มู่หนานจือ - บทที่ 17 ส่งขนม
สีหน้าของเฉาเซวียนแข็งทื่อไปทันที
ขุนนางทั้งราชสำนักมีใครไม่รู้บ้างว่าเฉาไทเฮาอยากสู่ขอเจียงเซี่ยนให้แต่งงานกับเขา
แล้วทั้งในและนอกวังหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเจียงเซี่ยนก็ไม่เคยสนใจเขา
เขารู้สึกว่าตนเองเป็นตัวตลกในสายตาของครอบครัวตระกูลขุนนางที่สร้างคุณูปการให้แคว้นและประชาชนอย่างใหญ่หลวง
ทว่าเขาก็ไม่กล้าขัดขืน…กั๋วกงอย่างเขาได้รับการแต่งตั้งเพราะเป็นญาติที่เกี่ยวดองกัน จึงสิ้นสุดที่สามรุ่น แต่จวนเจิ้นกั๋วกงกลับเป็นหนึ่งในสิบจวนกั๋วกงที่ก่อตั้งแคว้น ประวัติศาสตร์สองร้อยยี่สิบสามปีของราชวงศ์จ้าว จวนกั๋วกงทั้งสิบนั้น บ้างก็ถูกตัดบรรดาศักดิ์ไปเพราะความผิด บ้างก็ตายในสงคราม บ้างก็หมดสิ้นทายาทเพราะการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างลูกของภรรยาเอกกับลูกของอนุภรรยา บ้างก็เพราะลูกหลานรุ่นหลังธรรมดาและตกอับ มีแต่จวนเจิ้นกั๋วกงเท่านั้นที่ถึงแม้จะไม่ได้มีทายาทมากมาย แต่กลับมีแม่ทัพที่มีชื่อเสียงเกิดมาทุกรุ่น ควบคุมกองทัพหนึ่งของกองบัญชาการห้าทัพอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ต้องพูดถึงคนไกล อย่างเช่นเจียงเจิ้นหยวนที่ดำรงตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงอยู่ในเวลานี้ เขามีลูกชายแค่คนเดียวคือเจียงลวี่ หน้าตาขาวเกลี้ยงเกลา กิริยาท่าทางงดงาม ทว่าตอนที่อายุสิบห้าก็สามารถง้างคันธนูที่ต้องใช้แรงถึงสองต้านได้แล้ว ปีที่แล้วต้าถงถูกชนกลุ่มน้อยทางเหนือรุกราน เขาก็นำทหารม้าสามกองทัพไปล้อมและปราบกำลังทหารหนึ่งหมื่นนายของชนกลุ่มน้อยทางเหนือ…ตระกูลแบบนี้ ใครจะไม่อยากผูกสัมพันธ์ด้วย?
แต่ตระกูลเฉาของพวกเขามีเพียงไทเฮาคนเดียวเท่านั้น
แถมไทเฮาผู้นี้ยังไม่ถูกกับไทฮองไทเฮาผู้เป็นแม่ยายของคุณชายรองจวนเจิ้นกั๋วกงและยายของเจียงเซี่ยนด้วย
ทุกครั้งที่เฉาเซวียนคิดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้ก็จะรู้สึกปวดศีรษะ
อย่างไรเฉาไทเฮาก็ไม่เชื่อ นางคิดว่าทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเองได้ และให้เขาหลอกให้เจียงเซี่ยนมาอยู่ในกำมือให้ได้
หากท่านอาของเขารู้ว่าเขาทำกับนางอย่างขอไปทีเรื่องแต่งงานของเจียงเซี่ยน ไม่ทำให้เขาไม่มีอะไรติดตัวเลยก็ทำให้เขาลอกคราบได้เช่นกัน
เขาไม่อยากกระตุกหนวดเสือ
คิดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว เฉาเซวียนก็ฝืนยิ้มและมองไปทางหลี่เชียน
ระหว่างคนกับคนไม่ควรเอ่ยถึงเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ทั้งที่รู้ว่าเขาจัดการท่านหญิงเจียหนานไม่ได้ยังพูดจาเช่นนี้ นี่หลี่เชียนกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่ใช่หรือไม่?
หลี่เชียนเบิกตาโต สีหน้าแลดูสับสนและงุนงง เหมือนไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เฉาเซวียนก็กลายเป็นแบบนี้
เฉาเซวียนลังเลเพียงชั่วพริบตา
หลี่เชียนมาจากตระกูลโจร หลังจากยอมจำนนก็ถูกเฉาไทเฮาแยก โดยโยกย้ายหลี่ฉางชิงกับเหล่าขุนศึกไปที่ฝูเจี้ยน และออกคำสั่งลับให้จิ้งไห่โหวลอบสังเกตการณ์และคอยดูแล ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะตระกูลหลี่เข้าทางเฉิงเต๋อไห่ และปีที่แล้วแม่ทัพต้าถงก็ถูกชนกลุ่มน้อยทางเหนือยิงตาย ในมือจึงไม่มีกองทัพใหญ่ที่จะคานอำนาจกับเจียงเจิ้นหยวนไปชั่วขณะ จะให้พ่อลูกตระกูลหลี่ก้าวออกมานอกฝูเจี้ยนก้าวหนึ่งได้อย่างไร ตระกูลหลี่ไม่ได้ยินข่าวลือพวกนี้ในวงขุนนางก็เป็นไปได้เช่นกัน
เขาคิดถึงที่ไปมาหาสู่กับหลี่เชียนหลายวันนี้ และนิสัยที่เยือกเย็น รักความยุติธรรม และชอบช่วยเหลือผู้อื่นของหลี่เชียน…ก็รู้สึกว่าตนเองขี้ระแวงเกินไปแล้วหรือเปล่า!
ตามหลักแล้ว มันเป็นเวลาที่ตระกูลหลี่ของพวกเขาต้องประจบประแจงเขา หลี่เชียนก็เป็นคนที่ค่อนข้างรู้ว่าควรเดินหน้าหรือถอยหลังตอนไหนแล้วก็จะไม่ทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องลำบากใจ อย่างไรก็ไม่น่าจะทำความผิดเช่นนี้
เฉาเซวียนอดที่จะถอนหายใจยาวเหยียดไม่ได้ แล้วเอ่ยว่า “เรื่องแต่งงานของข้ายังต้องค่อยๆ ปรึกษากันมากขึ้น!”
ตอนที่ตระกูลหลี่เป็นโจรที่ซานซีก็ค่อนข้างร้ายกาจ มีห้าเมืองใหญ่ สิบหกเมืองรอง หนึ่งร้อยเจ็ดสิบแปดอำเภอ ตระกูลหลี่ก็ครอบครองไปสามเมืองใหญ่ สิบเอ็ดเมืองรอง หนึ่งร้อยยี่สิบเก้าอำเภอแล้ว หากไม่ใช่ว่าท่านฝูอวี้กุนซือของหลี่ฉางชิงบอกว่าราชวงศ์จ้าวยังไม่ถึงฆาต หลี่ฉางชิงก็บุกโจมตีทางทิศตะวันตกของเมืองซีอานไปตั้งนานแล้ว นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำไมตอนที่ราชสำนักมาเกลี้ยกล่อมให้ยอมจำนน ตระกูลหลี่จึงยอมแพ้ทันทีเช่นกัน
เพียงแต่ตระกูลหลี่คิดไม่ถึงว่าเฉาไทเฮาจะร้ายกาจขนาดโยกย้ายกองทัพของตระกูลหลี่ไปยังฝูเจี้ยนที่ไม่คุ้นเคย
แล้วก็ถูกจิ้งไห่โหวกดขี่จนไม่มีทางต่อต้านได้
ครั้งนี้เฉาไทเฮาเรียกตระกูลหลี่เข้าเมืองหลวง สำหรับตระกูลหลี่นั้นมันเป็นผลจากความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าของพวกเขา แน่นอนว่าต้องสำเร็จเท่านั้นจะล้มเหลวไม่ได้ ท่านไหวอิ๋นลูกศิษย์ที่ท่านฝูอวี้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ด้วยตนเองเข้ามาเมืองหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อนแล้ว ถึงแม้จะไม่กล้าบอกว่ารู้เรื่องระหว่างตระกูลที่มีอำนาจในเมืองหลวงนี้ ทว่าของภายนอกนี้กลับสัมผัสได้อย่างชัดเจน มิเช่นนั้นหากไม่ระวังและล่วงเกินใครสักคนเข้า นอกจากจะสร้างความสัมพันธ์กับคนที่ไม่สนิทไม่สำเร็จแล้วจะกลายเป็นสร้างศัตรูขึ้นมาแทนด้วย และนั่นก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากแล้ว
เพราะเรื่องเล็กน้อยอาจจะนำหายนะมาให้ตระกูลก็ได้
เรื่องอย่างเฉาไทเฮาอยากให้เฉาเซวียนแต่งงานกับท่านหญิงเจียหนานนั้นหลี่เชียนจะไม่รู้ได้อย่างไร?
เขาเพียงแค่อยากให้เฉาเซวียนหุบปากเท่านั้น
หลี่เชียนบรรลุเป้าหมายแล้วก็ยิ้มพลางหาทางลงให้เฉาเซวียน “เฉิงเอินกง ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับไปวังคุนหนิงกันเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่? ข้าเข้าเวรเสร็จแล้ว พรุ่งนี้บ่ายถึงจะเข้าวัง ข้าไปวังคุนหนิงเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน!”
เฉาเซวียนไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกอย่างที่คิดจริงๆ
เขาได้ยินก็เบ้ปาก และเอ่ยค้านว่า “ข้าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนเองเคยส่งขนมถั่วแดงไปให้ไทเฮาตอนไหน เจ้าจะให้ข้าไปถามใคร?”
หลี่เชียนแปลกใจ ในใจแอบรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาเห็นเฉาเซวียนเคารพท่านหญิงเจียหนานขนาดนั้น จึงยังคิดว่าเฉาเซวียนอยากได้เจียงเซี่ยนแต่ไม่ได้มา ดูเหมือนตอนนี้ก็เพียงแค่นี้เท่านั้น
ทว่าถึงอย่างไรเจียงเซี่ยนก็เป็นท่านหญิง และไม่ได้ล่วงเกินเฉาเซวียนตรงไหน เฉาเซวียนว่านางลับหลังแบบนี้ ก็ต้องบอกว่าไม่เคารพมากเกินไปแล้วจริงๆ
หลี่เชียนเอ่ย “งั้นเจ้าไม่ไปส่งขนมถั่วแดงให้ท่านหญิงเจียหนานแล้วหรือ?” เสียงของเขาแลดูทุ้มต่ำกว่าเมื่อครู่
เฉาเซวียนกำลังกลุ้มกับเรื่องนี้ จึงไม่สังเกตเห็นความแตกต่างของหลี่เชียน และเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “ท่านหญิงชิงฮุ่ยนั่นก็เป็นกระบอกเสียงของท่านหญิงเจียหนาน ในเมื่อนางมาบอกก็เท่ากับเป็นความต้องการของท่านหญิงเจียหนานแล้ว ไม่ไปส่งไม่ได้อย่างแน่นอน…”
หากเฉาไทเฮารู้ว่าเขาปฏิเสธโอกาสเอาอกเอาใจที่ส่งมาให้ถึงที่เองแบบนี้ จะต้องเรียกเขาไปจัดการอย่างรุนแรงแน่นอน
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “แต่ให้ข้าหาขนมถั่วแดงให้พวกนางจากทั่วทั้งถนนก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน…ส่งๆ ไปพอเป็นพิธีก็แล้วกัน…” เขาเอ่ยถึงตรงนี้ แล้วตบบ่าของหลี่เชียน พลางเอ่ยอย่างร่าเริงว่า “เดี๋ยวเจ้าออกจากวังพร้อมกับข้าเถอะ! พวกเราไปเดินเล่นที่ตรอกหนานถงกู่กัน ที่นั่นมีของกินเล่นเยอะ พวกเราดูแล้วก็ซื้อส่งเข้าวังสักหน่อยแล้วกัน หากไม่เจอก็ให้พ่อครัวที่บ้านทำหลายๆ กล่อง แล้วก็ยังสามารถลางานกับเสด็จอาได้ด้วย หากนางรู้ว่าข้าเลิกงานก่อนเวลาด้วยเรื่องนี้ อาจจะพระราชทานเงินค่าขนมให้ข้ามาใช้สักสองถุงด้วยก็ได้!”
หลี่เชียนขมวดคิ้วอย่างที่เห็นได้น้อยครั้ง แต่ก็คลายออกอย่างเร็วมาก นัยน์ตาแวววาวเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เฉิงเอินกงมีคำสั่ง จะกล้าขัดได้อย่างไร!”
ทั้งสองคนยิ้มพลางออกจากวังไป
ไป๋ซู่กลับถึงตำหนักซีซานแล้ว นางล้างหน้า หวีผม เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ และไปที่ตำหนักตงซาน
นางในสี่ห้าคน บ้างก็ถืออ่างทองแดงอยู่ บ้างก็ถือบัวรดน้ำอยู่ กำลังล้อมอยู่รอบกายเจียงเซี่ยน ส่วนเจียงเซี่ยนถือผ้าเช็ดหน้าไหมสีขาวเช็ดใบให้ดอกกล้วยไม้ที่เพิ่งจะออกดอกในกระถางอยู่
พอเห็นไป๋ซู่เข้ามา นางก็โยนผ้าเช็ดหน้าในมือลงในอ่างน้ำ แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “กลับมาแล้ว!”
ไป๋ซู่พยักหน้า
นางในยื่นอ่างทองแดงที่บรรจุน้ำอุ่นไว้มาใกล้มือเจียงเซี่ยนแล้ว
เจียงเซี่ยนล้างมือไปพลาง เอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลางว่า “เจ้ามีอะไรก็พูดมาเถอะ”
ไป๋ซู่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจ้าเชิญข้าดื่มชา แล้วข้าจะบอกเจ้า” นางเอ่ยพลางรับผ้าฝ้ายในมือของนางในที่อยู่ข้างๆ มายื่นให้เจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนเช็ดมือ แล้วสั่งคนที่รับใช้อยู่ข้างกาย “กล้วยไม้กระถางนี้น่าจะบานในสองวันนี้แล้ว พวกเจ้าคอยดูแลเอาใจใส่ พอบานแล้วก็ส่งไปที่ตำหนักของไทฮองไทเฮา”
นางในต่างพากันย่อตัวขานรับ
ไป่เจี๋ยหยิบน้ำมันหอมบนถาดดอกไห่ถังแกะสลักลงรักสีแดงมาทามือให้เจียงเซี่ยน
“เจ้าจะไม่บอกข้าก็ได้” เจียงเซี่ยนยิ้มพลางปรายตามองไป๋ซู่ แล้วเอ่ยว่า “เอาไว้ตอนที่เฉิงเอินกงเข้ามาส่งขนมถั่วแดงให้เจ้า ข้าค่อยถามเฉิงเอินกงแล้วกัน”
“เป่าหนิง!” ไป๋ซู่ยื่นมือไปจั๊กจี้รักแร้ของเจียงเซี่ยน “เจ้าให้คนแอบฟังข้าคุยอีกแล้ว”
เจียงเซี่ยนหัวเราะร่าพลางหลบไปข้างๆ “ข้าก็แค่อยากรู้ว่าไทเฮาเคยพระราชทานขนมถั่วแดงให้ข้าตอนไหน? แล้วจู่ๆ ข้าชอบกินขนมถั่วแดงตั้งแต่เมื่อไร?”
———————————