มู่หนานจือ - บทที่ 177 ออกราชโองการ
ไทฮองไทเฮาได้ฟังแล้วก็เงียบไปอีกพักหนึ่ง
เฉาเซวียนเดาไม่ออกว่าเวลานี้ไทฮองไทเฮาคิดอย่างไร จึงทำได้เพียงตั้งใจรอ ทว่าในใจกลับร้อนรนมาก
เจียงลวี่เป็นแม่ทัพหนุ่ม ฝีมือขี่ม้าและยิงธนูยอดเยี่ยม และพาหวังจ้านล่วงหน้าไปก่อนเขาครึ่งวันแล้ว หากไทฮองไทเฮาชักช้าต่อไปอีก เขากลัวว่าต่อให้เขาขอราชโองการมาได้ก็ไม่มีทางตามไปได้ทันเวลาอยู่ดี
สีหน้าของเขาเผยความกังวลออกมาเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไทฮองไทเฮาเห็นแล้วก็นั่งตัวตรงอย่างเยือกเย็น และยื่นมือออกไปหาเฉาเซวียน เหมือนจะลุกออกจากเตียงอุ่น
เฉาเซวียนรีบเข้าไปก้มตัวประคองนาง
ไทฮองไทเฮายืนอยู่บนบันไดหน้าหัวเตียงอุ่น สูงกว่าเฉาเซวียนที่รูปร่างผอมสูงเพียงเล็กน้อย ไทฮองไทเฮาเอ่ยว่า “เฉาเซวียน เจ้าทิ้งพระราชเสาวนีย์ที่ป้าของเจ้าให้ข้าไว้กับข้าเถอะ!”
ไม่ได้บอกว่าจะทำอะไร?
เฉาเซวียนลังเลอยู่สองสามอึดใจ ก็มอบพระราชเสาวนีย์ให้ไทฮองไทเฮา
เขาคิดว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครรักเจียงเซี่ยนมากไปกว่าไทฮองไทเฮาแล้ว นางต้องไม่อยากทำให้เจียงเซี่ยนเสียใจอย่างแน่นอน ก็เหมือนกับตอนนั้นที่องค์หญิงหย่งอันจะแต่งงานกับเจียงเจิ้นอิง ไทฮองไทเฮาไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายก็ยังยอมองค์หญิงหย่งอันอยู่ดี
ไทฮองไทเฮาได้พระราชเสาวนีย์ที่ประทับตราของฮองเฮาไปแล้วก็เรียกเมิ่งฟางหลิงเข้ามา แล้วยื่นพระราชเสาวนีย์ให้เมิ่งฟางหลิง พลางเอ่ยว่า “เจ้าไปเตรียมสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ[1]ให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้ ข้ากับเฉิงเอินกงต้องใช้”
เฉาเซวียนตกใจ
ไทฮองไทเฮาเอ่ยว่า “ในเมื่อต้องออกราชโองการ ก็ต้องมีคนร่างราชโองการคนหนึ่ง ข้าว่าก็ให้เจ้าทำแล้วกัน”
นั่นก็หมายความว่า ไทฮองไทเฮาตกลงแล้ว
เฉาเซวียนโล่งอก และรู้สึกว่าตนเองกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
เขารีบพาไทฮองไทเฮาไปที่ห้องหนังสือของตำหนักข้าง แล้วเขียนราชโองการสองฉบับตามรูปแบบของหนังสือราชการ
ไทฮองไทเฮาอ่านแล้วก็พยักหน้าตลอด
เมิ่งฟางหลิงเดินถือราชโองการที่ว่างเปล่าเข้ามาสามฉบับ และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ซื่อจื่อ ข้ากลัวว่าท่านจะเขียนพลาด จึงหยิบมาเพิ่มอีกแผ่น”
เฉาเซวียนมองม้วนราชโองการที่ทอด้วยไหมทองหลากสีสัน ความรู้สึกมากมายปะปนกัน
ราชโองการที่ว่างเปล่าไม่น่าจะหยิบง่ายขนาดนั้นกระมัง?
แม้จะคิดเช่นนั้น เขาก็ยังคงนั่งลงคัดลอกหนังสือราชโองการที่ไทฮองไทเฮาเห็นชอบแล้วด้วยอักษรก่วนเก๋อ[2]ลงในราชโองการอย่างตั้งใจและประณีตมาก และถามไทฮองไทเฮาที่รอเขาเขียนราชโองการอยู่ข้างๆ ตลอดตอนที่รอให้หมึกแห้งว่า “ต้องไปสอบถามที่กองพิธีการสักหน่อยหรือไม่ว่าวันนี้ใครเข้าเวร?”
ตราประทับของฮ่องเต้มีมากกว่าหนึ่งอัน และการใช้งานของทุกอันต่างไม่เหมือนกัน บางครั้งฮ่องเต้คึกคักขึ้นมา ยังอาจจะเริ่มใช้ตราใหม่ด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดก็มีตราประทับของฮ่องเต้เจ็ดอัน ในนั้นนอกจากตราลัญจกรหยกที่สลักว่า ‘รับโองการจากสวรรค์ แคว้นจะต้องอายุยืนยาวตลอดไปและเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน’ แล้ว ยังมีตราประทับของฮ่องเต้ที่ฮ่องเต้ใช้สำหรับแต่งตั้งและสั่งขุนนางกับซานกง ตราประทับของฮ่องเต้ที่ใช้สำหรับเขียนจดหมายให้ขุนนางกับซานกง ตราประทับของฮ่องเต้ที่ใช้สำหรับส่งทหารในแคว้นออกรบ ตราประทับของฮ่องเต้ที่ใช้สำหรับแต่งตั้งและสั่งเจ้าผู้ครองแคว้นในอาณัติ ตราประทับของฮ่องเต้ที่ใช้สำหรับเขียนจดหมายกับแคว้นในอาณัติ และตราประทับของฮ่องเต้ที่ใช้สำหรับเกณฑ์ทหารของแคว้นในอาณัติ
ทว่าตราลัญจกรหยกนั้นฮ่องเต้เป็นคนเก็บไว้ ส่วนตราประทับของฮ่องเต้อันอื่นทั้งหมดฝ่ายตราประทับจะเป็นผู้ดูแล ปกติตอนที่จะประทับตรานั้นกองพิธีการก็จะส่งหนังสือประทับตราไปที่กองตราประทับ กองตราประทับส่งหนังสือมอบให้ฝ่ายตราประทับ และหัวหน้าขันทีฝ่ายตราประทับก็จะเป็นคนรับตราประทับจากฝ่ายนางในที่ดูแลตราประทับ
ขั้นตอนซับซ้อนและจุกจิกมาก
ทว่าตั้งแต่ฮ่องเต้เซี่ยวจงใช้ตราลัญจกรหยกตอนที่เลื่อนตำแหน่งให้จิ้งเฟยหลังจากจิ้งเฟยคลอดฮ่องเต้องค์ก่อน เพื่อแต่งงานกับนาง บวกกับฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นคนชอบก่อกวนมากกว่าฮ่องเต้เซี่ยวจง และจ้าวอี้ก็มีเฉาไทเฮาและว่าราชการหลังม่าน…การใช้ตราประทับของฮ่องเต้แต่ละแบบจึงไร้แบบแผนเล็กน้อย
แต่ไม่ว่าจะไร้แบบแผนอย่างไร อยากประทับตราของฮ่องเต้ที่มีผลลงในราชโองการที่ว่างเปล่านี้ ก็ต้องให้กองพิธีการออกหน้า กองพิธีการออกหน้าก็อาจจะไปถึงหูจ้าวอี้ได้ เมื่อไปถึงหูจ้าวอี้ก็หมายความว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นที่รู้กันทุกคนและถูกจับตามอง ไม่ระวังเพียงเล็กน้อยก็จะกลายเป็นผิดพลาดจนไม่มีทางแก้ไขได้
ใครจะรู้ว่าไทฮองไทเฮาไม่เผยสีหน้ากังวลแม้แต่น้อย นางลุกขึ้นสั่งเฉาเซวียนว่า “เจ้านำราชโองการตามข้ามา” สวมเสื้อคลุมยาวลายต้นอ้อกับนกกระสาหัวแดงสีเหลืองเข้มกลางเก่ากลางใหม่ที่พบเขาเมื่อครู่ พาเมิ่งฟางหลิงเดินออกไปข้างนอกทันที โดยไม่เปลี่ยนแม้แต่จะเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ
เฉาเซวียนรีบตามไป และเพราะไม่รู้ว่านางคิดอย่างไร จึงอดที่จะเตือนเสียงเบาไม่ได้ “ก่อนมากระหม่อมถามมาแล้ว คนที่เข้าเวรที่กองพิธีการวันนี้คืออู๋ฝู่เฉิงบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน…”
อู๋ฝู่เฉิงมาจากตระกูลที่ยากจนและฐานะต่ำต้อย ตอนที่เข้าเมืองหลวงมาเข้าร่วมการสอบขุนนางหลายปีก่อนจึงพักอาศัยที่วัดฉางชุนตรงชานเมืองหลวงชั่วคราว ตอนที่อดีตฮูหยินกั๋วกงที่เสียชีวิตไปแล้วของจวนเจิ้นกั๋วกงไปแก้บนในวัดเคยช่วยชีวิตอู๋ฝู่เฉิงที่นอนป่วยอยู่บนเตียงไว้ อู๋ฝู่เฉิงซาบซึ้งใจมาก พอถึงช่วงปีใหม่ก็มักจะไปเยี่ยมอดีตฮูหยินกั๋วกง ทั้งสองตระกูลจึงไปหามาสู่กันอยู่บ้าง
ไทฮองไทเฮามองเฉาเซวียนครั้งหนึ่ง
เฉาเซวียนใจสั่น เขามักจะรู้สึกว่านัยน์ตาของนางเหมือนกำลังสื่อถึงอะไรบางอย่าง จึงรู้สึกร้อนตัวอย่างเลี่ยงไม่ได้ และไม่กล้าพูดอะไรอีก
ไม่นาน ไทฮองไทเฮาก็ออกจากวังฉือหนิงและไปที่กรมวัง
เฉาเซวียนอึ้งไป
หน่วยงานสิบสองฝ่ายของราชสำนักก็ตั้งอยู่ที่กรมวัง
หรือว่าไทฮองไทเฮาจะตรงไปที่ฝ่ายตราประทับอย่างนั้นหรือ?
ทว่าไม่มีหนังสือมอบจากกองตราประทับ ฝ่ายตราประทับก็ไม่กล้าประทับตราหรอก
ไทฮองไทเฮาน่าจะรู้ดีสิ
นี่นางจะทำอะไร?
สถานที่ขนาดเท่าฝ่ามือของกรมวัง หัวหน้าขันทีสิบสองฝ่ายทำงานที่กรมวังทั้งหมด แม้แต่ตอนที่เฉาไทเฮาอยู่ ก็สุภาพและมีมารยาทกับพวกเขาเช่นกัน ไทฮองไทเฮามาด้วยตนเอง จึงไม่มีทางปิดบังได้ ทว่านี่ล้วนเป็นเรื่องเล็ก กลัวก็แต่ว่าเนื้อหาในราชโองการจะหลุดออกไป
เฉาเซวียนอดที่จะเอ่ยอีกครั้งไม่ได้ว่า “ไทฮองไทเฮาว่า พวกเราต้องคิดหาทางไปเอาหนังสือราชการที่กองพิธีการก่อนหรือไม่…”
ไทฮองไทเฮาไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ นางเพียงแค่เร่งขันทีที่แบกเกี้ยว “เร็วหน่อย!”
เหล่าขันทีไม่กล้าชักช้า จึงเริ่มวิ่งเหยาะๆ
เฉาเซวียนจนปัญญา จึงจำต้องตามไป
ไม่นาน พวกเขาก็เข้าไปในกรมวัง
ขันทีที่ไปๆ มาๆ ต่างเห็นแล้วก็ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
ไทฮองไทเฮาส่งสัญญาณให้ขันทีที่ติดตามมา “ปิดประตู!”
ขันทีที่ติดตามอยู่ข้างกายนางหิ้วเหล่าขันทีกับรองหัวหน้าขันทีที่ยังเดินไปไม่ไกลกลับมาทันที และปิดประตูใหญ่
ไทฮองไทเฮาก็ถามเหล่ารองหัวหน้าขันทีที่ถูกหิ้วเข้ามานั้น “ฝ่ายตราประทับอยู่ที่ไหน?”
คนที่สามารถเดินอยู่ที่นี่ได้ไม่ใช่คนโง่ รองหัวหน้าขันทีคนนั้นดูขี้ขลาด และรีบเอ่ยทันทีว่า “กระหม่อมจะพาไทฮองไทเฮาไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ไทฮองไทเฮาพยักหน้า เมิ่งฟางหลิงจึงประคองไปทางตะวันตก
เฉาเซวียนลังเลขึ้นมา
ขันทีคนหนึ่งของไทฮองไทเฮาที่ติดตามมาและยังคงอยู่ที่เดิมไม่รู้ว่าหยิบไม้โบยออกมาจากไหน เขาตวาดพวกขันทีที่อยู่ในลานกว้างว่า “ยืนชิดกำแพงให้หมด”
ไม่เพียงแต่ตวาดด่าขันทีเหล่านั้น พวกขันทีที่เดิมทีดูเรื่องสนุกอยู่หลังหน้าต่างก็รีบหดศีรษะกลับไปเช่นกัน
ทั้งกรมวังเงียบสงัดจนไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว
เฉาเซวียนฝืนยิ้มออกมา
เห็นได้ชัดว่าไทฮองไทเฮาเตรียมการไว้ก่อนแล้ว เขาอยู่ที่นี่ทั้งห้ามไม่ได้และคิดวิธีที่ดีกว่าไม่ออก ก็สู้ตามไทฮองไทเฮาไปดีกว่า
เขาจึงรีบไปที่ฝ่ายตราประทับ
เห็นหัวหน้าขันทีฝ่ายตราประทับพาขันทีสองสามคนคุกเข่าอยู่ที่ลานกว้าง ส่วนไทฮองไทเฮายืนอยู่บนขั้นบันได และมองท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ ด้วยสายตาเย็นชา ใบหน้าที่เดิมทีเมตตาและอ่อนโยนนั้นเย็นเยียบ ขันทีคนหนึ่งที่สวมเครื่องแบบระดับหกถูกขันทีที่ติดตามไทฮองไทเฮามากดลงบนพื้น กระดาษสาที่เปียกแล้วปิดหน้าอยู่ และกำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเพราะหายใจไม่ออก
————————————
[1] สี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ ได้แก่ พู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึก
[2] อักษรก่วนเก๋อ แบบตัวอักษรมาตรฐานของหนังสือราชการสมัยราชวงศ์ชิง