มู่หนานจือ - บทที่ 160 เข้าไปยุ่ง
เจียงลวี่หันกลับไปก็เห็นว่าเป็นจินเซียวกับเติ้งเฉิงลู่
เพียงแต่เขายังไม่ทันทักทายทั้งสองคน จินเซียวก็เข้ามาคารวะเจียงลวี่แล้ว และเอ่ยเสียงเบาอย่างห่วงใยมากว่า “มีข่าวท่านหญิงหรือยังขอรับ?”
เจียงลวี่ส่ายหน้า
เมื่อวานเขาไม่ได้นอนทั้งคืน เดี๋ยวเป็นห่วงว่าหวังจ้านอายุยังน้อย ประสบการณ์น้อย แล้วจะสงบสติอารมณ์ไม่ได้ จนไม่เพียงแต่สืบความเป็นไปของจ้าวอี้ไม่ได้ กลับเปิดเผยเรื่องที่เจียงเซี่ยนหายตัวไป เดี๋ยวก็คิดถึงเจียงเซี่ยน กลัวว่าหากนางตกอยู่ในกำมือของจ้าวอี้ แล้วจ้าวอี้ทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจียงเซี่ยนเป็นฮองเฮาให้เขา จนเร่งให้เจียงเซี่ยนไม่ไว้หน้าจ้าวอี้ หากนางได้รับบาดเจ็บจะทำอย่างไร?
ดังนั้นวันรุ่งขึ้นพอพวกเขาเข้าเมือง เจียงลวี่ก็คิดจะแยกทางกับพวกจ้าวเซี่ยว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของตระกูลเจียง หากเกิดอะไรขึ้นกับเจียงเซี่ยน ก็ควรจะจัดการกันเองถึงจะถูก เขาไม่อยากให้คนอื่นเห็นเจียงเซี่ยนเป็นตัวตลก และทำลายศักดิ์ศรีของเจียงเซี่ยน
พอจ้าวเซี่ยวได้ยินก็ร้อนใจ และเอ่ยว่า “ท่านพี่อาลวี่ ถึงเวลานี้แล้ว ท่านยังเห็นข้าเป็นคนนอกอีกหรือ?”
เจียงลวี่ครุ่นคิดในใจ จ้าวเซี่ยวล่วงเกินแม้กระทั่งฮ่องเต้เพื่อแต่งงานกับเจียงเซี่ยน ไม่ว่าต่อไปตระกูลเจียงกับตระกูลจิ้งไห่โหวจะได้แต่งงานกันหรือไม่ ความจริงใจของจ้าวเซี่ยวก็น่านับถือ ยิ่งกว่านั้นตอนนี้จ้าวเซี่ยวกับเจียงเซี่ยนกำลังคุยเรื่องแต่งงานกันแล้ว และจ้าวเซี่ยวยังแสดงออกว่ารักเจียงเซี่ยนมากด้วย เวลานี้ไม่ให้จ้าวเซี่ยวช่วย ไม่ว่าจากด้านความรู้สึกหรือเหตุผลก็ไม่สมเหตุสมผลทั้งนั้น และพอคิดว่าจ้าวเซี่ยวเฉลียวฉลาดและมีความสามารถ จ้าวเซี่ยวยินดีช่วย เขาก็มีผู้ช่วยที่แข็งแกร่งและมีพลังเพิ่มขึ้นอีกคน ก็อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้
เขาครุ่นคิดเล็กน้อยและตกลง
ใครจะรู้ว่าเฉาเซวียนก็เสนอขึ้นมาว่าจะช่วยหาเจียงเซี่ยนด้วยเช่นกัน “ถึงแม้ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลจะเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเราที่เป็นคนรุ่นหลังก็เติบโตมาด้วยกัน ข้าเล่นกับเป่าหนิงไม่ได้ ทว่าก็หวังว่านางจะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นกัน ทางหน่วยองครักษ์นั้นข้ายังพอรู้จักคนอยู่บ้าง บางทีพวกเจ้าอาจจะต้องการ ข้าก็ช่วยได้ไม่มากก็น้อยเช่นกัน”
เฉาไทเฮากุมอำนาจทางการเมืองสิบปี ตระกูลเฉาก็มีหน้ามีตาสิบปี
ตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจต่อให้ยากจนแค่ไหน อย่างน้อยก็ยังวางมาดอยู่เช่นกัน
ใครจะรู้ว่าตระกูลเฉายังเก็บไพ่ตายอะไรไว้?
เฉาเซวียนยินดีช่วย อาจจะสืบอะไรได้จริงๆ ก็ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ตระกูลเฉากับตระกูลไป๋เกี่ยวดองกันแล้ว ทั้งสองตระกูลก็ถือว่าเป็นพันธมิตรแล้วเช่นกัน เขายินดีช่วยตามหาเจียงเซี่ยน ทั้งสองตระกูลก็จะได้ฉวยโอกาสนี้ขจัดความขัดแย้งระหว่างกันด้วย
แน่นอนว่าเจียงลวี่ย่อมตกลง
จินเซียวกับเติ้งเฉิงลู่ได้ยินก็อยากตามไปหาเจียงเซี่ยนด้วย
พวกเขานั้นคนหนึ่งเป็นคนต่างเมือง ประตูเมืองหลายแห่งของเมืองหลวงชื่ออะไรก็อาจจะบอกได้ไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ ส่วนอีกคนถึงแม้จะเติบโตอยู่แถวเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก ทว่าก็ซื่อกว่าหญิงสาวเสียอีก และไม่เคยออกจากบ้านไปติดต่อกับคนนอกเลย ตระกูลที่อาศัยอยู่ในตรอกของตนเองสกุลอะไรก็คงจะไม่รู้ด้วยซ้ำ
ให้สองคนนี้ไปช่วย อาจจะหาไม่พบและกลายเป็นตัวถ่วงได้
เจียงลวี่พูดอยู่พักใหญ่ถึงจะเกลี้ยกล่อมให้สองคนนี้กลับจวน
คิดไม่ถึงว่านี่เพิ่งจะห้าหกชั่วยาม สองคนนี้ก็มาพบเขาอีกแล้ว
เขาอดที่จะเอ่ยไม่ได้ว่า “ทำไมพวกเจ้าสองคนถึงอยู่ด้วยกัน?”
ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ
จินเซียวเอ่ยว่า “พวกเราทั้งเป็นห่วงท่านหญิง แล้วก็กลัวว่าตนเองจะความสามารถไม่พอ และสร้างปัญหาให้ท่านพี่อาลวี่กับซื่อจื่อจิ้งไห่โหว” เขาเอ่ยพลางมองเติ้งเฉิงลู่ครั้งหนึ่ง และเอ่ยว่า “พวกเราสองคนจึงปรึกษากันแล้วว่า พวกเราสองคนจะวิ่งเต้นทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้พวกท่านแล้วกัน! เรื่องอื่นไม่กล้าเอ่ย อย่างน้อยพวกเราสองคนก็ยังถือว่าพูดจาระมัดระวัง รู้ว่าเรื่องใดพูดได้ เรื่องใดพูดไม่ได้ พวกท่านก็จะได้มีคนช่วยอีกแรงด้วย”
เจียงลวี่ได้ยินเช่นนี้ก็ซาบซึ้งมาก และเอ่ยว่า “นี่ข้าก็กลัวจะทำให้พวกเจ้าลำบาก”
“ท่านพี่อาลวี่พูดอะไรน่ะ?” จินเซียวรีบเอ่ย “ท่านพี่อาลวี่ให้ความสำคัญและเห็นข้าเป็นเพื่อน เพื่อนนั้นไม่เพียงแต่มีมิตรภาพที่ช่วยเหลือกัน ทว่ายังต้องมีความเป็นพี่น้องกันด้วย หากท่านพี่อาลวี่พูดแบบนี้อีก ข้าจะคิดว่าอาลวี่ดูถูกข้า และไม่เห็นข้าเป็นเพื่อน”
เจียงลวี่เป็นคนตรงไปตรงมา พอได้ยินเช่นนี้ก็อดที่จะยิ้มและตบบ่าของจินเซียวไม่ได้ แล้วเอ่ยว่า “ได้! หายากที่เจ้าจะมีใจแบบนี้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ!”
เขากลัวแหวกหญ้าให้งูตื่น มีเรื่องอะไรก็วิ่งเต้นเองหมด ไม่เพียงแต่เหนื่อยแทบตาย ทว่าผลลัพธ์ที่ได้ยังต่ำมากด้วย
จินเซียวกับเติ้งเฉิงลู่มาร่วมด้วยได้ ก็ช่วยเขาได้ไม่น้อย
ทั้งสองคนตามเจียงลวี่ไปจวนเจิ้นกั๋วกงอย่างดีใจ
เจียงเจิ้นหยวนได้ยินว่าทั้งสองคนอาสาช่วย ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเช่นกัน และให้เด็กรับใช้ที่มารายงานพาทั้งสี่คนมาที่ห้องหนังสือด้วยกัน
จินเซียวได้เจอเจียงเจิ้นหยวนผู้ที่เป็นแบบอย่างของตนเองก็ตื่นเต้นมาก และคารวะเจียงเจิ้นหยวนอย่างนอบน้อมและเยือกเย็น ตรงกันข้ามกับที่พูดเก่งในหมู่เพื่อนวัยเดียวกันอย่างสิ้นเชิง
อาจจะเพราะคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันไม่มีทางร่วมงานกันได้และไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ตอนที่เติ้งเฉิงลู่เจอเจียงเจิ้นหยวนจึงสุขุมและเยือกเย็นมากกว่าจินเซียว
ทุกคนแบ่งลำดับความสำคัญและนั่งลงล้อมโต๊ะเขียนหนังสือของเจียงเจิ้นหยวน สายตาของเจียงเจิ้นหยวนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเขียนหนังสือก็จับจ้องไปที่หวังจ้าน
“อาจ้าน สองวันนี้ลำบากเจ้าแล้ว!” เขาแอบถอนหายใจในใจ หากตระกูลเจียงไม่ใช่จวนกั๋วกง หากตระกูลหวังไม่มีไทเฮาสักคน เด็กสองคนนี้จะเหมาะสมกันสักแค่ไหน “เรื่องของเป่าหนิงไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า พวกเจ้าไม่ต้องโทษตนเอง ไม่ว่าใครลักพาตัวนางไป ต่างก็มีจุดมุ่งหมายทั้งนั้น ถึงแม้วันสองวันนี้พวกเราจะหานางไม่พบ แต่ภายในสามสี่วันต้องมีข่าวอย่างแน่นอน นางก็ไม่ได้ถูกคนลักพาตัวไปบนถนนที่ผู้คนมากมายจนไม่มีที่ให้หาเสียหน่อย”
หากบอกว่าร้อนใจ เจียงเจิ้นหยวนร้อนใจกว่าใครทั้งนั้น ทว่าเห็นหวังจ้านเหมือนสูญเสียไปครึ่งชีวิตแล้ว ต่อให้อยากตำหนิแค่ไหน เขาก็ไม่อาจพูดออกไปได้เช่นกัน
หวังจ้านเงยหน้ามองเจียงเจิ้นหยวนครั้งหนึ่งและหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยเสียงอู้อี้ว่า “ท่านลุงไม่ต้องพูดแล้วขอรับ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าทั้งหมด พวกเราเป็นคนพานางออกไป เวลานี้นางหายตัวไป ท่าน…ท่านก็ลงโทษข้าแล้วกัน”
เขาพูดอยู่ จู่ๆ ก็น้ำตาไหล แล้วลุกขึ้นคุกเข่าลงตรงหน้าเจียงเจิ้นหยวน
เจียงเจิ้นหยวนรีบเข้าไปรั้งหวังจ้านไว้ และเอ่ยอย่างไม่สบายใจว่า “เจ้านี่นะ เกิดอะไรขึ้นก็อย่าดึงมาใส่ตนเองหมด หากจะตำหนิก็ตำหนิอาลวี่ เขาเป็นพี่ใหญ่ของพวกเจ้า…”
ทางเจียงลวี่นั้นตอนที่เห็นเจียงเจิ้นหยวนรั้งหวังจ้านก็เข้าไปประคองแขนของหวังจ้านแล้ว และเอ่ยอย่างเสียใจว่า “อาจ้าน อย่าทำแบบนี้! ข้าไม่ดูแลพวกเจ้าให้ดีเอง…”
ทั้งสามคนคุยกันนานมากถึงจะนั่งลงอีกครั้ง
จินเซียวเห็นแล้วก็อดที่จะคิดในใจไม่ได้ว่า คนที่เชิญตนเองมานี้เป็นต้นเหตุของเรื่องร้ายหรือเปล่า!
เขามองเจียงเจิ้นหยวนแล้วอยากพูดแต่ก็หยุดไว้ และอดที่จะมองไปทางเติ้งเฉิงลู่ไม่ได้
เติ้งเฉิงลู่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเซื่องซึม ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
พอ…คนๆ นี้หวังอะไรไม่ได้แล้ว
จินเซียวคิดแล้วก็ลุกขึ้นยืน เพียงแต่เขายังไม่ทันเอ่ยปากพูด เจียงเจิ้นหยวนก็เอ่ยว่า “พวกเจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว หากรู้สึกผิด สองสามวันนี้ก็ต้องสามัคคีและรวมกำลังกัน คิดหาทางหาเป่าหนิงให้เจออย่างเร็วที่สุด”
พวกจินเซียวพยักหน้าติดกันหลายครั้ง
เจียงเจิ้นหยวนก็ถามถึงจ้าวเซี่ยว “…ทางเขามีข่าวอะไรหรือไม่?”
เจียงลวี่เอ่ยอย่างนอบน้อมและรอบคอบว่า “พวกเรานัดกันแล้วว่าไม่ว่าจะมีข่าวหรือไม่ ยามโหย่วพวกเราจะเจอกันที่จวนกั๋วกงขอรับ”
เจียงเจิ้นหยวนโน้มตัวไปดูนาฬิกาน้ำในห้องด้านนอก
จินเซียวลุกขึ้นยืนอย่างว่องไวแล้วเอ่ยว่า “อีกหนึ่งเค่อจะถึงยามโหย่วขอรับ”
เจียงเจิ้นหยวนพยักหน้า และเอ่ยกับเจียงลวี่ว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เล่าเรื่องที่ไปพบเกาหลิ่งเถอะ?”
เจียงลวี่พยักหน้า และเริ่มเล่าอย่างละเอียด
ไม่นาน จ้าวเซี่ยวกับเฉาเซวียนก็มาถึงแล้ว
หลังจากคารวะเจียงเจิ้นหยวน เจียงเจิ้นหยวนก็ถามถึงเรื่องที่เจียงเซี่ยนหายตัวไปทันที “พวกเจ้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ข้าฟังอย่างละเอียด รวมถึงก่อนหน้านั้นพวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่บ้างด้วย? แล้วหลังจากนั้นพวกเจ้าอยู่กันที่ไหน? เห็นอะไรบ้าง? ได้ยินอะไรบ้าง? รู้สึกว่าตรงไหนผิดปกติหรือไม่?…ไม่ว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ ไม่ว่าจะรู้สึกว่าเหลือเชื่อหรือไม่…ก็ต้องเล่าให้ข้าฟังทุกอย่าง ส่วนทางฝ่าบาทนั้น ข้าส่งคนไปสืบแล้ว พวกเจ้าก็ไม่ต้องเข้าไปยุ่ง”