มู่หนานจือ - บทที่ 148 คิดว่า
หลี่เชียนหลุบตาลง และเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่ได้มีธุระอะไร เพียงแค่อยากมาเยี่ยมเจ้าเท่านั้น เจ้าก็รู้ว่าครั้งนี้ข้าออกจากเมืองหลวงไป ยังไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร มีเรื่องบางเรื่องที่อยากคุยกับเจ้าตอนที่จากไป และฟังความเห็นของเจ้าสักหน่อย!”
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เหมือนกันนี่นา!
เจียงเซี่ยนไม่ค่อยเชื่อนัก จึงมองเขาอย่างสงสัย และเอ่ยว่า “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เหมือนทำตัวให้ร่าเริงขึ้น เขาเงยหน้าขึ้นมา ในดวงตาแสงดาวทอประกายวิบวับ รอยยิ้มก็กลายเป็นอบอุ่นขึ้นเช่นกัน “ช่วงกลางเดือนสามข้าก็กลับซานซีแล้ว เจ้าอาจจะไม่รู้ว่า ท่านพ่อมีกุนซืออยู่ผู้หนึ่ง เมื่อก่อนเป็นซิ่วไฉที่สอบตก และเพราะมีความบาดหมางกับในเผ่า จึงออกจากบ้านเกิด ตอนหลังพบท่านพ่อ ทั้งสองคนถูกคอกันมาก เขาจึงตามท่านพ่อขึ้นไปยังหมู่บ้านที่ตั้งเป็นป้อมบนภูเขา และเป็นกุนซือของท่านพ่อ หลายปีนั้นโชคดีที่มีเขาช่วยออกความคิดและวางแผน ท่านพ่อจึงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ตอนหลังท่านพ่อมีอำนาจมาก ราชสำนักมาเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนนและสวามิภักดิ์ ท่านพ่อไม่อยาก เพราะคิดว่าหลังจากยอมจำนนและสวามิภักดิ์แล้วต้องถูกคนควบคุม แถมอย่างมากที่สุดราชสำนักก็ให้ได้เพียงแค่ตำแหน่งระดับห้าแก่เขาก็ถึงจุดสูงสุดแล้ว ภายหลังก็เป็นเพราะท่านฝูอวี้ อ้อ ก็คือกุนซือคนนั้น ช่วยออกหน้ามอบเงินจำนวนมากให้อู๋เยี่ยนเต้าผู้ว่าราชการมณฑลซานซีในตอนนั้น แถมยังจับจุดอ่อนของอู๋เยี่ยนเต้าได้ อู๋เยี่ยนเต้าไม่มีทางเลือก จึงพยายามรับรองท่านพ่อ โดยหลังจากยอมจำนนและสวามิภักดิ์แล้วก็แต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพระดับสาม และยังกลายเป็นขุนนางใหญ่ ท่านพ่อจึงขอบคุณเขามาก และฟังเขาแทบทุกเรื่อง”
“ตอนที่พวกเราไปฝูเจี้ยน เขาก็บอกท่านพ่อว่า ออกจากบ้านเกิด ไร้ญาติขาดมิตร สูญเสียที่พึ่งพิง ผู้คนดูหมิ่น การไปฝูเจี้ยนเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ ทว่าสุดท้ายพวกเรายังต้องกลับซานซีอยู่ดี ไม่อย่างนั้นก็ทำได้เพียงปล่อยให้คนฆ่าเหมือนเนื้อที่อยู่บนเขียงจริงๆ”
“เขาก็ปรึกษากับท่านพ่อ และแอบทิ้งกำลังทหารเกือบครึ่งหนึ่งไว้ที่ซานซี”
นี่หลี่เชียนกำลังเล่าประวัติความเป็นมาของตระกูลหลี่ให้นางฟังหรือ!
เจียงเซี่ยนฟังอย่างสนใจ
ชาติก่อนนางก็เคยสืบ แต่ทุกคนต่างพูดอย่างคลุมเครือ กระทั่งยังมีคนปล่อยข่าวลือว่าภรรยาใหม่ของหลี่ฉางชิงเป็นลูกสาวของอู๋เยี่ยนเต้า ดังนั้นตอนนั้นอู๋เยี่ยนเต้าถึงได้พยายามปกป้องหลี่ฉางชิงต่อหน้าเฉาไทเฮาอย่างสุดชีวิต
นางยังไปสืบมาแล้วจริงๆ
ปรากฏว่าพบว่าไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย
อู๋เยี่ยนเต้ามีภรรยาและอนุภรรยาไม่น้อย ทว่าไม่มีลูก
“พวกเจ้าจับจุดอ่อนอะไรของอู๋เยี่ยมเต้าได้กันแน่?” นางถามอย่างอยากรู้
หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่านพ่อไม่เคยบอกข้า แต่ทุกครั้งที่เอ่ยถึงจะดูถูกมาก หากเจ้าอยากรู้ ข้าจะลองไปถามท่านพ่อสักวัน”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ช่างเถอะ!
“ไม่ต้องแล้ว” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่รู้สึกแปลก คนอย่างอู๋เยี่ยนเต้า จุดอ่อนธรรมดาต้องไม่พอที่จะทำให้เขาช่วยออกหน้าให้พวกเจ้าอย่างแน่นอน กุนซือฝูอวี้ของพวกเจ้าเก่งมากทีเดียว”
“ก็จริง” หลี่เชียนยิ้มพลางพยักหน้า และเอ่ยว่า “ไม่อย่างนั้นตระกูลหลี่ก็คงจะไม่เดินมาถึงวันนี้อย่างปลอดภัยแล้วเช่นกัน” เขาเอ่ยต่อว่า “ข้ากลับไปครานี้ ก็นำของยืนยันที่ท่านพ่อทิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ไปหาคนเหล่านั้น เพียงแต่…ของยังเป็นของชิ้นเดิม แต่คนมิใช่คนเดิมอีกแล้ว บางคนเห็นของยืนยันของข้าแล้วก็ดีใจมากจนร้องไห้ ไม่นานก็เรียกลูกหลานในตระกูลออกมาพบข้าและมอบคนให้ข้า บางคนก็ไม่ยอมเปิดเผยความจริง และเพิ่งจะรู้จักข้าหลังจากได้ทดสอบกำลังที่แท้จริงของข้าแล้ว บางคนก็หลอกลวงข้าโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก…”
นี่ก็เป็นเรื่องปกติมากมิใช่หรือ?
ตระกูลหลี่ออกจากซานซีมาตั้งหลายปี นอกเสียจากว่าเป็นคนที่กลับมาเกิดใหม่เหมือนนาง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครแน่ใจว่าพวกเขาจะเดินไปถึงขั้นไหน ยอมรับ หยั่งเชิง ปฏิเสธ ล้วนเป็นความรู้สึกที่คนทั่วไปมี ทำไมหลี่เชียนต้องเล่ารายละเอียดที่ไม่สำคัญของเรื่องนี้อย่างยาวยืดด้วย?
เจียงเซี่ยนไม่ค่อยเข้าใจนัก
หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าแค่หดหู่เล็กน้อย”
เขาเอ่ยเช่นนี้ เจียงเซี่ยนก็เข้าใจทันที นางจึงยิ้มและเอ่ยว่า “แต่ดูจากท่าทางของเจ้าในตอนนี้ คงจะยังได้มากกว่าเสียกระมัง?”
“ใช่แล้ว” หลี่เชียนไม่ปฏิเสธ และยอมรับต่อหน้านางอย่างเยือกเย็นมาก “แม้กำลังทหารจะน้อยไปหน่อย แต่คนที่สามารถรับภารกิจคนเดียวได้มีเยอะมาก ข้าให้ท่านพ่อส่งสาส์นไปหาไทเฮาแล้ว ขอให้นางคิดหาทางทำให้ฝ่าบาทอนุญาตให้พวกเราจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ แต่ความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จนั้นก็มีไม่ค่อยมากนัก ข้างๆ พวกเรามีเมืองที่สำคัญอยู่ติดกันหลายเมืองอย่างเมืองเซวียน ต้าถง อวี๋หลิน และด่านซานไห่ เวลาที่ชนกลุ่มน้อยทางเหนือมารุกราน พวกเขาก็ยกทัพไปต่อต้านเอง กองบัญชาการซานซีรูปร่างเหมือนซี่โครงไก่ ข้าค้นหนังสือประวัติศาสตร์แล้ว ดูเหมือนจะมีอยู่ปีหนึ่งที่มีขุนนางใหญ่เสนอให้ยกเลิกด้วย…”
ทว่าจวบจนถึงตอนที่นางเป็นไทเฮาก็ไม่ได้ยกเลิก
สาเหตุหลักเป็นเพราะสำนักราชเลขาธิการคิดว่าสามารถตรึงกำลังทหารของเมืองที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์อย่างเมืองเซวียนกับต้าถงได้ และส่งผลให้เกิดการควบคุมสมดุล
หลี่เชียนกลุ้มใจเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ?
เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยว่า “พวกเจ้าเปลี่ยนวิธีการก็ได้นี่นา!”
หลี่เชียนทำหน้าประหลาดใจ และมองนางอย่างเงียบๆ ครู่หนึ่ง ถึงจะเอ่ยว่า “เจ้ามีความคิดอะไรดีๆ?”
เจียงเซี่ยนได้ยินก็ไม่สบอารมณ์ สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย และเอ่ยว่า “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ไม่เชื่อข้าหรือ?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” หลี่เชียนแปลกใจ และรีบเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าก็กำลังร้อนใจเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่หรือ กุนซือหลายคนรวมหัวกันยังคิดอะไรดีๆ ไม่ออกเลย จู่ๆ ได้ยินเจ้าบอกว่ามีหนทาง จึงประหลาดใจมาก” เขาเอ่ยพลางล้วงกล่องใส่ขนมหลากชนิดกล่องเล็กๆ ออกมาจากใต้โต๊ะชาอย่างกระตือรือร้น แล้วเปิดกล่องและยื่นมาใกล้มือของเจียงเซี่ยน แล้วเอ่ยว่า “กินขนมสิ! นี่เป็นขนมหวานจากร้านเสว่เทาเจียงหนาน”
ร้านเสว่เทาเจียงหนานเป็นร้านแรกที่ค้าขายขนมหวาน ผ่านความทุ่มเทความคิดในการวางแผนและจัดการมาหลายรุ่น ร้านเสว่เทาจึงเป็นร้านขนมหวานที่ใหญ่ที่สุดในเจียงหนานแล้ว
เจียงเซี่ยนรู้จักร้านนี้
นางเลือกอันสีขาวจากในถังฉิว[1]หลากสีสัน
หลี่เชียนรีบเอ่ยว่า “อันนี้เป็นรสลิ้นจี่” และกลัวว่านางจะไม่เข้าใจ จึงอธิบายว่า “เป็นผลไม้ชนิดหนึ่งของหลิ่งหนาน ข้างนอกเป็นเปลือกสีแดงหรือสีเขียว ข้างในเป็นเนื้อผลไม้สีขาวๆ…”
“ข้าเคยกิน” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อก่อนฝูเจี้ยนเคยส่งบรรณาการมา”
เพียงแต่นั่นเป็นหลังจากนางว่าราชการหลังม่านแล้ว
พูดถึงเรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับจ้าวเซี่ยวด้วย
ลิ้นจี่ที่ส่งบรรณาการเข้ามาในวังนั้นเป็นของที่จ้าวเซี่ยวมอบให้ในวัง
หลี่เชียนได้ยินก็ยิ้มและชี้ถังฉิวสีแดงอันหนึ่งในนั้น แล้วเอ่ยว่า “อันนี้เป็นรสไห่ถัง” แล้วก็ชี้ถังฉิวสีเหลือง “อันนี้เป็นรสเสาวรส”
เจียงเซี่ยนไม่เคยได้ยินชื่อเสาวรส จึงเอ่ยว่า “เสาวรสคืออะไร?”
หลี่เชียนก็อธิบายให้นางฟังอยู่พักหนึ่ง
ทั้งสองคนคุยกันเรื่องถังฉิวกล่องเล็กนี้นานมาก จนกระทั่งเจียงเซี่ยนรู้สึกว่าคุยเรื่อยเปื่อยมากไปหน่อยแล้ว จึงเอ่ยถึงเรื่องคิดหาทางทำให้ตระกูลหลี่เลี้ยงทหารส่วนตัวได้อย่างเปิดเผยอีกครั้ง ทั้งสองคนถึงหยุดคุยกันเรื่องขนม
“จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธต้องไม่ได้อย่างแน่นอน” เจียงเซี่ยนพึมพำ “แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะคิดอย่างไรแล้ว? หากเอาแต่ตั้งตัวเป็นศัตรูในเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด ก็เพียงแค่เสียเวลา และดูว่าใครจะทนใครได้? แต่ตระกูลหลี่ต้องไม่มีกำลังนี้อย่างแน่นอน หากเป็นตระกูลเจียงยังพอได้ ทว่าเป้าหมายของเจ้าคือต้องการฝึกฝนทหารส่วนตัว นั่นก็ไม่เหมือนกันแล้ว เพียงแค่อยู่ภายใต้ชื่อของพวกเจ้า เพียงแค่ฟังการบัญชาจากพวกเจ้าทุกอย่าง และขอเพียงพวกเขาเป็นทหารก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”
สมองของหลี่เชียนยังไม่ค่อยแล่น
นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างไทเฮาที่เคยสำเร็จราชการแทนกับคนทะเยอทะยานที่กำลังมุ่งหน้าไปยังกลุ่มที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนืออย่างรวดเร็ว
เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนอย่างดูถูกโดยไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว และเอ่ยว่า “เจ้ารู้ว่าหลายปีนี้ท้องพระคลังขาดอะไรหรือไม่? ขาดเงิน! ไม่มีเงิน เงินเดือนทหารของเมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าเมืองมาจากไหน? ไม่มีเงิน เสบียงและหญ้าในกองทัพมาจากไหน? ไม่มีเงิน เหล่าพ่อค้าที่พอได้ยินข่าวก็ลงมือทันทีนั้นมาจากไหน?”
และหากเมืองชายแดนทางเหนือที่สำคัญทั้งเก้าเมืองไม่มีพ่อค้าแล้ว ก็จะค่อยๆ ตกต่ำลงไปเช่นกัน
———————————–
[1] ถังฉิว อีกชื่อหนึ่งของถังหูลู่ โดยคนเหนือจะเรียกว่า ‘ถังหูลู่’ ส่วนคนใต้จะเรียกว่า ‘ถังฉิว’