มู่หนานจือ - บทที่ 219 ตกใจ
เจียงเซี่ยนในตอนนั้นจ้องหลี่เชียนอย่างโกรธจัด
ทั้งไม่สบายใจที่หลี่เชียนล่วงเกินนาง และยิ่งเสียใจกับฐานะของตนเองในใจหลี่เชียน
ทว่าเพื่อศักดิ์ศรีของไทเฮา นางก็ยังยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มชา และถามเรื่องวิถีชีวิตทางตะวันตกเฉียงเหนืออย่างละเอียดต่อ เหมือนไม่ได้ยิน
หลี่เชียนมองนางและยังอยากพูดอะไรอีก เมิ่งฟางหลิงก็เข้ามาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ยังดีที่ใต้เท้าหลี่เอ่ยขึ้นมา ไม่อย่างนั้นฎีกาฉบับนี้ของท่านก็คงถูกวางซ้อนทับอยู่ล่างสุดแล้ว และยังไม่รู้ว่าจะมาถึงหน้าพระพักตร์ของไทเฮาเมื่อไร!”
เจียงเซี่ยนรู้ว่าเขาล่วงเกินรองหัวหน้าขันทีของซือหลี่เจียน
ผ่านไปไม่กี่วัน นางจึงหาโอกาสเปลี่ยนหัวหน้าขันทีของซือหลี่เจียน
ผ่านไปอีกหลายวัน ตอนที่หลี่เชียนไปตระเวนสังเกตการณ์ที่กองบัญชาการกานซู่เจอชนกลุ่มน้อยทางเหนือรุกราน เขาไม่เพียงแต่รบแพ้สองสามครั้ง ทว่ายังถูกขังไว้ที่กองบัญชาการกานซู่ด้วย
ตอนนั้นนางนอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน
บางครั้งก็จะนึกถึงสิ่งที่เขาเอ่ยกับนางในตำหนักข้างของห้องทรงอักษร
แต่นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่า แม้นางจะเป็นถึงไทเฮาที่สำเร็จราชการแทน ทว่าทุกหนทุกแห่งในใต้หล้าล้วนเป็นแผ่นดินของฮ่องเต้
แล้วนางจะไปไหนได้?
นางเกิดในวัง โตในวัง และสุดท้ายก็จะตายในวัง
ตอนหลังหลี่เชียนได้รับชัยชนะ นางก็ค่อยๆ วางเรื่องนี้ไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจนานจนถูกฝุ่นจับเต็มไปหมด
ไม่รู้เพราะเหตุใดคืนนี้จู่ๆ เจียงเซี่ยนก็นึกถึงเรื่องนี้อีก
ชาติก่อนทำไมเขาถึงพูดกับนางเช่นนั้น
ด้วยความฉลาดของหลี่เชียน น่าจะรู้ว่าต่อให้นางยอมแกล้งตายออกจากวัง ก็ต้องให้เขายอมทิ้งความทะเยอทะยานที่จะช่วงชิงอำนาจในการปกครองแคว้นเช่นกัน ไม่อย่างนั้นพวกนางก็ไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้…ฐานะของนางอ่อนไหวเกินไป ราชวงศ์ทิ้งคนๆ นี้ไม่ได้ พวกขุนนางและบัณฑิตในราชสำนักก็ไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเช่นกัน
สุดท้ายแล้วในใจเขานางก็ยังเป็นของเล่นที่เขาหยอกเล่นในยามว่างใช่หรือไม่?
เจียงเซี่ยนคิดอย่างเสียใจกับความผิดพลาดตนเอง และรู้สึกหดหู่มาก น้ำตาร่วงลงมาจากดวงตาที่ปิดสนิทอย่างหยุดไม่ได้ ปรากฏว่าตื่นมาเช้าวันรุ่งขึ้น ตาของนางก็บวมจนเหมือนเหอเถา[1]
ไป๋ซู่ร้อนใจมาก จึงรีบสั่งให้หลิ่วเย่ไปเชิญหมอ
เจียงเซี่ยนรั้งไป๋ซู่เอาไว้ และเอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อคืนข้าแค่อารมณ์ไม่ดี ใช้ไข่ต้มกลิ้งสักหน่อยก็หายแล้ว”
ในวังไม่มีของอื่น ทว่ากลับมีเคล็ดลับในการรักษาการร้องไห้และรักษาอาการบาดเจ็บมากมาย
ไป๋ซู่คิดแล้วก็ยังให้หลิ่วเย่ไปต้มไข่มาสองสามฟองตามที่เจียงเซี่ยนต้องการ
เจียงเซี่ยนขอบคุณนางอย่างหนักใจ
ไป๋ซู่ไล่คนรับใช้ในห้องออกไป และเอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อคืนดึกเกินไป ข้าจึงไม่ได้ถามเจ้า เจ้าบอกความจริงกับข้า เจ้าอยากแต่งงานกับหลี่เชียนจริงๆ หรือ? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหลังจากเจ้าแต่งงานกับหลี่เชียนแล้ว ก็อาจจะกลับเมืองหลวงไม่ได้อีก และไม่ได้เจอไทฮองไทเฮา เจิ้นกั๋วกง ฮูหยินฝาง และเจียงซื่อจื่ออีกแล้ว?”
สำหรับสตรีมากมายในเมืองหลวง การแต่งงานกับคนนอกเมืองหลวงแทบจะเป็นฝันร้าย
เมื่อก่อนนางก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
ไม่ต้องพูดถึงแต่งไปนอกเมืองหลวง แค่แต่งไปนอกวังก็รู้สึกว่าไม่ได้แล้ว
ทว่าตอนนั้นนางก็ไม่เคยคิดฝันว่าวันหนึ่งนางจะวางยาพิษฆ่าจ้าวอี้พี่ชายที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก และเติบโตมาด้วยกันกับตนเอง ไม่เคยคิดฝันว่านางจะเดินเส้นทางของเฉาไทเฮา กลายเป็นไทเฮาที่สำเร็จราชการแทน เลี้ยงดูฮ่องเต้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ…และตายตอนอายุยี่สิบสี่
ความเปลี่ยนแปลงในชีวิตนั้นไม่มีใครบอกได้แน่ชัด แค่แต่งงานไปอยู่แดนไกล น่ากลัวเท่าใดกัน?
สิ่งที่นางกลัวคือรู้ดีว่าญาติมิตรจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่กลับไม่มีเวลาอยู่ร่วมกับพวกเขา และแก้ไขโชคชะตาอันน่าเศร้าของพวกเขาไม่ได้
เจียงเซี่ยนมองไป๋ซู่อย่างจริงจังและระมัดระวัง แล้วเอ่ยว่า “เจ้าบอกความจริงกับข้า สถานการณ์ในเมืองหลวงแย่สำหรับข้ามากแล้วใช่หรือไม่?”
ไป๋ซู่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วก็พยักหน้า พลางกดคอลงและเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮายังเคยส่งคนไปภูเขาวั่นโซ่วเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะด้วย ตอนที่พวกเรามา ไทเฮาเรียกฝ่าบาทไปภูเขาวั่นโซ่ว ว่ากันว่าจะปรึกษาหารือเรื่องตั้งฮองเฮากับฝ่าบาท แต่ใครเป็นตัวเลือกฮองเฮาที่เหมาะสมที่สุดในพระทัยของไทเฮา พวกเราก็ยังไม่รู้”
“ไม่ใช่เจ้ากับข้าก็พอแล้ว” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “และตระกูลของพวกเราสองคนก็ไม่มีพี่น้องคนอื่นที่อายุเหมาะสมแล้วเช่นกัน”
ไป๋ซู่ยิ้มพลางพยักหน้า สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย
เซียงเอ๋อร์เข้ามารายงานว่า “ใต้เท้าหลี่มาเจ้าค่ะ!”
ไป๋ซู่เม้มปากพลางมองเจียงเซี่ยนและยิ้มตลอด
เจียงเซี่ยนเห็นนางยิ้มก็พาลโกรธ และคิดถึงดวงตาของตนเองที่บวมอยู่ หากถูกเขาเห็นเข้าแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรอีก และจะทำให้ไป๋ซู่หัวเราะเยาะเปล่าๆ จึงอดที่จะต่อว่าไม่ได้ว่า “เช้าขนาดนี้ เขามาที่เรือนของข้าทำไม? หากเขามีอะไรก็ไปหาคุณชายใหญ่! ถ้าใช้ไม่ได้อีกก็ไปขอคำแนะนำจากท่านป้าหรือฮูหยินฉีก็ได้ มาที่เรือนของข้าบ่อยๆ ทำไม!”
เซียงเอ๋อร์ไม่กล้าอยู่อีก จึงรีบวิ่งออกไปบอก
หลี่เชียนคิดแล้วก็ถามนางว่า “ตอนที่เจ้าไป ท่านหญิงชิงฮุ่ยอยู่ด้วยหรือไม่?”
เซียงเอ๋อร์พยักหน้าติดกันหลายครั้ง
หลี่เชียนเอ่ยกับเซี่ยหยวนซีที่มาเป็นเพื่อนเขาว่า “เช่นนั้นพวกเรากลับไปก่อนเถอะ!”
เซี่ยหยวนซีอยากพูดแต่ก็หยุดไว้
หลี่เชียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจียหนานรักศักดิ์ศรี ข้ามาหานางเช่นนี้ นางต้องถูกท่านหญิงชิงฮุ่ยล้อแน่”
เซี่ยหยวนซียิ้ม และเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่าท่านหญิงเจียหนานยังนิสัยเหมือนเด็กด้วย”
“เดิมทีนางก็อายุน้อยอยู่แล้ว” หลี่เชียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงให้ท้ายและหลงใหล
เซี่ยหยวนซีอดที่จะหัวเราะไม่ได้
หลี่เชียนไม่ถือสา และเอ่ยอย่างแข้งขาอ่อนแรงว่า “ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เจียหนานจะแต่งงานกับข้าแบบนี้! ข้ายังคิดว่าอย่างน้อยที่สุดข้าก็ต้องวุ่นวายกับเรื่องนี้ไปอีกสี่ห้าปีถึงจะจบสิ้น ตระกูลเจียงสมกับที่เป็นตระกูลขุนนางที่ยืนหยัดมาอย่างยาวนาน พวกเขาวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์อย่างแข็งกร้าวและเด็ดขาด ตระกูลหลี่ของพวกเราเทียบกับตระกูลเจียงแล้วยังห่างไกลกันมาก”
เซี่ยหยวนซียิ้มและเอ่ยว่า “เจ้าก็อย่าดูถูกตนเองเกินไปเช่นกัน ตระกูลหลี่ของพวกเรารบชนะอย่างต่อเนื่องจนไม่มีใครต่อต้านได้ที่ซานซี ก็พอที่จะทำให้ตระกูลขุนนางเหล่านั้นเกรงกลัวแล้ว ไม่อย่างนั้นพอข่าวเรื่องพระราชทานงานสมรสเผยแพร่ออกไป ทำไมตระกูลจินกับตระกูลเซ่าถึงกับส่งคนที่อยู่ในตำแหน่งสำคัญของตระกูลไปแสดงความยินดีกับใต้เท้าที่ซานซี”
หลี่เชียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ดูถูกตนเองเกินไป เพียงแค่คิดว่าพวกเราต้องเรียนรู้จุดแข็งของตระกูลเจียงเอาไว้เท่านั้น” แล้วเขาก็เอ่ยถึงเรื่องแต่งงานของตนเอง “เจ้ารีบมาจากไท่หยวนโดยเฉพาะ รู้ว่าที่บ้านเตรียมการไปถึงไหนแล้วหรือไม่?”
“อย่าว่าแต่ใต้เท้าเลย แม้แต่ท่านฝูอวี้รู้แล้วก็ดีใจมากเช่นกัน พูดไม่หยุดว่านายท่านโตแล้ว รู้จักสร้างเกียรติยศให้บรรพบุรุษกับวงศ์ตระกูลแล้ว” เซี่ยหยวนซีคิดถึงสภาพของหลี่ฉางชิง แล้วก็หัวเราะจนลืมตัวเล็กน้อย และเอ่ยว่า “ข้าได้ยินน่าฝูผู้ติดตามข้างกายใต้เท้าบอกว่า ใต้เท้าถวายราชโองการพระราชทานงานสมรสไว้ในห้องพระ แล้วก็จะเปิดอ่านก่อนนอนทุกคืน แถมยังส่งนายท่านเหอ[2]ไปคุมงานที่เฝินหยาง จะซ่อมแซมจวนเก่าที่เฝินหยางให้เสร็จภายในเดือนนี้ให้ได้ ไว้เจ้ากับท่านหญิงแต่งงานกันแล้ว ใต้เท้าจะพาพวกเจ้ากลับไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เฝินหยางด้วยตนเอง ถึงเวลานั้นก็จะถวายราชโองการพระราชทานงานสมรสไว้ในหอบรรพบุรุษของบ้านเก่าที่เฝินหยางด้วย เพื่อเรื่องนี้ ใต้เท้ายังเชิญแม่นมคนหนึ่งที่ออกมาจากในวังมาสอนธรรมเนียมให้หญิงรับใช้ในบ้านโดยเฉพาะด้วย” เขาพูดอยู่ก็ชะงักไป และเอ่ยอีกว่า “ได้ยินว่าฮูหยินเหอก็ต้องเรียนรู้ธรรมเนียมด้วย แถมยังให้ฮูหยินเหอแต่งตัวอย่างดี ถึงเวลานั้นจะได้ไม่ทำให้ตระกูลหลี่เสียหน้า”
หลี่เชียนรู้สึกแค่ว่าตนเองเหงื่อออกเต็มศีรษะ
เซี่ยหยวนซียังเอ่ยอย่างไม่รังเกียจความวุ่นวายว่า “ใต้เท้ายังจะซ่อมแซมบ้านที่อยู่หลังกองบัญชาการของเจ้าใหม่ ซื้อบ้านข้างๆ ด้วยเงินก้อนโต และย้ายไปอยู่กับเจ้าด้วย บอกว่าอย่างไรเขาก็เป็นพ่อสามีของท่านหญิง หากไม่อยู่ด้วยกัน ต่อไปเจ้ากับท่านหญิงมีลูกแล้ว ต่างคนต่างอยู่คนละที่ เกรงว่าจะไม่รู้จักแม้แต่เขาที่เป็นปู่ แล้วปู่หลานจะผูกพันกันได้อย่างไร”
————————————
[1] เหอเถา คือ วอลนัท
[2] เหอหย่งเจี๋ย นายท่านเหอ พี่น้องของคนสกุลเหอแม่เลี้ยงของหลี่เชียน