มู่หนานจือ - บทที่ 198 อยู่หรือไป
เสียดายที่เจียงเซี่ยนไม่ได้มองหลี่เชียนแม้แต่นิดเดียว
ตอนที่หลี่เชียนยังไม่มา นางยังพูดคุยและหัวเราะกับเจียงลวี่ ทว่าหลังจากหลี่เชียนเข้ามากลับนั่งก้มหน้านิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างเขินอาย
เจียงลวี่เห็นหลี่เชียนแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด จึงเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ขอบคุณเป็นหน้าที่ของเจ้ากระมัง? เจ้าจะลากข้าไปด้วยทำไม?” เขาเอ่ยพลางสั่งเจียงเซี่ยนว่า “เจ้ารีบไปเก็บของ เดี๋ยวกลับไปเมืองหลวงกับข้า” เขาพูดอยู่ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงมองการแต่งตัวของเจียงเซี่ยนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า และเอ่ยอย่างรังเกียจว่า “ข้าว่าเจ้าก็อย่าเก็บเลย ต้องการอะไรพวกเราซื้อระหว่างทางก็ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้รีบกลับเมืองหลวงเช่นกัน”
หลี่เชียนได้ยินก็ร้อนใจขึ้นมา
ทำเช่นนี้ได้อย่างไร!
เมื่อก่อนตอนที่เขาได้ยินคนอื่นบอกว่าจวนเจิ้นกั๋วกงเก่งกาจนั้นยังคิดว่าเพราะเจียงเจิ้นหยวนบริหารถูกวิธี แล้วก็มีผู้สืบทอด ตระกูลเจียงจึงคงอยู่มาได้สามสิบปี ครั้งนี้ได้ติดต่อกับตระกูลเจียงถึงรู้ว่า ภายใต้ใบหน้าที่ดูเหมือนอ่อนน้อมและยอมอยู่ใต้อำนาจของตระกูลเจียงนั้นความจริงแล้วกำเริบเสิบสานแค่ไหน กล้าสืบแม้กระทั่งร่องรอยของฮ่องเต้ กล้าโยกย้ายแม้กระทั่งองครักษ์ของค่ายทหารภูเขาตะวันตก ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงราชโองการฉบับนั้นแล้ว…เฉาเซวียนกล้าเก็บไว้เป็นความลับ ตระกูลเจียงก็กล้ารับและไม่ปฏิบัติตาม
หากเจียงลวี่แค่คิดจะหลอกเจียงเซี่ยนกลับเมืองหลวงจะทำอย่างไร?
หากเจียงเซี่ยนตามเจียงลวี่กลับเมืองหลวงแล้วตระกูลเจียงไม่ยอมรับราชโองการฉบับนี้จะทำอย่างไร?
เมืองหลวงไม่ใช่วัดป่าโอสถ
จวนเจิ้นกั๋วกง ไทฮองไทเฮา ชินเอินป๋อ อ๋องเจี่ยน…คนเหล่านี้หิ้วใครก็ได้ออกมาสักคนก็ทำให้เขาปวดศีรษะได้ทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะต่อยหรือตบก็ไม่ได้ เขาคิดว่าตนเองยังไม่มีความสามารถในการรับมือคนมากขนาดนี้ในคราวเดียว
ส่วนราชโองการ ต้องมีคนยอมรับนี่ถึงจะเป็นราชโองการ หากไม่ยอมรับ นั่นก็เป็นผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่ง
แล้วเขาเก็บราชโองการฉบับนั้นไว้จะมีประโยชน์หรือ!
ทว่าต่อหน้าเจียงเซี่ยนกับเจียงลวี่ กลับพูดแบบนี้ไม่ได้
เจียงลวี่เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของเจียงเซี่ยน แค่เรื่องนี้ ก็ไม่มีใครห้ามเจียงลวี่พาเจียงเซี่ยนไปได้
“ท่านกั๋วกงน้อยรับประทานอาหารเย็น แล้วพักที่นี่สักคืนและค่อยไปดีกว่ากระมัง?” หลี่เชียนยิ้ม แสงแดดสว่างไสวทั้งหน้า “นี่ก็เย็นแล้ว ทางของวัดป่าโอสถก็เดินลำบาก ผู้ติดตามข้างกายท่านกั๋วกงน้อยต่างเป็นกองกำลังทหารที่เฉลียวฉลาด มีฝีมือ และกล้าหาญในกองทัพจึงไม่ต้องกลัว กลัวแต่ว่าท่านหญิงร่างกายอ่อนแอ และข้างกายก็มีแต่หลิวตงเยว่คอยรับใช้…ไว้พรุ่งนี้เช้าข้าจัดสาวใช้มารับใช้ท่านหญิงสักสองสามคนดีกว่า เตรียมสัมภาระเสร็จแล้วท่านกั๋วกงน้อยค่อยกลับเมืองหลวงพร้อมท่านหญิงก็ไม่สายเช่นกัน”
เจียงลวี่คิดดูแล้วก็มีเหตุผล
เขารีบออกเดินทาง ข้างกายจึงมีแต่พวกผู้ชายที่หยาบกระด้าง ไม่เหมาะที่จะเดินทางพร้อมกับเจียงเซี่ยน
“เช่นนั้นเจ้าก็เตรียมไว้หน่อย” เจียงลวี่ยังคงปฏิบัติกับหลี่เชียนไม่ดีเช่นเดิม และสั่งเจียงเซี่ยนทันที “พวกเราออกเดินทางพรุ่งนี้ ท่านพ่อกับท่านแม่เป็นห่วงเจ้าตลอด…” พอเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็คิดได้ว่าตนเองมัวแต่โกรธหลี่เชียน จึงยังไม่ได้บอกท่านพ่อเลยว่ามาถึงแล้ว น้ำเสียงชะงักไปเล็กน้อย
หลี่เชียนก็ช่างเป็นคนฉลาดอะไรขนาดนี้ เขาเอ่ยต่อทันทีว่า “หากท่านกั๋วกงน้อยอยากส่งข่าวไปเมืองหลวง ข้าเลี้ยงนกพิราบสื่อสารที่ใช้แค่ในกองทัพโดยเฉพาะไว้สองสามตัว เดี๋ยวข้าพาผู้ติดตามของท่านไปหาคนที่เลี้ยงนกพิราบก็ได้”
ถือว่าเจ้ายังรู้จักสังเกตอยู่บ้าง!
เจียงลวี่ทำเสียงไม่พอใจในใจ และสีหน้าก็ผ่อนคลายในที่สุด
หลี่เชียนพึมพำในใจ
เขาไม่เชื่อหรอกว่า เจียงลวี่ต้องขอร้องเขาทุกอย่าง แล้วจะไม่พอใจเขาไปได้ตลอด!
เขาเรียกปิงเหอเข้ามาตามความต้องการของเจียงลี่ทันที และสั่งปิงเหอว่า “เจ้าไปเอาสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือมา ดูแลเรื่องพู่กันกับหมึกให้ท่านกั๋วกง”
ปิงเหอขานรับอย่างระมัดระวังมาก และถอยออกไป
สายตาของหลี่เชียนจับจ้องไปที่เจียงเซี่ยนอีกครั้ง
นางนั่งก้มหน้าอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ผมทั้งศีรษะดำขลับ นิ้วมือที่ขาวหมดจดและผอมบางพันอยู่กับพู่สีเขียวขจีตรงเอว นิ่งเงียบจนเหมือนภาพวาดหญิงงามภาพหนึ่ง
หลี่เชียนเห็นแล้วก็รู้สึกมีความสุขในใจ คิดว่าอย่างไรคุยกับเจียงเซี่ยนสักคำก็ดี…แม้จะคุยไม่ได้ ได้ดูหน้านาง และรู้ว่าเวลานี้นางอารมณ์ดีหรือโกรธก็ดีเหมือนกัน!
เจียงลวี่เห็นดวงตาของหลี่เชียนเหมือนติดอยู่กับเจียงเซี่ยน จะไม่รู้ความคิดของหลี่เชียนได้อย่างไร
แต่เขาไม่ยอมให้หลี่เชียนสมปรารถนาหรอก ดูสิว่าหลี่เชียนจะทำอะไรได้!
“เจียหนาน!” เจียงลวี่เอ่ยเสียงทุ้ม “เวลานี้ยังเป็นช่วงต้นฤดูร้อน พอถึงตอนกลางคืนอุณหภูมิก็จะเย็นลง ยิ่งกว่านั้นที่นี่อยู่ในภูเขา เจ้ารีบกลับห้อง หลิวตงเยว่ล่ะ? ทำไมไม่รู้จักสังเกตเลย เวลานี้แล้ว ก็ไม่มาดูแลให้ท่านหญิงของพวกเจ้ารับประทานอาหาร! เดิมทีท่านหญิงก็ร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว หลังจากอาหารเย็นต้องเดินย่อยอาหารสักสองสามรอบ ช้ากว่านี้ ก็จะถึงเวลาพักผ่อนของนางแล้ว มิน่าเล่าเจ้าอยู่วังฉือหนิงก็ทำได้เพียงหมุนตามหลังหลิวเสี่ยวหม่าน เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ทำได้ไม่ดี ยังไม่รีบประคองท่านหญิงของพวกเจ้ากลับห้องไปอีก”
สองสามประโยคสุดท้ายนั้น เอ่ยกับหลิวตงเยว่ที่วิ่งเหยาะๆ มาตลอดทาง
หลิวตงเยว่จะร้องไห้แล้ว
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนกำลังว่าเขา ทว่าความจริงแล้วกลับกำลังว่าใต้เท้าหลี่
หากเป็นเมื่อก่อนก็แล้วไป
เวลานี้ใต้เท้าหลี่เป็นคู่หมั้นของท่านหญิงแล้ว คุณชายใหญ่ว่าใต้เท้าหลี่แบบนี้ หากใต้เท้าหลี่ไม่พอใจ และทำไม่ดีกับท่านหญิงลับหลังจะทำอย่างไร?
ท่านหญิงก็เป็นคนที่ถูกรังแกไม่ได้ ทั้งสองคนจะไม่ทะเลาะกันขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?
ชนชั้นสูงแย่งชิงอำนาจกัน คนที่รับเคราะห์ล้วนเป็นชนชั้นล่าง!
เขารีบส่งสายตาถ่อมตัวและวิงวอนไปให้หลี่เชียน หวังเพียงว่าจะลดความโกรธของหลี่เชียนได้สักเล็กน้อย
หลี่เชียนไม่ได้ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง
คนอื่นมอบลูกสาวที่เลี้ยงมาจนโตอย่างยากลำบากให้เขาแล้ว ถูกพี่ชายของภรรยากลั่นแกล้งแค่นี้จะเป็นอะไรไป?
คิดว่าตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนแทนเจียงเซี่ยนไปแล้วกัน!
เขาเอ่ยอย่างมีน้ำใจต่อ แม้เจียงลวี่จะเย็นชาใส่เขาก็ตาม “นี่เป็นความสะเพร่าของข้า ข้าจะให้คนตั้งโต๊ะให้ท่านหญิงเดี๋ยวนี้” แล้วก็เอ่ยกับหลิวตงเยว่ว่า “หากท่านหญิงต้องการอะไร เจ้ายังไปหาอวิ๋นหลินได้โดยตรงเหมือนเดิม”
หลิวตงเยว่ขานว่า “ขอรับ” อย่างซาบซึ้งใจ แล้วยืนอยู่ข้างกายเจียงเซี่ยนอย่างนอบน้อมพร้อมทำตามคำสั่งตลอดเวลา ไม่กล้าเชิญเจียงเซี่ยนกลับห้องไปเอง
เจียงเซี่ยนเห็นเจียงลวี่โวยวายแบบนี้ ก็รู้สึกดีขึ้นหน่อยในที่สุด จึงกำชับเจียงลวี่เสียงเบาสองสามคำว่า “ดื่มเหล้าน้อยๆ หน่อย” “หลายวันนี้เร่งเดินทางเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว คืนนี้ก็พักผ่อนให้มาก” แล้วลุกขึ้นยืน และเข้าไปในห้องโถงตรงประตูใหญ่ด้วยท่าทางเหมือนต้นสน โดยไม่มองหลี่เชียนแม้แต่นิดเดียว
จริงๆ เลย!
อย่าว่าแต่คุยสักคำเลย นางไม่ชายตามองเขาแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ
เป่าหนิงต้องกังวลว่าเจียงลวี่อยู่ด้วยอย่างแน่นอน
คนอื่นต่างกลัวว่าลูกสาวแต่งไปอยู่บ้านสามีแล้วจะใช้ชีวิตลำบาก จึงพยายามประจบประแจงลูกเขย แต่พี่ชายของภรรยาของเขากลับไม่เห็นลูกเขยอย่างเขาอยู่ในสายตาสักนิด…มิน่าเล่าคนทั่วไปถึงต่างไม่อยากแต่งงานกับองค์หญิง เขาแต่งงานกับท่านหญิง กลับไม่ต่างอะไรกับแต่งงานกับองค์หญิงเลย…
หลี่เชียนมองเจียงเซี่ยนค่อยๆ เดินห่างออกไปอย่างจนใจ แถมยังต้องทำจิตใจให้สดชื่นขึ้นและเรียกเจียงลวี่ “ท่านกั๋วกงน้อย เพราะอยู่ในวัด จึงต้องให้ท่านลองชิมอาหารมังสวิรัติของวัดป่าโอสถแล้ว ยังดีที่ในวัดของพวกเขาหมักเหล้าผลไม้ชนิดหนึ่งเอาไว้ ว่ากันว่าทำจากดอกหอมหมื่นลี้ที่เก็บเอาไว้ตอนฤดูใบไม้ร่วง วันนี้พวกเราจึงได้อาศัยวาสนาของท่านลองว่าเหล้าผลไม้นี้รสชาติเป็นอย่างไรไปด้วย…”
เจียงลวี่เห็นใบหน้าที่ยิ้มอย่างฝืนใจเล็กน้อยของหลี่เชียน แล้วก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยในชั่วพริบตา
เขาถลกชายเสื้อขึ้น และเดินออกไปจากเรือนด้านในก่อนอย่างสูงศักดิ์แลดูสุขุมและสง่างาม
หลี่เชียนมองห้องหลักที่เงียบสงัดครั้งหนึ่ง แล้วก็จำต้องตามไป
เจียงเซี่ยนมองเจียงลวี่กับหลี่เชียนจากไปจากหลังลายฉลุหน้าต่าง และล้มตัวลงบนเตียงอรหันต์โดยหัวเราะอย่างเต็มที่ไม่หยุด
นางรู้ว่าหลี่เชียนเป็นคนโง่ แต่คิดไม่ถึงว่าคนๆ นี้จะโง่ขนาดนี้ พี่ชายของนางเพิ่งจะพ่ายแพ้เขา ในใจกำลังโกรธ เขาก็ไม่รู้จักทำหน้าขรึมสักหน่อย
เอาแต่มองนางอย่างไม่วางตา สายตาอันร้อนแรงแผดเผาจนนางรู้สึกลนลานไปหมด…