล้วก็มีลมหนาวลอดเข้ามาอยู่ดี
หากรู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ก็ไม่โน้มน้าวให้ไทฮองไทเฮาออกมาแล้ว
เจียงเซี่ยนมองเหล่าสตรีบรรดาศักดิ์ที่หนาวจนอดจะถูมือไม่ได้ แล้วก็รู้สึกว่าทุกคนต่างทรมานมาก
——————-