มู่หนานจือ - บทที่ 129 เสนอแนะ
เอ่ยถึงการเดินทางของฮ่องเต้ติดกันสองครั้ง นั่นก็ไม่ใช่การคุยเล่นโดยไม่ได้คิดอะไรแล้ว
ไทฮองไทเฮาสบตากับไทฮองไท่เฟย แล้วนับลูกประคำในมืออย่างช้าๆ และเงียบไป
จ้าวเซี่ยวก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน และดื่มชาเงียบๆ
บรรยากาศในห้องเหมือนอึมครึมไปชั่วขณะ
จินเซียวเห็นแล้วก็กลอกตาเล็กน้อย แล้วรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า และทำลายความเงียบในห้อง “ไทฮองไทเฮา การขับร้องประกอบดนตรีของเมืองหลวงร้องอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมยังไม่เคยฟัง เมื่อก่อนที่เมืองของพวกเรามีคนแต่งงานกับผู้หญิงจากเจียงหนาน ร้องผิงถาน ดีดพิณสามสาย การขับร้องประกอบดนตรีของเมืองหลวงใช้กลองตีหรือเปล่า? เป็นกลองแบบไหนหรือ? น่าจะไม่ใหญ่ใช่หรือไม่? ไม่งั้นก็พกเข้าวังมาลำบาก แล้วก็ต้องไม่ใช่แบบกลองเอวอย่างแน่นอน ไม่งั้นก็คงจะไม่ตั้งชื่ออีกชื่อแล้ว…”
ไทฮองไทเฮาไม่เอ่ยสิ่งใด
ไทฮองไท่เฟยเห็นจึงจำเป็นต้องยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่ใช่กลองใหญ่ของทางตะวันตกเฉียงเหนือ กลองใหญ่ของทางตะวันตกเฉียงเหนือนั้นใช้เชิดสิงโต กลองของเมืองหลวงใหญ่เท่านี้” นางทำไม้ทำมือ “แล้วก็มีพิณสามสายร่วมด้วย ดังนั้นจึงต้องการคนสองคน…” นางพยายามอธิบายอย่างเต็มที่
เวลานี้เติ้งเฉิงลู่ก็ได้สติกลับมาแล้วเช่นกัน จึงทำให้บรรยากาศอุ่นขึ้นอยู่ข้างๆ โดยเอ่ยกับจินเซียวว่า “ที่เมืองของพวกเราก็มีการร้องผิงถานเหมือนกัน เพียงแต่พวกเขาพูดภาษาอู๋ จึงฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก เวลาครอบครัวที่มาจากเจียงหนานมีงานมงคลก็ชอบเชิญไปร้อง มีหลายคณะที่มีชื่อเสียงเป็นพิเศษด้วย ข้าเคยเจอ แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจ จึงไม่รู้ว่าชื่ออะไร หากใต้เท้าจินสนใจ ข้าจะลองไปถามให้ท่าน”
ทั้งที่รู้ดีว่าไทฮองไทเฮาไม่ชอบ แม้แต่จ้าวเซี่ยวก็แสดงท่าทีว่าไม่สนใจ ยังถามจินเซียวว่าชอบหรือไม่ นี่เขาไม่ได้อยากถามให้ แต่คงอยากผลักจินเซียวให้ตกหลุมมากกว่า
จินเซียวรู้สึกไม่พอใจ ทว่ากลับไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่นิดเดียว เขายิ้มและเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่เข้าใจว่าคนพวกนั้นร้องอะไรเหมือนกัน! ข้าเติบโตทางตะวันตกเฉียงเหนือตั้งแต่เด็ก ที่บ้านก็มาจากตระกูลทหาร เห็นการรำดาบและใช้หอกมามาก แต่การฟังเพลงและร้องงิ้วนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ แถมที่บ้านก็คุมอย่างเข้มงวด ไม่ให้ทำเรื่องพวกนี้…” เดิมทีเขาอยากพูดอีกเล็กน้อยโดยทำเป็นด่าคนนี้ แต่ความจริงด่าคนนั้น ทว่าคิดอีกทีก็นึกได้ว่าคนที่นั่งอยู่นั้นไม่มีใครเป็นคนโง่สักคน หากเขาพูดไป กลับจะทำให้คนรู้สึกว่ามีเจตนาไม่ดี จึงเอ่ยอย่างปิดบังครึ่งหนึ่งแบบนี้และหยุดมือดีกว่า “แต่ข้าได้ยินคนบอกว่าเติ้งซื่อจื่อเรียนหนังสือเก่งมาก ผ่านระดับย่วนซื่อแล้ว ยังคิดจะไปต่อหรือไม่?”
เติ้งเฉิงลู่รู้ว่าคนมากมายในเมืองหลวงเห็นเขาเรียนหนังสือต่างก็บอกว่าเขาโง่ เขาเป็นลูกหลานของตระกูลที่สร้างความดีความชอบ ไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลขุนนางที่ทั้งทำไร่ไถนาและเรียนหนังสือมาหลายรุ่น เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นซื่อจื่อตั้งแต่เด็ก ถึงแม้จะสอบได้ที่หนึ่ง ก็ต้องสืบทอดบรรดาศักดิ์อยู่ดี จึงไม่อาจเป็นขุนนางได้ การเรียนหนังสืออย่างขยันหมั่นเพียรแบบนี้ มีแต่จะทำให้คนหัวเราะเยาะ และคิดว่าเขาไม่ทำตามหน้าที่เท่านั้น
ทว่าหลังจากเรียนขั้นพื้นฐานเขาก็ชอบเรียนหนังสือเป็นอย่างมาก และที่ไปร่วมการสอบขุนนางนั้นก็เพียงแค่อยากรู้ว่าตนเองเรียนเป็นอย่างไรบ้างกันแน่…
เขาอดที่จะมองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่งไม่ได้ และพึมพำว่า “แน่นอนว่าต่อไปก็คงจะไม่ไปร่วมการสอบขุนนางอีกแล้ว ซิ่วไฉยังพูดง่าย แต่จวี่เหรินสามปีแค่สามร้อยกว่าคน ครอบครองชื่อเสียงของคนอื่นและไม่เข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก ก็ไม่ให้ความสำคัญกับการสอบขุนนางเกินไปแล้ว คนมากมายเรียนหนังสืออย่างขยันหมั่นเพียรมานานถึงจะมีโอกาสแบบนี้สักครั้ง”
เจียงเซี่ยนแอบพยักหน้า
ถึงแม้เติ้งเฉิงลู่จะเหมือนกระต่ายสีขาวตัวเล็กๆ และไม่เคยผ่านความลำบากอะไร แต่กลับจิตใจดีและเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ มิน่าเขาถึงได้ถูกเลือก
จินเซียวค่อนข้างเห็นด้วยกับวิธีทำของเติ้งเฉิงลู่ จึงเริ่มคุยกับเขาเรื่องการสอบเข้ารับราชการทหาร
ในห้องคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง
จู่ๆ ไทฮองไทเฮาก็เอ่ยว่า “งั้นก็ตกลงตามนี้ จ้าวเซี่ยว วันมะรืนเจ้าพาคนมาเถอะ ข้าจะได้ฟังตอนที่ว่าง”
จ้าวเซี่ยวรีบยิ้มและเอ่ยว่า “ช่างเป็นวาสนาของพวกนางจริงๆ หากรู้ว่าได้เข้าวังมาขับร้องประกอบดนตรีให้ไทฮองไทเฮาฟัง คงจะนอนไม่หลับไปหลายวัน”
ไทฮองไทเฮายิ้ม และไม่ได้สนใจจ้าวเซี่ยวเหมือนตอนแรกแล้ว
จ้าวเซี่ยวก็ไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน เขายังคงทำให้ไทฮองไทเฮาอารมณ์ดีด้วยการพูดคุยและหัวเราะอย่างจริงใจเช่นเดิม
พอเห็นว่าถึงเวลามื้อเที่ยงแล้ว ไทฮองไทเฮาจึงให้พวกเขาอยู่รับประทานอาหารตามมารยาท ทว่าทั้งสามคนคารวะและปฏิเสธทางอ้อมอย่างรู้งาน แล้วออกจากวังไป
ไทฮองไทเฮาก็ไม่ปิดบังเจียงเซี่ยนแล้วเช่นกัน นางถามไทฮองไท่เฟยตรงๆ “เจ้าคิดว่าคนไหนดี?”
เรื่องแบบนี้ใครจะกล้าแนะนำส่งเดชกัน?
“หม่อมฉันว่าก็ดีหมด” ไทฮองไท่เฟยเอ่ยอย่างลังเล “หากให้หม่อมฉันเลือกคนหนึ่ง หม่อมฉันก็ยังเลือกไม่ได้จริงๆ ไม่งั้นให้ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงเข้าวังมาดูด้วยดีหรือไม่?”
ไทฮองไทเฮาพยักหน้าอย่างช้าๆ
เจียงเซี่ยนไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
ทว่านางก็ไม่อาจถามได้เช่นกัน ทุกคนทำได้เพียงเก็บงำไว้ในใจ ต่างคนต่างรู้อยู่แก่ใจ
หลังจากเจียงเซี่ยนกลับไป ไทฮองไทเฮาก็เอ่ยถึงความงุนงงของตนเองกับไทฮองไท่เฟย “ฝ่าบาทปฏิบัติกับเป่าหนิงแตกต่างจากคนอื่น คิดว่าจ้าวเซี่ยวก็ต้องเคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่เขายังยืนกรานที่จะส่งคนรับใช้เข้าวัง เจ้าว่า…นี่เขากำลังบอกพวกเราว่าเขาไม่กลัวที่จะปะทะกับฝ่าบาท หรืออยากเตือนพวกเราว่าอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสำหรับการแต่งงานของเป่าหนิงก็คือฝ่าบาท และให้พวกเราฉวยโอกาสตอนที่จิตใจของฝ่าบาทจดจ่ออยู่กับลูกชายคนโตที่เกิดจากสนมรีบจัดการเรื่องแต่งงานของเป่าหนิงให้เสร็จล่ะ?”
“เรื่องที่แม้แต่ไทฮองไทเฮายังคิดไม่ออก หม่อมฉันจะคิดออกได้อย่างไรเพคะ?” ไทฮองไท่เฟยเอ่ยย่างลังเล “เช่นนั้น…พวกเราลองทดสอบเขา?”
“ทดสอบอย่างไร?” ไทฮองไทเฮาเอ่ย
หากจ้าวอี้ไม่เลิกรา ไม่ว่าใครแต่งงานกับเจียงเซี่ยน ก็ต้องเจอกับอารมณ์แปรปรวนของฮ่องเต้ทั้งนั้น
นี่เป็นปัญหาที่ค่อนข้างสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง
ไทฮองไท่เฟยคิดนานมาก และเอ่ยว่า “…พวกเราบอกเรื่องนี้กับทั้งสามตระกูลให้ชัดเจน…ถึงเวลานั้นพระราชทานงานสมรสไปแล้วอีกฝ่ายจะได้ไม่กล้าถอนหมั้นเพียงฝ่ายเดียวและเมินเป่าหนิงแทน!”
ไทฮองไทเฮาเอ่ยอย่างกังวลว่า “หากสามตระกูลนี้ต่างถอนตัวกลางคันเล่า?”
“งั้นก็เลือกให้เป่าหนิงอีกสักตระกูลแล้วกัน” ไทฮองไท่เฟยรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญ และเอ่ยว่า “เดิมทีก็เลือกเพียงซื่อจื่ออันลู่โหวกับแม่ทัพจินไม่ใช่หรือ? แต่จ้าวเซี่ยวก็กระโดดออกมาเอง สามคนนี้ไม่ว่าจะเป็นนิสัย ฐานะครอบครัว หรือหน้าตาต่างก็หนึ่งในล้าน แต่ผู้ชายก็ดูเพียงหน้าตาและฐานะครอบครัวไม่ได้เช่นกัน ขอเพียงนิสัยดี เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องฝืนให้ได้มา หม่อมฉันไม่เชื่อว่าจะเลือกคนที่คู่ควรกับเป่าหนิงไม่ได้สักคน”
ไทฮองไทเฮาครุ่นคิดอยู่ ครู่ใหญ่ถึงจะตัดสินใจเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าว่า หากสามคนนี้ใช้ไม่ได้ พวกเราค่อยเลือกอีกที สรุปแล้วต้องจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนที่ฝ่าบาทจะอภิเษกสมรส”
ไทฮองไท่เฟยได้ยินแล้วก็อยากพูดทว่าก็ไม่พูดออกมา
ไทฮองไทเฮาเห็นแล้วก็ไม่พอใจมาก
ไทฮองไท่เฟยรีบเอ่ยว่า “หม่อมฉันว่าเรื่องแต่งงานของเป่าหนิง ไทฮองไทเฮาน่าจะแจ้งเฉาไทเฮาสักหน่อย นางต้องไม่อยากให้เป่าหนิงแต่งงานกับฝ่าบาทแน่ มีนางคอยขัดขวางอยู่ตรงกลาง การแต่งงานของเป่าหนิงก็ต้องราบรื่นขึ้นอย่างแน่นอน”
“นั่นสิ!” ไทฮองไทเฮาได้ยินก็อดที่จะปรบมือไม่ได้ และเอ่ยว่า “ข้าลืมนางไปได้อย่างไรกัน! เจ้าพูดถูก งั้นเรื่องนี้ก็ทำแบบนี้!”
ทั้งสองคนดีใจมากและต่างคนต่างพักผ่อน
—
วันรุ่งขึ้นจ้าวอี้ก็มาลาก่อนออกเดินทางจริงๆ
ไทฮองไทเฮาวางตัวเย็นชา และถามเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันกับการใช้ชีวิตของเขาตามปกติ
แต่จ้าวอี้กลับอารมณ์ดีมาก ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของไทฮองไทเฮา ทว่ายังเชิญไทฮองไทเฮาไปเยี่ยมเฉาไทเฮาที่ภูเขาวั่นโซ่วกับเขาเมื่ออากาศอุ่นแล้วอย่างคึกคัก
มีแม่สามีไปเยี่ยมลูกสะใภ้ด้วยหรือ?
ทั้งหมดเป็นเพราะคนสกุลเฉานั่นสอนลูกไม่รู้กฎรู้ธรรมเนียม้แต่นิดเดียว!
ไทฮองไทเฮาต่อว่าอยู่ในใจ ทีแรกนางคิดจะตอบปฏิเสธอย่างเต็มปาก ทว่าพอคิดอีกทีก็นึกถึงคำพูดที่ไทฮองไท่เฟยพูดกับนางเมื่อวาน จึงเปลี่ยนใจทันที และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนี้ก็ดี! หม่อมฉันกับเสด็จแม่ของฝ่าบาทก็ไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่งแล้วเช่นกัน”
จ้าวอี้คิดไม่ถึงว่าไทฮองไทเฮาจะตอบตกลงเร็วขนาดนี้ เขาจึงดีใจมาก และรีบตะโกนเรียกเสี่ยวโต้วจึเข้ามา ให้เสี่ยวโต้วจึไปเลือกวันที่สำนักหอดูดาวหลวง และจัดการให้ไทฮองไทเฮาไปนั่งคุยเล่นที่ภูเขาวั่นโซ่ว
—————–