มู่หนานจือ - บทที่ 206 แพะรับบาป
ไทฮองไทเฮาได้ยินก็ยิ้มเยาะ และเอ่ยว่า “เรื่องนี้ฝ่าบาทควรไปถามเสด็จแม่ของฝ่าบาท!”
จ้าวอี้ตกใจ และอ่านพระราชเสาวนีย์อย่างละเอียดอีกรอบ ถึงนึกขึ้นได้ว่าหลี่เชียนเป็นใคร
เขาอดที่จะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ แล้วขยำพระราชเสาวนีย์อย่างมั่วๆ และโยนทิ้งลงบนพื้น
ไทฮองไทเฮาเห็นแล้วก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดตรงหางตา “ฝ่าบาท ถือว่าหม่อมฉันขอร้องฝ่าบาท ฝ่าบาทรีบอภิเษกสมรสเถอะ! ฝ่าบาทไม่แต่งงาน เป่าหนิงก็ไม่ได้รับความสงบสุขสักที ฝ่าบาทกับเป่าหนิงต่างเป็นคนที่หม่อมฉันเห็นมาตั้งแต่เด็กจนโต ชอบเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก คนหนึ่งเป็นหลานสาวของหม่อมฉัน อีกคนก็เป็นหลานชายของหม่อมฉัน สำคัญเท่ากันทั้งคู่ หม่อมฉันเห็นชอบ แต่เสด็จแม่ของฝ่าบาทไม่ชอบ หม่อมฉันจะทำอะไรได้?”
“แม้ฮองเฮาจะเป็นมารดาของแคว้น แต่ในเวลาปกติก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่บ้าน กตัญญูต่อแม่สามี ปรนนิบัติสามี เลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนลูกชายกับลูกสาวเหมือนผู้หญิงธรรมดาไม่ใช่หรือ ผู้หญิงที่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากแม่สามี ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา มีกี่คนที่มีจุดจบที่ดี”
“ฝ่าบาทเป็นทั้งฮ่องเต้ และเป็นพี่ชายของเป่าหนิง หม่อมฉันยังหวังว่าหลังจากหม่อมฉันตายแล้ว ฝ่าบาทจะดูแลเป่าหนิงได้เหมือนเมื่อก่อน แล้วทำไมฝ่าบาทต้องทำให้เป่าหนิงลำบากด้วย?”
“ฝ่าบาท ทรงฟังคำแนะนำจากหม่อมฉันสักคำเถอะ!”
“ฝ่าบาทตั้งฮองเฮาเร็วหน่อย เป่าหนิงก็จะได้หาคนแต่งงานอย่างสบายใจเช่นกัน”
“ฝ่าบาทช่วงชิงเกียรติยศกับไทเฮาเช่นนี้ ไทเฮาทำอะไรฝ่าบาทไม่ได้ แต่นางกลับจัดการเป่าหนิงได้อย่างง่ายดาย”
“ต้องรู้ว่า ธรรมเนียมนั้นเป็นสิ่งที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ฮองเฮาเป็นผู้คุมสตรีบรรดาศักดิ์ข้างในและข้างนอกทั้งหมด ฝ่าบาทไม่ตั้งฮองเฮา ตราประจำตัวของฮองเฮาอยู่ในกำมือของไทเฮา เรื่องแบบนี้ก็ไม่อาจหนีได้พ้น…”
คำพูดของไทฮองไทเฮาแทงหน้าอกของจ้าวอี้เหมือนมีด
หรือว่าต่อให้เขาว่าราชการด้วยตนเองแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบได้อย่างนั้นหรือ?
เสด็จแม่ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
นางบอกว่านางเสียดายที่ไม่ได้สั่งสอนเขาด้วยตนเองตั้งแต่เด็ก เขาก็ยอมมอบลูกชายคนโตของตนเองให้นางเลี้ยงดู
นางบอกว่าคนสกุลฟางไม่มีคุณธรรม ต้องดูแลและสั่งสอนดีๆ เขาก็ยอมให้คนสกุลฟางติดตามอยู่ข้างกายนาง
นางยังต้องการอะไรอีก?
นางยังอยากควบคุมเขาเหมือนเมื่อก่อนอีกอย่างนั้นหรือ?
เขาเดินกลับไปกลับมาในห้องด้วยสีหน้าโกรธจัด จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าและเอ่ยอย่างหวาดกลัวว่า “เป่าหนิงล่ะ? นางอยู่ไหน? ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
“หม่อมฉันให้ไทฮองไท่เฟยอยู่เป็นเพื่อนนาง” ตอนที่ไทฮองไทเฮาเอ่ยเรื่องนี้ สีหน้าดูแย่มาก “หม่อมฉันไม่กล้าให้นางรู้ นิสัยของนางนั้นคนอื่นไม่รู้ ฝ่าบาทก็ยังไม่ทราบ หากดื้อขึ้นมา ต่อให้เป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในใต้หล้านางก็ไม่สนเช่นกัน หม่อมฉันกลัวว่านางจะบุ่มบ่ามไปหาเสด็จแม่ของฝ่าบาท และกลายเป็นทำให้เสียการใหญ่ เสด็จแม่ของฝ่าบาทไม่ใช่ไทเฮาธรรมดา นางเป็นไทเฮาที่เคยสำเร็จราชการแทน เก่งกาจเรื่องวางแผน!”
ถูกต้อง!
ตอนนี้เขาจะทำอะไรด้วยอารมณ์ไม่ได้
ด้วยนิสัยของเสด็จแม่ ในเมื่อนางจะให้เป่าหนิงแต่งงานกับคนที่ชื่อหลี่เชียนนั่น ครั้งแรกไม่สำเร็จ ก็จะมีครั้งที่สอง กระทั่งครั้งที่สาม
เขาบุ่มบ่ามไปหาเช่นนี้ มีแต่จะทำให้เรื่องกลายเป็นแย่ลง
จ้าวอี้สูดหายใจลึก และนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
หลี่ฉางชิงเป็นคนของไทเฮา หลี่เชียนเป็นลูกชายคนโตของหลี่ฉางชิง ก่อนหน้านี้ไม่นาน ไทเฮายังเคยเรียกเขาไปที่ภูเขาวั่นโซ่วและสั่งด้วยตนเอง เพื่อให้หลี่ฉางชิงดำรงตำแหน่งแม่ทัพซานซี
เป่าหนิงแต่งงานกับหลี่เชียน นี่ไทเฮาอยากเป็นพันธมิตรกับตระกูลเจียงหรือ?
เขาอดที่จะรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้ และเอ่ยกับไทฮองไทเฮาว่า “พระราชเสาวนีย์ฉบับนี้มาอยู่ที่ตำหนักของเสด็จย่าได้อย่างไร? สองสามวันนี้ที่ฮูหยินฝางเข้าวังอย่างต่อเนื่องก็เพราะเรื่องนี้หรือ? เจิ้นกั๋วกงว่าอย่างไร?”
ตามหลักแล้ว หากไทเฮาพระราชทานงานสมรสให้เป่าหนิงอย่างไม่สนใจไยดี กรมพิธีการกับกรมวังก็ต้องรายงาน และข่าวก็จะต้องมาถึงเขาอย่างแน่นอน
ทว่าเวลานี้เขากลับไม่ได้ยินข่าวแม้แต่นิดเดียว สรุปแล้วไทเฮาปิดบังเขาหรือว่าพระราชเสาวนีย์ฉบับนี้ยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการกันแน่?
ไทฮองไทเฮาเอ่ยอย่างไร้ชีวิตชีวาว่า “ฮูหยินฝางเป็นคนนำเข้ามาในวัง นางกับเจิ้นกั๋วกงต่างตกใจมาก ไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน จึงเข้าวังมาถามหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ตกตะลึงและไม่รู้จะทำอย่างไรดีเช่นกัน ยังคิดว่าเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท พอส่งคนไปถามที่ภูเขาวั่นโซ่ว ถึงรู้ว่าที่แท้ฝ่าบาทก็ไม่ทราบเช่นกัน ไทเฮาคิดว่าเป่าหนิงแต่งเข้าจวนจิ้งไห่โหวไม่เหมาะสม จึงออกพระราชเสาวนีย์ฉบับนี้ก่อนที่จวนจิ้งไห่โหวจะมอบสินสอดให้” และเอ่ยอีกว่า “ทุกคนต่างรู้ว่าตระกูลเจียงรับพระราชเสาวนีย์แล้ว ส่วนเนื้อหาเป็นอย่างไรนั้น สองสามวันนี้ตระกูลเจียงงดรับแขก บวกกับไทเฮาก็พักผ่อนอย่างสงบอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่ว ถึงแม้จะมีการคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่ข่าวก็ไม่รั่วไหล สุดท้ายแล้วควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ดี ยังต้องขอให้ฝ่าบาทช่วยตัดสินพระทัยให้หม่อมฉันด้วย”
พอจ้าวอี้ได้ยินก็งงเช่นกัน
เสด็จแม่ของเขาไม่ใช่คนที่พูดแล้วคืนคำ ทำไมจู่ๆ ถึงได้คิดว่าเป่าหนิงแต่งงานกับจ้าวเซี่ยวไม่เหมาะสมเล่า?
จ้าวอี้นึกถึงตอนที่เฉาไทเฮาสำเร็จราชการแทน เหล่าขุนนางระดับสูงหวาดกลัวจนตัวสั่นต่อหน้านาง มีอำนาจมากก็ไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว ทว่าพอถึงตอนที่เขาว่าราชการด้วยตนเอง กลับมักจะต่อหน้าทำอย่างหนึ่งลับหลังทำอีกอย่าง และผลักภาระให้คนอื่นอย่างขอไปที…
เสด็จแม่ของเขาไม่ใช่ไทเฮาธรรมดาจริงๆ เป่าหนิงแต่งเข้าจวนจิ้งไห่โหวก็ไม่มีอะไรขัดกับเสด็จแม่ แต่เวลานี้อยู่ๆ เสด็จแม่ก็คิดว่าไม่เหมาะสม…เช่นนั้นเสด็จแม่ต้องมีแผนอะไรอยู่ในใจอย่างแน่นอน!
จ้าวอี้ที่ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของมารดามาหลายปี ตอนนี้ไม่ได้คิดว่าจะวิเคราะห์และตัดสินอย่างไร ทว่าตัดสินใจไปพบเฉาไทเฮาทันที
เขาคุยกับไทฮองไทเฮาอย่างลวกๆ สองสามคำก็จากไปแล้ว
ไทฮองไท่เฟยเดินออกมาจากหลังฉากกั้น
นางเอ่ยด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลว่า “หากไทเฮาเปิดโปงพวกเราจะทำอย่างไรเพคะ?”
สายตาของไทฮองไทเฮาจับจ้องไปที่พระราชเสาวนีย์ที่ถูกโยนทิ้งลงบนพื้น และเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “พวกเรามีพระราชเสาวนีย์ฉบับนี้อยู่ในมือไม่ใช่หรือ? นี่ก็ไม่ใช่ของที่พวกเราปลอมขึ้นมาเสียหน่อย”
“แต่…” เป่าหนิงไม่อยู่ในวัง
นี่เป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด!
เฉาไทเฮาจับจุดอ่อนนี้อยู่ ด้วยนิสัยที่ไม่เคยเสียเปรียบของนาง จะช่วยเป็นแพะรับบาปในเรื่องนี้ให้พวกนางได้อย่างไร?
“นางไม่กล้าบอก” ไทฮองไทเฮาคิดถึงคำพูดที่เจียงเจิ้นหยวนฝากฝางจื่อชิงมาบอกนาง สีหน้าก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น และเอ่ยว่า “ทำไมเป่าหนิงถึงไม่อยู่ในวัง? เรื่องนี้หากสืบหาสาเหตุกันขึ้นมา ตระกูลหลี่ต้องรับผิดชอบมากกว่า คนที่นางพึ่งพาได้ในเวลานี้มีแต่ตระกูลหลี่แล้ว นางก็ต้องยืนอยู่บนเรือลำเดียวกับพวกเรา เพื่อรักษาตระกูลหลี่เอาไว้”
ไทฮองไท่เฟยพยักหน้า นางกลัดกลุ้มอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้ และเอ่ยว่า “หรือว่าเป่าหนิงอยากแต่งงานกับหลี่เชียนจริงๆ อย่างนั้นหรือเพคะ?”
ไทฮองไทเฮาไม่เอ่ยสิ่งใด
นางคิดถึงหย่งอันบุตรสาวที่จากไปก่อนวัยควร
มีชีวิตอยู่เพียงสั้นๆ แค่สิบหกปี ทว่ากลับมีความสุขตลอดเวลา
แม้แต่ตอนที่ตาย พอคิดว่าตนเองจะได้เป็นสามีภรรยากับเจียงเจิ้นอิงต่อที่ปรโลก ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเช่นกัน
เป่าหนิงอายุสิบสี่แล้ว กลับเหมือนหญิงชราที่อยู่เป็นหม้ายอย่างนาง ร้องไห้น้อยมาก ทว่าก็ยิ้มน้อยมากเช่นกัน
ใช้ชีวิตแบบไหนดีกว่ากันแน่ เวลานี้นางก็เริ่มสับสนเล็กน้อยแล้วเช่นกัน
“ไว้เจอเป่าหนิงแล้วค่อยว่ากันเถอะ!” ไทฮองไทเฮาถึงจะเอ่ยว่า “ยังไม่รู้ว่านางจะเลือกอย่างไร? แต่เฉาเซวียนกลับทำให้ข้าต้องมองเขาใหม่ เขารู้จักซ่อนเร้นความสามารถ ขอเพียงคนสกุลเฉาไม่รนหาที่ตายต่ออีก และตระกูลเฉาให้เขาจัดการตระกูล เขาคงจะรักษาความมั่งคั่งและมีอำนาจของทั้งสองรุ่นเอาไว้ได้”
ไทฮองไท่เฟยนับถือสายตาของไทฮองไทเฮามาตลอด จึงยิ้มพลางขานรับว่า “เพคะ”
ไทฮองไทเฮาก็เอ่ยว่า “ให้ไป๋ซู่เข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนพวกเราสองสามวันเถอะ! เป่าหนิงไม่อยู่ ข้ารู้สึกโหวงเหวง หากเป่าหนิงอยากแต่งงานกับหลี่เชียนจริงๆ ก็ต้องเรียกเด็กคนนี้เข้ามาให้ข้าดูหน่อยเช่นกัน ข้าลืมไปแล้วว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร จำได้แค่ว่ายิ้มแล้วรูปงามมาก แล้วก็จัดตำแหน่งอะไรให้เขาดี? อย่างไรก็ให้เป่าหนิงตามเขาไปซานซีไม่ได้กระมัง? พอเป็นเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกว่าเป่าหนิงแต่งงานกับหลี่เชียนก็ไม่มีอะไรเสียหายเช่นกัน อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลับไปสืบทอดกิจการที่ฝูเจี้ยนเหมือนจ้าวเซี่ยว ต่อไปก็อยู่ในเมืองหลวงได้ตลอด…”
———————————–