มู่หนานจือ - บทที่ 146 เกิดเรื่อง
หลี่เชียนเห็นเจียงเซี่ยนหน้าตาหงุดหงิด ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกผิด กลับยิ้มด้วยสายตาอบอุ่น เขามองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง เหมือนจะยืนยันให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็นพวกเขา และปลอดภัย แล้วถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ที่นี่ไม่ใช่สถานที่คุย รถม้าของข้าอยู่นอกหมู่บ้าน พวกเราไปคุยกันบนรถม้า”
ก็จริง
หากเขาถูกเจียงลวี่พบเข้า ไม่เอาชีวิตเขาก็ต้องให้เขาหนังหลุดสักชั้น
และที่สำคัญที่สุดคือ มันจะทำลายภาพลักษณ์ที่นางวางไว้ให้ตระกูลหลี่…ในสายตาคนนอก ตระกูลหลี่เป็นพรรคที่ปกป้องไทเฮา และเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลเจียง
หลี่เชียนมาพบนางเพียงลำพังสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น?
เจียงเซี่ยนเพิ่งเห็นว่าหลี่เชียนสวมชุดผู้ชายที่เป็นเสื้อและกางเกงผ้าเนื้อหยาบไม่มีลายสีเข้มที่สะดวกต่อการปีนป่ายมากอยู่
นางรีบเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็รีบไป!”
นางเอ่ยพลางรีบเดินนำหน้าหลี่เชียน
ทว่าเดินไปได้สองก้าว นางก็รู้สึกผิดปกติ
นางจะรู้ได้อย่างไรว่ารถม้าของเขาจอดอยู่ที่ไหน…
เจียงเซี่ยนอดที่จะหันกลับมาเร่งหลี่เชียนไม่ได้ “เจ้าก็เร็วหน่อยไม่ได้หรือ? ข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าจะออกไปอย่างไรด้วยซ้ำ”
หลี่เชียนยิ้มออกมา
แววตาสดใส และยิ้มจนสว่างไสวกว่าแสงแดดในตอนเที่ยงเสียอีก
“เจ้าตามข้ามา!” เขายิ้มพลางเดินเฉียดผ่านไหล่นางไป และพานางเดินออกไปข้างนอก เดินไปไม่กี่ก้าวก็ยังหันกลับมาดูให้แน่ใจว่านางตามมาหรือเปล่า
เจียงเซี่ยนตีหน้าขรึม ยืดหลังตรง และไปตามทางเดินแคบที่หญ้ารกชัฏข้างๆ กับเขา หากหลี่เชียนไม่นำทางนางก็ดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าตรงนั้นยังมีทางอยู่เส้นหนึ่งด้วย
ทันใดนั้นเสียงเรียกอันแผ่วเบาที่ทุ้มต่ำและกังวลก็ดังมาจากทางด้านหลังพวกเขา “ท่านหญิง ท่านหญิง ท่าน…ท่านอยู่ที่ไหนขอรับ?”
ร่างของหลี่เชียนที่เดินอยู่ข้างหน้าแข็งทื่อ
เจียงเซี่ยนฟังเสียงของคนออกแล้ว จึงเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องกังวล นั่นหลิวตงเยว่ ลูกชายบุญธรรมของหลิวเสี่ยวหม่าน เขารับคำสั่งจากไทฮองไทเฮาให้มารับใช้ข้าที่หมู่บ้าน”
ร่างกายของหลี่เชียนจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง เขาหันกลับมามองเจียงเซี่ยนด้วยสายตาแน่วแน่ และเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้น…ก็พาเขาไปด้วย…เจ้าก็จะได้มีคนรับใช้ในรถม้าด้วย!”
เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าคำพูดนี้แปลกเล็กน้อย
พวกนางคุยกันในรถม้าอย่างลับๆ แล้วจะพาหลิวตงเยว่ไปด้วยทำไม?
เขาคงจะไม่ได้รู้ว่านางหมั้นแล้ว หากมีขันทีคนหนึ่งอยู่ข้างกายนางตลอด ก็พอจะหลีกเลี่ยงข้อสงสัยไปได้?
เจียงเซี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลี่เชียนเอ่ยทันทีว่า “ไม่เป็นไร ข้าพากำลังคนไปด้วย เขาจะได้ไม่ตะโกนออกไปและเรียกคนอื่นมาจนกลายเป็นแย่แทน”
“ไม่มีทาง” เจียงเซี่ยนเอ่ย “เขาเป็นคนที่อยู่ข้างกายข้า”
นั่นก็หมายความว่า ซื่อสัตย์จงรักภักดีมาก
ก็เหมือนกับที่เขามาหาเจียงเซี่ยนก่อนหน้านี้ นางในและขันทีเหล่านั้นแต่ละคนต่างก็ทำเป็นมองไม่เห็นเขา และก็ไม่เคยได้ยินว่ามีข่าวอะไรแพร่งพรายออกไปเลย
หลี่เชียนรู้ว่าในวังมีวิธีปกครองผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของตนเอง และเป่าหนิงก็เติบโตในวังตั้งแต่เด็ก นางดูเหมือนอ่อนแอ แต่กลับไม่ใช่เด็กสาวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยแบบนั้น
เขายิ้มอย่างอ่อนโยน และเอ่ยว่า “แล้วแต่เจ้า!”
เจียงเซี่ยนเบิกตาโตจ้องเขา และเอ่ยว่า “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป? พูดจาแปลกๆ”
หลี่เชียนยิ้มสดใสมากขึ้น และกลับไม่ทำหน้าทะเล้นใส่นางเหมือนเมื่อก่อน ทว่าเอ่ยอย่างว่านอนสอนง่ายมากว่า “เช่นนั้นเจ้ารอตรงนี้สักครู่ ข้าจะไปพาหลิวตงเยว่มา”
เจียงเซี่ยนอดที่จะพึมพำในใจไม่ได้
หลี่เชียนเจอเรื่องอะไรกันแน่?
เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ก็ไม่ถูก บางครั้งเขาก็ปฏิบัติกับนางแบบนี้เหมือนกัน
เจียงเซี่ยนพันนิ้วมือกับผ้าเช็ดหน้าและตั้งใจระลึกความทรงจำ
น่าจะหลังจากที่เขาบีบบังคับให้วังฉือหนิงสละอำนาจ และนางแต่งตั้งเขาเป็นอ๋องหลินถงแล้ว ครั้งแรกที่เขาเข้าวังมาขอบพระคุณ สีหน้ายังหม่นหมองเล็กน้อย ทว่าครั้งที่สองที่เข้าวังมาขอบพระคุณก็ทำตัวว่านอนสอนง่ายมากต่อหน้านางเหมือนกับตอนนี้ อันที่จริง…
เจียงเซี่ยนพยายามคิด
อันที่จริงครั้งนั้นเขาก็ไม่ได้ขอผลประโยชน์อะไรไปจากในมือของนางเช่นกัน…เช่นนั้นทำไมเขาต้องทำตัวว่านอนสอนง่ายกับนางมากด้วย?
เจียงเซี่ยนรู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย
เรื่องในอดีตก็เหมือนกับฝันร้าย แสดงความพ่ายแพ้ ความไร้ความสามารถ และการคิดไปเองฝ่ายเดียวของนางออกมาอย่างต่อเนื่อง…คิดแล้วก็ทำให้นางทุกข์ใจอย่างถึงที่สุด จนนางไม่อยากที่จะนึกถึงด้วยซ้ำ
เจียงเซี่ยนนวดขมับ
นิสัยของคนล้วนได้รับการปลูกฝังอย่างช้าๆ
ตะวันตกเฉียงเหนือเกิดภัยแล้งตามธรรมชาติสามปีสามเดือน คนทั้งหมดสี่หมื่นคนจากพันธมิตรสิบสองชนกลุ่มน้อยทางเหนือลงใต้ ต้าถงกับเมืองเซวียนรายงานสถานการณ์เร่งด่วนและขอความช่วยเหลือ
ก่อนหน้านี้น้องชายของคนสกุลฟางใส่ร้ายหม่าเซี่ยงหย่วนแม่ทัพเมืองเซวียน ภรรยาและลูกชายของหม่าเซี่ยงหย่วนตายอย่างอนาถ เขาจึงไปพึ่งพาอาศัยชนกลุ่มน้อยทางเหนือ
น้องชายของคนสกุลฟางเป็นแม่ทัพเมืองเซวียน
ทว่ากองทัพข้าศึกประชิดเมืองแล้ว เขากลับหดหัวอยู่ในเมืองไม่ยอมออกรบ
สถานการณ์การรบที่เมืองเซวียนน่าอนาถและดุเดือด
หากเมืองเซวียนถูกยึด ต้าถงจะเป็นอันตราย
ฉีเซิ่งที่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพต้าถงในตอนนั้นไม่มีทางเลือก จึงจำเป็นต้องส่งผู้บัญชาการหลี่เชียนมุ่งหน้าไปช่วยรบ
หลี่เชียนนำทหารม้าห้าร้อยนายทะลวงเข้าไปในวงล้อมของศัตรูด้วยตนเอง ส่วนฉีเซิ่งโจมตีด้านหน้า ทั้งสองคนร่วมมือกันกวาดล้างกำลังคนของชนกลุ่มน้อยทางเหนือไปก่อนหนึ่งหมื่นคน หลังจากนั้นหลี่เชียนก็พาทหารม้าสามพันนายไปสังหารทหารของชนกลุ่มน้อยทางเหนือที่แตกทัพอีกหนึ่งหมื่นคนแถวฉงหลี่
สังหารทั้งหมด
ด้วยการตัดศีรษะ
เหลือเพียงม้าศึกที่ไร้เจ้าของ
ตั้งแต่นั้นมาหลี่เชียนก็มีชื่อเสียงขึ้นมาในทันใด
ในหมู่ขุนนางฝ่ายบู๊ได้ชื่อว่า ‘ไป๋ฉี่น้อย’ ในหมู่ขุนนางฝ่ายบุ๋นมีฉายาว่า ‘อู่อันจวิน’
น้องชายของคนสกุลฟางตกใจกลัวเป็นอย่างมาก จนไม่อยากอยู่ที่เมืองเซวียน
ดังนั้นเจียงเจิ้นหยวนลุงของนางจึงแนะนำให้ฉีเซิ่งเป็นแม่ทัพเมืองเซวียน และหลี่เชียนเป็นแม่ทัพต้าถง
พูดถึงชาติก่อนลุงของนางก็ยังมีบุญคุณที่แนะนำให้หลี่เชียนด้วย
จนกระทั่งนางว่าราชการหลังม่าน แม่ทัพที่เรียกเข้าเฝ้าคนแรกก็คือหลี่เชียน และคนแรกที่ฆ่าก็คือน้องชายของคนสกุลฟาง
เวลานี้ห่างจากการสร้างผลงานและชื่อเสียงของเขาเพียงแค่สามปีเท่านั้น
นิสัย การปฏิบัติตัว และการจัดการสิ่งต่างๆ ของหลี่เชียนต่างก็น่าจะเริ่มมีวี่แววแล้ว
เช่นนั้นเขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
เจียงเซี่ยนคิดไม่ออก และรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก
เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้านาง ถึงแม้นางจะไม่รู้ ทว่าเพียงแค่เลิกผ้าผืนบางนั้นขึ้นก็จะได้เห็นความจริง แต่นางกลับไม่สามารถเลิกผ้าผืนบางนั้นขึ้นได้สักที และทำได้เพียงปล่อยให้มันแย่ลงไปเรื่อยๆ
ความรู้สึกที่ไร้ความสามารถแบบนี้แย่จริงๆ!
เจียงเซี่ยนบ่นอยู่ในใจ
หลี่เชียนพาหลิวตงเยว่ที่หวาดกลัวจนตัวสั่นงันงกเดินมา
เจียงเซี่ยนเห็นหลิวตงเยว่บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่ว ก็อดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นอะไรไป?”
“ไม่…ไม่เป็นไรขอรับ” หลิวตงเยว่ปากสั่น เขายังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง หลี่เชียนก็วางมือลงบนต้นคอของเขาแล้ว พลางยิ้มและเอ่ยว่า “เขากลัวว่าข้าจะทำร้ายเจ้า”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หลิวตงเยว่ได้ยินก็ตัวแข็งทื่อ
เสียดายที่เจียงเซี่ยนไม่เห็นสักนิด
หลี่เชียนหิ้วคอเสื้อด้านหลังของหลิวตงเยว่แล้วผลักให้หลิวตงเยว่เดินไปอยู่หน้าเจียงเซี่ยนกับเขา แถมยังยิ้มเยาะหลิวตงเยว่ด้วย “ทำไมเจ้าถึงเหมือนคนขี้ขลาด เร็วหน่อย ข้ายังต้องรีบเดินทางอีก”
เขาสูงกว่าหลิวตงเยว่หนึ่งศีรษะ หิ้วหลิวตงเยว่แบบนี้ก็เหมือนกับหิ้วเด็กน้อย
เจียงเซี่ยนเห็นแล้วก็ไม่ค่อยพอใจ จึงเอ่ยกับหลี่เชียนว่า “เขาเป็นขันทีของข้า เจ้ามีมารยาทกับเขาหน่อย”
นางรู้ว่าผู้ชายมากมายต่างดูถูกขันที แต่ขันทีเหล่านี้กลับรับใช้นางมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้นางรู้สึกสนิทใจมากกว่าใครหลายคน
หลี่เชียนยิ้มและไม่พูดอะไร ทว่ากลับเดินเร็วกว่าเดิม
หลิวตงเยว่ก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน และปล่อยให้หลี่เชียนพาเขารีบเดินไปแบบนี้
เจียงเซี่ยนถอนหายใจ และเดินตามไปอย่างรวดเร็ว
เวลาประมาณครึ่งก้านธูป พอพวกเขาออกมาจากป่า กำแพงสีขาวท่อนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในป่าก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเจียงเซี่ยน
ตรงมุมกำแพงสีขาวมีประตูเล็กที่ทาสีดำเปิดอยู่ ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ เขาสวมชุดผู้ชายที่เป็นเสื้อและกางเกงผ้าเนื้อหยาบเหมือนกับหลี่เชียน เพียงแต่เป็นสีหวาย
เขาเห็นหลี่เชียนกับเจียงเซี่ยนก็พลันคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ทว่าหลี่เชียนกลับก้าวเข้ามาบังสายตาของผู้ชายคนนั้นไว้ และมอบหลิวตงเยว่ให้ผู้ชายคนนั้น พลางเอ่ยว่า “อวิ๋นหลิน เดี๋ยวเจ้าพาเขาไป” แล้วหันหน้ามาเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “เดินเหนื่อยหรือไม่? รถม้าอยู่นอกประตูนี้เอง เจ้าเช็ดเหงื่อสักหน่อย ขึ้นไปดื่มน้ำบนรถสักถ้วย แล้วข้าจะค่อยๆ เล่าให้ฟังเจ้า”
————————