มู่หนานจือ - บทที่ 166 เปิดเผยข่าว
“ไปนอนเถอะ!” เจียงเจิ้นหยวนลูบศีรษะของเจียงลวี่ และเร่งเขาอีกครั้ง “ไม่ต้องคิดมาก เกิดเรื่องขึ้นแล้ว ก็ต้องคิดหาทางแก้ไข ไม่ใช่เอาแต่จมอยู่กับการตำหนิตนเอง เอาแต่เศร้าเสียใจ มันไม่ช่วยอะไร”
“ขอรับ!” เจียงลวี่พยักหน้ารับคำสั่งสอน และกำชับบิดา “ท่านพ่อก็พักผ่อนเร็วหน่อยนะขอรับ”
เจียงเจิ้นหยวนยิ้มและพยักหน้า
เจียงลวี่เดินออกไปข้างนอก
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็อดที่จะหันกลับมาไม่ได้ และเอ่ยว่า “ท่านพ่อ อ๋องเหลียวนั่น…”
“ข้ารู้ดี” เจียงเจิ้นหยวนเอ่ย “ทางประตูเมืองหลายแห่งนั้นก็ยังคงสืบอยู่เช่นกัน”
นั่นก็หมายความว่า เจียงเจิ้นหยวนไม่ได้เชื่อคำพูดของจินเซียวทั้งหมด
เช่นนั้นทำไมไม่ซักไซ้จินเซียวอีก?
เจียงลวี่อยากถามบิดามาก ทว่าพอคิดอีกทีก็คิดได้ว่าเกลือที่บิดาเคยกินมากกว่าสะพานที่เขาเคยเดินเสียอีก[1] บางทีบิดาอาจจะมีเจตนาอื่น เขาจึงกลืนคำพูดนี้ลงไป และกลับไปพักที่ห้อง
คนจากไปห้องว่างเปล่า มีเพียงไส้ตะเกียงที่ไหม้จนกลายเป็นรูปดอกไม้ที่ส่งเสียงอย่างมีความสุข
เจียงเจิ้นหยวนหลับตาลงและเอนหลังบนเก้าอี้ไท่ซือ พลางถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ไม่กล้าคิดถึงสถานที่ที่เจียงเซี่ยนอยู่
มีเด็กรับใช้เดินเข้ามาอย่างระมัดระวังมาก และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านกั๋วกง ซื่อจื่ออันลู่โหว ขอพบขอรับ!”
เติ้งเฉิงลู่?
เจียงเจิ้นหยวนขมวดคิ้ว
เขานึกถึงชายหนุ่มรูปงามที่พูดน้อยจนเหมือนคนซื่อและพูดไม่เก่ง
มาพบเขาเวลานี้ หรือว่าเติ้งเฉิงลู่จะพบอะไรบางอย่าง?
เจียงเจิ้นหยวนนั่งตัวตรงทันที เขารู้สึกมีพลังขึ้นมา และรีบเอ่ยว่า “เชิญเขาเข้ามา! รีบเชิญเขาเข้ามา!”
—
ในเส้นทางที่ใช้สำหรับส่งเอกสารราชการและมีจุดพักหรือจุดเปลี่ยนม้าตั้งอยู่ระหว่างทางที่มุ่งหน้าสู่ด่านเหนียงจื่อของซานซีนั้น คนกลุ่มหนึ่งกำลังคุ้มกันรถม้าสองคันรีบเดินทางติดต่อกันหลายคืนอย่างเงียบเชียบ
ฝีเท้าม้ากระทบทางดินเหลืองอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยในค่ำคืนที่เงียบสงบ ปะปนกับเสียงบดถนนของล้อรถ ทว่าเสียงที่ดังซ้ำไปซ้ำมานั้นกลับดังอย่างสม่ำเสมอ
หากเจียงเจิ้นหยวนหรือฉีเซิ่งได้เห็นภาพนี้ จะต้องตกใจมากแน่ๆ
คนสามสิบกว่าคน เสียงฝีเท้าม้าเป็นระเบียบ นี่ไม่ได้กำลังขี่ม้าอย่างธรรมดาแล้ว
มีแต่เหล่าผู้ที่ผ่านการฝึกฝนมาหลายเดือนหลายปี เคยผ่านความเป็นความตายในสนามรบ จนม้าเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของคนขี่ม้าแล้ว และบังคับได้ตามความประสงค์เท่านั้นที่จะทำได้
ทหารม้าแบบนี้ ในชนกลุ่มน้อยทางเหนือหาได้ทั่วไป แต่ในด่าน[2]กลับหาได้ยาก ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏตัวมากขนาดนี้ในคราวเดียวด้วย
เสียดายที่เจียงเซี่ยนเหมือนคนตาบอดฟังโคลงคำขวัญคู่ ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวก็คือรถคันนี้ไม่เลวทีเดียว และไม่ได้โคลงเคลงขนาดนั้น องครักษ์ที่อยู่ข้างกายหลี่เชียนก็ประพฤติตัวเรียบร้อยมาก ไม่มองและไม่ฟังสิ่งที่ผิดจารีตประเพณี จะเห็นได้ว่าหลี่เชียนปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาก็ยังมีแบบแผนของตนเอง
นางจดจ่ออยู่กับการซักถามหลี่เชียนมากกว่า
“ข้าเดาถูกหรือไม่?” เจียงเซี่ยนมองหลี่เชียนพลางยิ้มเยาะ
หลี่เชียนไม่เอ่ยสิ่งใด
ความโกรธในใจของเจียงเซี่ยนพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่กลับฝืนอดทนไว้ไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา นิ้วมือที่ขาวผ่องและอ่อนนุ่มวาดไปตามดอกชาภูเขาที่ตัดเส้นด้วยผงสีทองบนขอบโต๊ะชาเบาๆ และกดไว้ แล้วเอ่ยว่า “เจ้าน่ะดูเหมือนคุยได้กับทุกคน แต่ความจริงแล้วประเมินความสามารถของตนเองสูงไปมาก! แถมยังดื้อรั้น นี่เจ้ากำลังคิดว่าไม่คุ้มที่จะโกหกต่อหน้าข้าจึงไม่อยากบอกข้าใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่!” หลี่เชียนแก้ต่างอย่างไร้เรี่ยวแรง
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับเอ่ยต่อโดยไม่ฟังด้วยซ้ำว่า “ดูเหมือนข้าจะเดาผิดจริงๆ เสียด้วย”
“วันนั้นที่เกิดเหตุมีจ้าวเซี่ยว เฉาเซวียน อาจ้าน ท่านพี่ จินเซียว และเติ้งเฉิงลู่”
“ข้าสงสัยเติ้งเฉิงลู่ เพราะเติ้งเฉิงลู่ไร้เดียงสาที่สุด และเจ้าเจ้าเล่ห์ที่สุด เขาอาจจะหลงกลเจ้าก็ได้”
“แต่เจ้าไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็ไม่ใช่เขาแล้ว”
“แม้ข้าจะคู่กับเฉาเซวียนไม่ได้ ก็ไม่อยากสนใจเติ้งเฉิงลู่ ทว่าไม่ว่าจะเป็นเฉาเซวียนหรือเติ้งเฉิงลู่ กระทั่งจ้าวเซี่ยวเอง พวกเราต่างเป็นคนกันเอง”
“พวกเขาไม่มีทางทรยศข้าอย่างแน่นอน” เจียงเซี่ยนจ้องตาของหลี่เชียน เหมือนอยากดูให้ชัดเจนว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่ “เช่นนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว…ก็คือจินเซียว!”
เจียงเซี่ยน…ฉลาดจริงๆ!
หลี่เชียนถอนหายใจ
เจียงเซี่ยนรู้ว่าตนเองเดาถูกแล้ว จึงถามหลี่เชียน “ทำไมเขาต้องช่วยเจ้า?”
หลี่เชียนมองใบหน้าที่เย็นยะเยือกเหมือนน้ำแข็งและหิมะของนาง ทันใดนั้นก็เสียใจเล็กน้อยที่ล่อลวงให้จินเซียวทำผิดไปด้วย
ด้วยนิสัยของเป่าหนิง ถึงแม้นางจะคิดว่าไม่คุ้มที่จะไปหาเรื่องจินเซียว แต่หากพบจินเซียว ก็เป็นไปได้มากว่าจะถือโอกาสแอบเล่นงานจินเซียวไปด้วย
เพียงแค่หลี่เชียนนึกถึงภาพนั้น ลำคอก็ตีบตันเล็กน้อยอย่างไม่อาจควบคุมได้ จนไอเบาๆ สองสามครั้ง
เจียงเซี่ยนทำหน้าขรึม และเอ่ยว่า “หลี่เชียน เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้ายังไม่อยากบอกข้าหรือ?” นางเอ่ยจบก็เอ่ยทันทีโดยไม่รอให้หลี่เชียนเอ่ยปากว่า “เจ้ากับเขาน่าจะรู้จักกันไม่นานใช่หรือไม่? หากข้าเดาไม่ผิด พวกเจ้าน่าจะรู้จักกันหลังจากข้าไปภูเขาวั่นโซ่ว ซึ่งก็คือหลังจากข้าแนะนำเจ้า พวกเจ้าถึงรู้จักกัน”
“เจ้าโน้มน้าวอย่างไรจินเซียวถึงช่วยเจ้าล่ะ?”
“เกี่ยวดองกันหรือ?”
“ตระกูลของพวกเจ้าเหมือนจะมีน้องสาวแค่คนเดียว แถมอายุยังไม่ตรงกับจินเซียว…หรือว่าจะแต่งงานกับน้องชายของจินเซียว? ข้าได้ยินว่าจินเซียวมีพี่น้องหกคน ในเมื่อใต้เท้าจินให้จินเซียวมาสู่ขอข้าที่เมืองหลวง ก็แสดงว่าเขาคาดหวังกับลูกชายและลูกสาวมากทีเดียว ตระกูลของพวกเจ้ากำแพงป่นเป็นผงและต้นไม้เล็ก ตระกูลจินน่าจะยังไม่ถูกใจกระมัง?”
“ยิ่งกว่านั้นตระกูลจินในเวลานี้จินไห่เทายังเป็นผู้นำตระกูล เรื่องของตระกูลจินนั้นจินเซียวยังไม่มีสิทธิตัดสินใจ แล้วเจ้ามีอะไรถึงทำให้จินเซียวหวั่นไหวได้?” สายตาของนางแฝงความพยายามจับผิด และมองหลี่เชียนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า “หรือว่า…เจ้ารับปากว่าจะแต่งงานกับบุตรสาวของตระกูลจิน?”
“เจ้าพูดจาเหลวไหวอะไรน่ะ?” หลี่เชียนสามารถอดทนได้ทุกอย่างต่อหน้าเจียงเซี่ยน มีเพียงตอนที่เจียงเซี่ยนกำลังสงสัยในความรู้สึกที่เขามีต่อนางเท่านั้นที่ทนไม่ได้ “ทั้งที่เจ้ารู้ดีว่าข้า…” หางตาของเขาเหลือบไปเห็นหลิวตงเยว่ที่อยู่ในมุมรถม้า เขาจึงกลืนคำพูดที่มาถึงใกล้ปากแล้วลงไป และเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าไม่มีทางแต่งงานกับบุตรสาวของคนอื่นหรอก!”
เขายังอยากแต่งงานกับใครอีก?
เจียงเซี่ยนยับยั้งความโกรธในใจไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว นางเบิกตาโต และเอ่ยว่า “เจ้าสะเพร่าให้มันน้อยๆ ลงหน่อย! จินเซียวไม่ใช่คนเลอะเลือน ผลของการล่วงเกินจวนเจิ้นกั๋วกงและล่วงเกินวังฉือหนิง เขาน่าจะรู้ดี…” นางพูดไปก็คว้าหมอนอิงขึ้นมาขว้างใส่หลี่เชียนทันที “เจ้าเอาของอะไรของข้าให้เขาดูหรือไม่?”
“เปล่า!” หลี่เชียนปฏิเสธติดกันหลายครั้ง เขานั่งตัวแข็งทื่อรับอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว และเอ่ยว่า “ข้าจะทำเรื่องสกปรกแบบนั้นได้อย่างไร!”
แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนรู้ว่าเขาไม่มีทางทำ
นางเพียงแค่โกรธที่เขาไม่ยอมบอกนางเท่านั้น
“เจ้ายังคิดจะหลอกข้า!” นางข่มขู่เขา “หากข้าสืบได้ เจ้าตายแน่!”
“เปล่าจริงๆ!” หลี่เชียนอยากพูดแต่ก็หยุดไว้
เจียงเซี่ยนโกรธจัด และเอ่ยว่า “เจ้าจะบอกหรือไม่”
หลี่เชียนลังเลนานมาก ถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าเอาเทียบขอพบของเจิ้นกั๋วกงให้เขาดู…”
เจียงเซี่ยนอึ้งไป และได้สติกลับมาทันที
นางโยนหมอนอิงใส่หลี่เชียน “เจ้าคนสารเลว! ข้าเอาเทียบขอพบของท่านลุงให้เจ้า เพื่อให้เจ้ารักษาชีวิตไว้ได้เวลาที่เจออันตรายในเมืองหลวง แต่เจ้ากลับเอามันไปหลอกจินเซียว ทำให้จินเซียวคิดว่าข้าจะหนีตามเจ้าไป…ข้าก็ว่า ทำไมจินเซียวถึงรับปากเจ้าโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว จนทำให้ท่านพี่อาลวี่รับมือไม่ทัน…”
นางเสียใจมาก!
จินเซียว…นางเป็นคนแนะนำให้ เทียบขอพบ…นางเป็นคนให้
ก็เหมือนกับชาติก่อน
นางเชื่อใจเขาอย่างถึงที่สุดจนจัดเตรียมไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้วทั้งชีวิต ทว่าเขากลับทรยศนาง
เป็นคนมาสองชาติ นางก็ตกอยู่ในกำมือของคนคนเดียว
นี่นางไม่ได้เรื่องได้ราวขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?!
แล้วน้ำตาก็ร่วงลงมาจากใบหน้าของเจียงเซี่ยนอย่างไม่ทันตั้งตัว
หลี่เชียนลนลานขึ้นมาทันที
ในความทรงจำของเขา เจียงเซี่ยนเข้มแข็งมาก
ต่อให้นางกับฮ่องเต้จะเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ฮ่องเต้เป็นชู้กับแม่นมของตนเอง นางก็จะไปพิสูจน์ความจริง
และหากพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง นางก็สามารถลืมคนผู้นั้นไปจนหมดสิ้น และเลือกสามีที่จะแต่งงานได้ทันที
ทว่าเวลานี้นางกลับร้องไห้ออกมา
———————————–
[1] เกลือที่บิดาเคยกินมากกว่าสะพานที่เขาเคยเดินเสียอีก หมายถึง บิดามีประสบการณ์มากกว่าเขา
[2] ในด่าน หมายถึง พื้นที่แถบตะวันตกของด่านซานไห่และแถบตะวันออกของด่านเจียอวี้