มู่หนานจือ - บทที่ 144 เรื่องตลก
เจียงเซี่ยนทำเสียงไม่พอใจอย่างเย็นชา และเอ่ยว่า “ไม่มีจ้าวเซี่ยวข้าก็แต่งออกไปได้เหมือนกัน”
ส่วนชอบจ้าวเซี่ยวหรือไม่นั้น นางกลับไม่ตอบ
ดีที่ไป๋ซู่ถูกการตอบของเจียงเซี่ยนเบี่ยงเบนความสนใจไปแล้ว นางจึงไม่ได้สนใจการหลบเลี่ยงของเจียงเซี่ยน
ทั้งสองคนคุยเล่นกันตามใจชอบ จนกระทั่งทำความสะอาดและจัดบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงไปงีบที่ห้องด้านในด้วยกันครู่หนึ่ง ตอนที่ตื่นขึ้นมาก็เกือบจะถึงเวลาอาหารเที่ยงแล้วพอดี
เจียงเซี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้า พลางถามไป่เจี๋ยที่ถือกระจกที่มีด้ามจับให้นาง “พวกคุณชายมาถึงกันหมดหรือยัง?”
ไป่เจี๋ยยิ้มอย่างอ่อนน้อมและตอบว่า “นอกจากซื่อจื่อชินเอินป๋อแล้ว คนอื่นต่างมาถึงกันครบแล้วเจ้าค่ะ กำลังนั่งดื่มชาอยู่ในห้องโถงด้านหน้า ได้ยินพวกพี่สาวที่รับใช้ในห้องโถงด้านหน้าบอกว่า ตอนบ่ายพวกคุณชายจะไปตกปลาในลำธารเล็กหลังเขา แถมยังบอกว่าในลำธารเล็กหลังเขามีปลาช่อนชนิดหนึ่ง เคยบันทึกไว้ในตำรายา ‘เปิ่นเฉ่ากังมู่’ ว่า กินแล้วสามารถบำรุงเลือดได้ คุณชายใหญ่บอกว่า อย่างไรก็ต้องตกกลับมาทำให้ท่านหญิงทั้งสองกินตอนเย็นหลายๆ ตัว ซื่อจื่ออันลู่โหวก็บอกว่าปลาพวกนี้ล้วนเป็นของปลอม…มีบันทึกในหนังสือว่า ปลาชนิดนี้อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านริมน้ำเจียงหนาน สภาพธรรมชาติและสภาพอากาศของเมืองหลวงไม่มีทางเลี้ยงมันได้ ปลาพวกนั้นจะต้องเป็นปลาที่เจ้าของหมู่บ้านเลี้ยงได้ประมาณหนึ่งก็ปล่อยลงในแม่น้ำแล้วรอให้แขกที่มาที่นี่ตกปลาเพื่อหาเงินอย่างแน่นอน เช่นนี้นอกจากจะหลอกคนได้แล้วก็ยังหาเงินได้ด้วย”
“แม่ทัพจินก็เอ่ยเช่นนี้เหมือนกัน”
“แถมยังบอกว่าหากอยากตกปลาจริงๆ เดินไปไกลหน่อยดีกว่า แล้วก็หาสระน้ำสักแห่งตามใจชอบ ต้องอร่อยกว่าปลาในลำธารเล็กหลังเขาอย่างแน่นอน”
“ยังมีคนเลี้ยงปลาจนโตแล้วปล่อยลงในลำธารเล็กให้คนตกปลาด้วยหรือ?” เจียงเซี่ยนเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก “เช่นนั้นยังมีความหมายอะไรล่ะ?”
ไป่เจี๋ยตอบไม่ได้ นางคิดนานมากและเอ่ยว่า “บางทีพวกคุณชายใหญ่อาจจะรู้สึกสนุก จึงอยากหาสถานที่คุยกันกระมังเจ้าคะ?”
นี่ก็เป็นไปได้เช่นกัน
เจียงเซี่ยนหยุดหัวข้อสนทนา นางรอให้ไป๋ซู่แต่งตัวเสร็จ แล้วทั้งสองคนก็ไปที่ห้องโถงด้วยกัน
ไหล่ของจ้าวเซี่ยวยังไม่หายดี เขาสวมเสื้อคลุมยาวลายว่านน้ำและลายน้ำสีม่วงอมแดง หน้าขาวเหมือนหยก ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสุภาพ เยือกเย็น สูงศักดิ์ และเย่อหยิ่ง สะดุดตากว่าจินเซียวเสียอีก
เจียงเซี่ยนถอนหายใจในใจ
มิน่าเล่าชาติก่อนจ้าวเซี่ยวถึงได้กลายเป็นคนที่มีอิทธิพลมากทั้งที่ไม่ได้มีอำนาจ
นางยิ้มและเข้าไปคารวะทุกคนพร้อมกับไป๋ซู่
สายตาของจ้าวเซี่ยวเหมือนเกาะติดกับเจียงเซี่ยนทันที นางเดินไปตรงไหน เขาก็ตามไปตรงนั้น
ทว่าเฉาเซวียนเห็นไป๋ซู่แล้วกลับไม่ค่อยสบายใจจึงเบือนหน้าไปทางอื่น เกรงว่าเขาคงเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำว่าวันนี้ไป๋ซู่ใส่ชุดอะไร
เจียงลวี่อดที่จะยิ้มเล็กน้อยไม่ได้ และพาเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ไปยังโถงบุปผาเล็กที่ตั้งฉากกั้นไว้ข้างๆ “ทำอาหารที่เหมือนกับข้างนอกไว้โต๊ะหนึ่ง แต่ของพวกเจ้าปริมาณน้อยหน่อย หากรู้สึกว่าถูกปาก ก็ค่อยให้คนเพิ่มอาหาร”
คนในวังจะไม่เปิดเผยความชอบของตนเองง่ายๆ เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ต่างเติบโตในวัง ประกอบกับติดต่อกับเจียงลวี่น้อย เจียงลวี่จึงไม่รู้เลยว่าทั้งสองคนชอบกินอะไร
ทั้งสองคนยิ้มและขอบคุณ
เจียงลวี่ออกจากโถงบุปผาเล็ก
เจียงเซี่ยนก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ และเอ่ยกับไป๋ซู่เสียงเบาว่า “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเฉาเซวียนยังมีช่วงเวลาที่อายด้วย ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลย”
ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้
ไป๋ซู่ก็หน้าแดงขึ้นมาเช่นกัน และเม้มปากยิ้ม
ด้านนอกก็เริ่มรับประทานอาหารเที่ยงอย่างสนิทสนม
ตอนหลังไปถึงขั้นเริ่มเล่นทายนับนิ้ว
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ทั้งสองคนรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็ไม่อยากไปเช่นกัน จึงนั่งฟังพวกเขาหัวเราะเสียงดังโหวกเหวกอยู่ตรงนั้น
จินเซียวเหมือนจะเก่งมาก เขาชนะจ้าวเซี่ยวได้ทุกตา ทว่าจ้าวเซี่ยวยังคงบาดเจ็บอยู่ จึงขอให้เติ้งเฉิงลู่ช่วยดื่มเหล้าแทนเขา ปรากฏว่าเติ้งเฉิงลู่ก็คออ่อนเหมือนกัน ทั้งสองคนร่วมมือกันแล้วก็พอจะรับมือจินเซียวได้เพียงครู่หนึ่ง เขายังไม่ยอมปล่อยเจียงลวี่กับเฉาเซวียนไป บรรยากาศเหมือนรับศึกสี่ด้านเพียงลำพังมาก
เจียงลวี่ก็เหมือนจะคอแข็งมากเช่นกัน เขาชนะเยอะแพ้น้อย จึงดูอยู่ข้างๆ อย่างเอื่อยเฉื่อย และคอยเอ่ยแทรกและซ้ำเติมตลอด
เฉาเซวียนถูกมอมเหล้าหนักไปหน่อย สุดท้ายจึงกระตุ้นการชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่และความยโสโอหังที่เขาซ่อนเอาไว้หลายวันนี้ออกมาหมด เขาถอดเสื้อนอกและโยนลงบนพื้น แล้วรูดแขนเสื้อขึ้นและยุจินเซียว “หากเจ้ามีฝีมือก็มาสู้กับข้าตัวต่อตัว!”
จินเซียวไม่หลงกลสักนิด และเอ่ยอย่างคลุมเครือเล็กน้อยว่า “ทำไมข้าต้องสู้กับเจ้าตัวต่อตัวด้วย? เจ้าเป็นนักเลงท้องถิ่น ข้าเป็นผู้มีอำนาจที่มาจากต่างถิ่น ข้าไม่อยากสูญเสียอำนาจของตนเองไปหรอก!”
“เจ้าว่าใครน่ะ!” เฉาเซวียนชกจินเซียวหมัดหนึ่งอย่างไม่ปล่อยไปง่ายๆ
จินเซียวเอียงตัวหลบ
ทั้งสองคนเริ่มลงมือแลกหมัดกันไปมาแล้ว
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ต่างตกใจมาก
ไม่คิดว่าพวกเจียงลวี่ไม่เพียงแต่ไม่ห้าม ทว่ายังโห่ร้องอยู่ข้างๆ ด้วย
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ต่างโล่งอก
ในความคิดของพวกนางสองคน เจียงลวี่สุขุมเยือกเย็นและเชื่อถือได้มาตลอด หากเขาคิดว่าไม่เป็นไร ก็ต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน
จริงดังที่พวกนางคาดไว้ จินเซียวกับเฉาเซวียนทะเลาะกันอยู่ก็ยิ้มออกมาทั้งคู่ เวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชาทั้งสองคนก็กอดคอกันนั่งลงดื่มเหล้าอีก
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่อดที่หัวเราะออกมาไม่ได้
หวังจ้านมาแล้ว
ทุกคนก็สละที่ให้ ให้คนนำถ้วยชามกับตะเกียบมาให้ และให้คนเปลี่ยนอาหารใหม่ ดูท่าทางจะดื่มกันอีกรอบ
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่เคยเห็นแล้ว จึงไม่คิดที่จะอยู่ที่นี่ต่ออีก
ทั้งสองคนให้สาวใช้ที่รับใช้ในโถงบุปผาเล็กไปบอกเจียงลวี่ แล้วก็กลับป่าไผ่
“เจ้าจะนอนสักครู่หรือไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลัง?” เจียงเซี่ยนถามไป๋ซู่ตอนที่ล้างเครื่องสำอาง
“พักก่อนสักครู่เถอะ!” ไป๋ซู่เห็นเจียงเซี่ยนสีหน้าฉายแววเหนื่อยล้าเล็กน้อย ถึงจะอยากไปดูสวนดอกไม้ด้านหลัง แต่ก็ยังเลือกข้อเสนอที่ดีกับเจียงเซี่ยนมากกว่า
เจียงเซี่ยนก็เหนื่อยแล้วจริงๆ นางขึ้นเตียงและนอนลงไม่กี่อึดใจก็หลับแล้ว
ไป๋ซู่มองใบหน้าที่แลดูสงบนิ่งเป็นพิเศษเพราะหลับสนิทของนาง แล้วก็สอดมุมผ้าห่มเข้าไปในผ้าห่มให้นางอย่างเอ็นดู
คนอื่นต่างคิดว่าเจียงเซี่ยนโชคดี มีแต่นางที่คิดว่าเจียงเซี่ยนน่าสงสาร
หากตัดบรรดาศักดิ์ท่านหญิงเจียหนานและคุณหนูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกงเหล่านั้นทิ้งไปแล้ว นางก็เป็นเพียงเด็กสาวที่บิดามารดาเสียชีวิตแล้วทั้งคู่และเติบโตมากับท่านยายเท่านั้น ดังนั้นไป๋ซู่หวังเป็นอย่างมากว่าเจียงเซี่ยนจะมีความสุขได้
นางนอนไม่ค่อยหลับ จึงลุกขึ้นมานอนตะแคงอ่านนิยายที่แทรกโคลงประกอบดนตรีและเพลงเอาไว้ด้วยบนเตียงอรหันต์
ตอนที่เจียงเซี่ยนตื่นขึ้นมา ไป๋ซู่ก็ไม่อยู่ในห้องแล้ว
นางนอนอย่างเงียบๆ คนเดียวครู่หนึ่งถึงจะลุกขึ้น
ฉิงเค่อกับไป่เจี๋ยได้ยินเสียงจึงรีบเข้ามารับใช้
เจียงเซี่ยนถามพวกนาง “จ่างจูไปไหนแล้ว? พวกคุณชายใหญ่ต่างทำอะไรกันอยู่? ตอนนี้ยามไหนแล้ว?”
ฉิงเค่อยิ้มพลางตอบว่า “ตอนนี้ผ่านกลางยามเซิน[1]ไปหนึ่งเค่อ ท่านหญิงชิงฮุ่ยอ่านหนังสืออยู่ในห้องตลอด รอนานแล้วท่านหญิงก็ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นสักที จึงบอกว่าไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลัง พวกคุณชายเล่นไพ่หม่าเตี้ยวอยู่ในโถงบุปผาเล็กด้านหน้า มีแต่ซื่อจื่ออันลู่โหวที่บอกว่าดื่มเยอะแล้ว และนอนจนตอนนี้ก็ยังไม่ตื่นเช่นกันเจ้าค่ะ”
เจียงเซี่ยนยิ้ม และเอ่ยว่า “บอกว่าตอนบ่ายจะไปตกปลาไม่ใช่หรือ? ทำไม? เปลี่ยนมาดลูกหลานตระกูลผู้ดีมีเงินไม่ได้ ยังไปนั่งบนโต๊ะไพ่ด้วย”
ฉิงเค่อกล้าพูดต่อที่ไหนกัน นางจึงแค่ยิ้มอยู่ข้างๆ
เจียงเซี่ยนล้างหน้าเสร็จ ร่างกายก็สดชื่นขึ้นมาก จึงยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ด้านหลังแล้วกัน! จะได้เจอจ่างจูพอดี”
ฉิงเค่อยิ้มพลางขานว่า “เจ้าค่ะ” แล้วถือเสื้อคลุมลายเปี้ยนตี้จินสีน้ำเงินอ่อนไว้ในมือ และไปสวนดอกไม้ด้านหลังเป็นเพื่อนเจียงเซี่ยน
สวนดอกไม้ด้านหลังหมู่บ้านก็มีเอกลักษณ์มากเช่นกัน ต้นไม้แน่นขนัดจนบดบังแสงอาทิตย์ ทิวทัศน์งดงามและน่าหลงใหล บางครั้งจะเห็นต้นท้อกับต้นพลัมหลายต้นออกดอกสีชมพูและสีขาวบริสุทธิ์ประดับอยู่ท่ามกลางสีเขียวเข้มและสีเขียวอ่อน ก่อให้เกิดเป็นภาพทิวทัศน์ในแบบที่ไม่เหมือนใคร
“สวยจริงๆ!” ฉิงเค่อกับไป่เจี๋ยชื่นชม แล้วชี้ไปที่ต้นทับทิมกับยี่โถที่เพิ่งจะแตกหน่อข้างหน้าไม่ไกล และเอ่ยอย่างเสียดายว่า “หากปีนี้อากาศหนาวในฤดูใบไม้ผลิไม่นานขนาดนี้ ดอกทับทิมก็น่าจะบานแล้วเช่นกัน และก็จะยิ่งสวยมากขึ้น”
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางพยักหน้า และเดินเข้าไปอย่างมีความสุข นางปล่อยให้สายลมในฤดูใบไม้ผลิปะทะหน้าเบาๆ และผ่านไป ไม่ได้รีบร้อนที่จะไปหาไป๋ซู่
————————————-
[1] ยามเซิน = ช่วงเวลา 15.00-16.59 น. ดังนั้นกลางยามเซิน = 16.00 น.