มู่หนานจือ - บทที่ 123 เข้าเฝ้า
ไป๋ซู่ทำได้เพียงปลอบใจเจียงเซี่ยน “เจ้าก็ถือว่าเดินเล่นในอุทยานหลวงเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาอีกพักหนึ่งแล้วกัน อย่างไรนี่ก็ดีกว่าอยู่ในห้องอุ่นของวังฉือหนิงทุกวัน ปีนี้ไทฮองไทเฮายังไม่ได้ออกมาข้างนอกเลย”
นั่นก็ถูก
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่หลบอยู่ในมุมและซุบซิบคุยกัน ฮูหยินอันลู่โหวพาเติ้งเฉิงลู่มาคารวะไทฮองไทเฮา และเอ่ยว่า “งานเทศกาลโคมไฟปีนี้คึกคักจริงๆ หม่อมฉันจึงพาลูกชายของพวกเราออกมาข้างนอกเพคะ ตอนที่เดินถึงแม่น้ำหยกและสะพานเหนือถึงรู้ว่าไทฮองไทเฮาทอดพระเนตรโคมไฟอยู่ที่นี่ หม่อมฉันจึงมาโดยไม่ได้รับเชิญ จะพาลูกชายของพวกเรามาถวายบังคมไทฮองไทเฮาเพคะ”
เติ้งเฉิงลู่หน้าตาหล่อเหลา และไม่มีความขี้ขลาดเช่นตอนที่เจอเจียงเซี่ยนแล้ว เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยหน้าตาอ่อนโยน สง่างามมากเหมือนต้นหยก ก็เป็นหนุ่มรูปงามคนหนึ่งเช่นกัน
ไทฮองไทเฮาเห็นแล้วถูกชะตามาก นางจับมือของเติ้งเฉิงลู่และถามเรื่องการเรียนของเขา จึงรู้ว่าเขาผ่านการสอบขุนนางระดับเมืองซึ่งเป็นระดับแรกสุดแล้ว ทว่าเพราะต้องสืบทอดจวนอันลู่โหวจึงไม่เข้าร่วมการสอบขุนนาง[1]อีก พอเห็นสายตาของเขาก็ยิ่งพอใจ จนชมตลอดว่าฮูหยินอันลู่โหวสอนลูกเก่ง แถมยังให้เติ้งเฉิงลู่พาคุณหนูเติ้งน้องสาวไปเป็นแขกที่วังฉือหนิงเวลาที่ว่างด้วย “…ไป๋ซู่ออกจากวังแล้ว พวกเรามีคนไม่พอสำหรับวงไพ่ด้วยซ้ำ”
เติ้งเฉิงลู่ได้ยินก็นัยน์ตาเป็นประกาย และเอ่ยว่า “กระหม่อมไม่ทราบว่าไทฮองไทเฮากับท่านหญิงเจียหนานชอบเล่นไพ่ด้วย”
“ในวังไม่มีอะไร ก็เล่นไพ่ฆ่าเวลา” ไทฮองไทเฮาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เติ้งเฉิงลู่พยักหน้าอย่างเข้าใจมาก และเอ่ยว่า “มารดาของกระหม่อมเวลาอยู่บ้านและไม่มีอะไรทำก็มักจะเล่นไพ่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
ไทฮองไทเฮาพยักหน้าตลอด และจับมือของเขาไว้แทบจะไม่อยากปล่อย
ไม่นาน ฮูหยินอันกั๋วกงก็พาหลานชายของครอบครัวนางมา
ข้ออ้างเหมือนกับฮูหยินอันลู่โหว ผู้ชายที่พามาอายุพอๆ กับเติ้งเฉิงลู่ ชื่อจินเซียว หน้าตาดีกว่าเติ้งเฉิงลู่เสียอีก การพูดจาและกิริยาท่าทางสุภาพเรียบร้อย แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นลูกหลานตระกูลขุนนาง ตามที่เขาบอก ตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งแม่ทัพโหยวจีอยู่ที่กองบัญชาการอวี๋หลิน จินไห่เทาบิดาเวลานี้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพไท่หยวน เทียดเป็นลูกสาวคนที่สิบสามของฮ่องเต้ไท่จง
ที่แท้ในครอบครัวเคยมีคนแต่งงานกับองค์หญิงนี่เอง
เจียงเซี่ยนอดที่จะมองไปทางเขาไม่ได้
จินเซียวก็ปรายตามองมาพอดีเช่นกัน
ทั้งสองคนสบสายตากันกลางอากาศ
เจียงเซี่ยนยิ้มให้เขา
จินเซียวหน้าแดงก่ำทั้งหน้าทันที และหันหน้ากลับไป
แล้วก็มีฮูหยินของเพื่อนขุนนางของเจียงเจิ้นหยวนรู้ว่าฮูหยินเจิ้นกั๋วกงอยู่ตรงนี้ ให้แม่นมที่หน้าตาดีข้างกายคุกเข่าคารวะนางข้างนอก ไทฮองไทเฮาจึงถือโอกาสเรียกครอบครัวนั้นเข้ามาคุยเสียเลย
ภรรยาของขุนนางคนนั้นก็พาลูกชายมาด้วยเช่นกัน แม้จะดูท่าทางอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี ทว่าหน้าตาหล่อเหลางดงามจนสะดุดตาแล้ว
ไป๋ซู่ฝืนอดทนยิ้ม พลางใช้ข้อศอกสะกิดเจียงเซี่ยน และเอ่ยเสียงเบาว่า “วันนี้คนเยอะจริงๆ!”
หากตอนที่เจียงเซี่ยนเห็นเติ้งเฉิงลู่ยังไม่เข้าใจ ตอนที่นางเห็นลูกชายของเพื่อนขุนนางของเจียงเจิ้นหยวนคนนั้นก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว
นางทำได้เพียงปล่อยให้ไป๋ซู่ประชดไป ในใจก็อดที่จะเห็นใจคนที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ไม่ได้
คู่หมั้นที่จะเตรียมให้นางไม่อาจพาไปที่วังฉือหนิงทีละคนได้ ไทฮองไทเฮาจึงคิดเช่นนี้ ตั้งจุดชมทิวทัศน์ที่แม่น้ำหยกและสะพานเหนือในวันที่หนาวที่สุดในฤดูหนาว แล้วพาคนที่ถูกเลือกมาดูทีละคน
ตอนที่เจอไทฮองไทเฮาก็ไม่รู้ว่าลับหลังคนพวกนั้นเตรียมตัวอย่างลนลานแค่ไหน? และไม่รู้ว่ามาเข้าเฝ้าอย่างกระวนกระวายแค่ไหน…
เจียงเซี่ยนมองป้าสะใภ้ใหญ่ที่ยิ้มตาหยีและนั่งอยู่ต่ำกว่าไทฮองไทเฮา รู้ว่าเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับนางเช่นกัน จึงรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย แล้วก็จนใจเล็กน้อยเช่นกัน
จริงดังที่ไป๋ซู่กล่าว วันนี้คนเยอะไปหน่อยจริงๆ และคนที่มาหากไม่ใช่ว่าตนเองยอดเยี่ยมมากก็มาจากตระกูลที่เป็นขุนนางมาหลายรุ่น คนไหนก็คู่ควรกับนางทั้งนั้น
หากไม่มีจ้าวอี้แทรกอยู่ตรงกลางล่ะก็
เจียงเซี่ยนมักจะรู้สึกว่าการแต่งงานของนางจะไม่ง่ายขนาดนั้น
ไม่นานก็ดึกมากแล้ว
ไทฮองไทเฮาก็ควรกลับวังแล้วเช่นกัน
จ้าวเซี่ยวซื่อจื่อจิ้งไห่โหวมาคารวะไทฮองไทเฮา
คนที่อยู่ในจุดชมทิวทัศน์ต่างแปลกใจเล็กน้อย ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก และเชิญจ้าวเซี่ยวเข้ามา
จ้าวเซี่ยวคารวะไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยอย่างนอบน้อม และคารวะสตรีบรรดาศักดิ์แต่ละท่านอย่างเคารพแต่ก็ไม่ได้ร่าเริงนัก แล้วเอ่ยเรื่องของตนเองขึ้นมา “…กระหม่อมเป็นลูกชายที่เกิดจากชายาเอกเพียงคนเดียวในครอบครัว ตอนห้าขวบก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซื่อจื่อ หลายปีมานี้ก็ช่วยท่านพ่อดูแลงานภายในราชสำนักตลอดเช่นกัน ท่านพ่อพึ่งพากระหม่อมค่อนข้างมาก หลายวันก่อนฝ่าบาทอยากให้กระหม่อมอยู่ที่เมืองหลวงอีกหลายๆ วัน ท่านพ่อกลัวว่างานในบ้านจะยุ่งเหยิง จึงเขียนจดหมายให้กระหม่อมกลับไป แต่กระหม่อมกลับคิดว่านี่เป็นโอกาส จะได้มีความรู้และประสบการณ์กว้างขวาง และยังได้คบหาเพื่อนเพิ่มอีกหลายคน จึงส่งจดหมายกลับไปหาท่านพ่อ ในที่สุดท่านพ่อก็อนุญาต หลังจากนี้กระหม่อมคงต้องอยู่เมืองหลวงหลายปี เพียงแต่กระหม่อมยังมาได้ไม่นาน จึงยังไม่ค่อยรู้อะไรหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเข้าสังคมพวกนี้ก็ต้องตัดสินใจด้วยตนเองทั้งหมด พอเห็นว่าทุกคนต่างมาเข้าเฝ้าไทฮองไทเฮาจึงตามมาด้วย หากมีตรงไหนเสียมารยาท ขอไทฮองไทเฮาโปรดเห็นแก่ที่กระหม่อมอยู่เมืองหลวงคนเดียว ไม่มีผู้อาวุโสตักเตือนและชี้แนะ อย่าตำหนิเลยพ่ะย่ะค่ะ”
สรุปแล้วเขารู้หรือไม่ว่าคนที่มาเข้าเฝ้าไทฮองไทเฮาพวกนี้ต้องการอะไรกันแน่?
เจียงเซี่ยนแขวะอยู่ในใจ
ทว่าไทฮองไทเฮากลับยิ้ม และเอ่ยว่า “เด็กดี เจ้าช่างรู้จักคิด ต่อไปว่างก็มาเที่ยวที่วังฉือหนิงนะ”
นี่เป็นคนที่สามที่ไทฮองไทเฮาเชิญในคืนนี้
คนแรกคือเติ้งเฉิงลู่ คนที่สองคือจินเซียว คนที่สามก็คือจ้าวเซี่ยว
เจียงเซี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย
หวังจ้านบุกเข้ามา
เขายิ้มและตะโกนพลางเดินเข้ามา ต่างไปจากเมื่อก่อนที่เงียบขรึม พูดน้อย อ่อนน้อม และลุ่มลึก แถมยังถือโคมขี่ม้าเคลือบสีน้ำตาลแดงไว้ข้างหลัง และเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮา กระหม่อมก็รู้ว่า ไทฮองไทเฮาอยู่ที่นี่ เจียหนานก็ต้องอยู่ที่นี่ด้วย ทอดพระเนตรสิพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ตอนที่กระหม่อมอยู่ที่ถนนประตูเซวียนอู่ทายปริศนาชนะได้สิ่งนี้มา จึงตั้งใจนำมาให้เจียหนานโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ”
ไทฮองไทเฮาหัวเราะ แล้วให้คนรับโคมไฟมาให้เจียงเซี่ยน พลางเอ่ยว่า “เจ้าทายปริศนาอะไรไปบ้าง?”
“ห่านป่า!” หวังจ้านเอ่ย “ทายคำที่อ้างอิงมาจากในหนังสือโบราณพ่ะย่ะค่ะ”
ไทฮองไทเฮาอายุมากแล้ว จึงไม่อยากใช้ความคิด นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นคืออะไร?”
หวังจ้านก้มหน้าลง และเอ่ยเสียงเบาว่า “ไปๆ มาๆ”
“เทศกาลใหญ่ ออกปริศนาแบบนี้ได้อย่างไร” ไทฮองไทเฮาเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างไม่พอใจ
แต่เจียงเซี่ยนกลับเบือนหน้าไปทางอื่น
นี่คือปริศนาที่นางให้หวังจ้านเดาในปีนั้น
เป็นปริศนาที่นางแต่งขึ้นมามั่วๆ เอง
หวังจ้านเดาอยู่นานมากก็เดาไม่ถูก จนนางเป็นคนบอกคำตอบของปริศนากับเขา
วันนี้เดาปริศนานี้ ก็ถือว่าฝืนใจทำแล้วเช่นกัน
เจียงเซี่ยนก้มหน้ามองพลอยไพฑูรย์ขนาดเท่าเมล็ดข้าวบนหัวรองเท้า และรู้สึกเศร้าใจ จนกระทั่งไป๋ซู่ยื่นโคมไฟที่หวังจ้านมอบให้นางให้นาง นางถึงเห็นว่าจริงๆ แล้วบนโคมขี่ม้าวาดภาพนางฟ้าเหอ[2]ข้ามทะเล
ตอนเด็กๆ หวังจ้านเล่าเรื่องแปดเซียนข้ามทะเลให้นางฟัง คนที่นางชอบที่สุดคือนางฟ้าเหอ
รู้สึกว่าผู้หญิงอย่างนางสามารถเป็นเซียนได้นั้นยอดเยี่ยมมาก
ทว่าเวลานี้กลับดูโดดเดี่ยวและเหงาเกินไปหน่อย
ตอนกลางคืนกลับถึงวังฉือหนิง นางแขวนโคมขี่ม้าดวงนั้นไว้ใต้หลังคาของเตียงสี่เสา และจุดเทียนสีแดงเล่มหนา
ไม่รู้ว่าเทียนสีแดงเล่มนี้จะติดไปจนฟ้าสว่างได้หรือเปล่า
เจียงเซี่ยนคิดอยู่ก็หลับไปอย่างสะลึมสะลือ
—
เช้าวัดถัดมานางตื่นแต่เช้า ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อย ฉิงเค่อก็บอกนาง “ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงมาแล้ว ไทฮองไทเฮาให้ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงอยู่รับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ท่านหญิงจะไปเร็วหน่อยไหมเจ้าคะ?”
คงต้องกำหนดรายชื่อสุดท้ายของคนที่จะมาเป็นสามีนางกระมัง?
เจียงเซี่ยนมองโคมขี่ม้าที่ดับไปแล้วก็ค่อยๆ รู้สึกสนใจขึ้นมา
———————————–
[1] การสอบขุนนางสมัยหมิงและชิง แบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ ถงซื่อ ย่วนซื่อ เซียงซื่อ ฮุ่ยซื่อ และเตี้ยนซื่อ
1)ถงซื่อ การสอบระดับอำเภอและเมือง ซึ่งจัดสอบเป็นประจำทุกปี ผู้ที่สอบผ่านทั้งระดับอำเภอและเมืองจะเรียกว่า ถงเซิง
2)ย่วนซื่อ การสอบระดับเมือง ซึ่งจัดสอบเป็นประจำทุกปี จัดสอบโดยขุนนางที่ราชสำนักมอบหมายหน้าที่มาโดยตรง ผู้ที่สอบผ่านจะเรียกว่า ซิ่วไฉ
3)เซียงซื่อ การสอบระดับมณฑล ซึ่งจัดสอบทุกๆ 3 ปี ณ เมืองหลวงของแต่ละมณฑล ผู้ที่สอบผ่านจะเรียกว่า จวี่เหริน
4) ฮุ่ยซื่อ การสอบระดับเมืองหลวง ซึ่งจัดสอบทุกๆ 3 ปี ณ เมืองหลวง และมีขุนนางฝ่ายพิธีการเป็นผู้คุมการสอบ ผู้ที่สอบผ่านจะเรียกว่า ก้งซื่อ
5)เตี้ยนซื่อ การสอบหน้าพระที่นั่ง หรือการสอบระดับราชสำนัก ซึ่งเป็นการสอบขุนนางระดับสูงสุด และจัดสอบทุกๆ 3 ปี ณ พระราชวังหลวง โดยฮ่องเต้จะเป็นผู้ดูแลและคุมการสอบด้วยพระองค์เอง ผู้ที่สอบผ่านจะเรียกว่า จิ้นซื่อ และจะเรียกผู้สอบได้ที่ 1 ว่า จ้วงหยวน หรือ จอหงวน ผู้สอบได้ที่ 2 ว่า ปั่งเหยี่ยน และผู้สอบได้ที่ 3 ว่า ทั่นฮวา
[2] นางฟ้าเหอ เซียนหญิงเพียงคนเดียวในแปดเซียน