มู่หนานจือ - บทที่ 232 พูดคุยเป็นการส่วนตัว
การหมั้นนั้นนอกจากจะต้องนำสัญญาแต่งงานของทั้งสองตระกูลออกมาให้ทุกคนดูแล้ว ยังต้องเขียน ‘หนังสือแจ้งการแต่งงาน’ เพื่อบอกเรื่องการจัดงานแต่งงานที่ทั้งสองตระกูลปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว เช่น แต่งงานเมื่อไร หลังจากดูดวงแล้วตอนที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวแต่งงานมีข้อห้ามอะไรบ้าง และตอนที่คำนับฟ้าดิน ดื่มสุรา และนั่งลงบนเตียง เทพเจ้ามงคลอยู่ทางทิศไหนแก่ฝ่ายหญิง
ฮูหยินฝางเรียกหาเขา จะมีเรื่องอะไรได้?
หลี่เชียนได้ยินแล้วก็รู้สึกกังวลเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้ วันรุ่งขึ้นจึงไปที่กองบัญชาการต้าถงแต่เช้า
ผ่านสัญญาแต่งงานแล้ว การแต่งงานของทั้งสองคนก็ถูกกำหนดแล้ว
คนของตระกูลเจียงต่างเรียกเขาว่า ‘ลูกเขย’ อย่างเป็นมิตร แม้แต่ฉีเซิ่งเจอเขาแล้วก็ปฏิบัติกับเขาอย่างสนิทสนมและอบอุ่นเล็กน้อยเช่นกัน ถามเขาว่ากินอาหารเช้ามาหรือยัง
“กินมาแล้วขอรับ” หลี่เชียนยิ้มพลางบอกจุดประสงค์ที่มา
แน่นอนว่าฉีเซิ่งไม่ได้รั้งเขาไว้ อีกฝ่ายเรียกพ่อบ้านในบ้านให้ไปห้องพักแขกที่ฮูหยินฝางพักผ่อนเป็นเพื่อนหลี่เชียน
ฮูหยินฝางเพิ่งตื่น พอได้ยินก็อดที่จะอึ้งไปไม่ได้ แล้วถึงนึกได้ว่านางไม่ได้นัดเวลากับหลี่เชียน
นางอดที่จะลูบหน้าผากไม่ได้ และเอ่ยว่า “นี่ก็เช้าเกินไปหน่อยแล้วเช่นกัน!”
แม่นมอวี๋กำลังคุมให้พวกสาวใช้วางอาหารเช้า นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ก็เพราะลูกเขยให้ความสำคัญกับท่านหญิงมิใช่หรือเจ้าคะ? ท่านเอ่ยประโยคเดียว เขาก็รีบมาแต่เช้าแล้ว”
เวลานี้หลี่เชียนเป็นลูกเขยของตระกูลเจียงแล้ว ฮูหยินฝางจะให้เขารออยู่ข้างนอกได้อย่างไร ทว่าชายหญิงแตกต่างกัน นางก็ไม่อาจให้หลี่เชียนอยู่ดูนางกินอาหารเช้าได้ จึงจำเป็นต้องให้คนเอาอาหารเช้าออกไปก่อนชั่วคราว “ไว้ข้าเจอลูกเขยแล้วค่อยกินอาหารเช้าก็ไม่สายเช่นกัน” นางยังกลัวว่าหลี่เชียนเห็นแล้วจะไม่สบายใจ จึงให้คนยกอาหารเช้าออกไปไว้ที่เรือนด้านหลัง
แม่นมอวี๋ยิ้มพลางขานรับ และพาเหล่าสาวใช้ทยอยเดินออกไป
ฮูหยินฝางไปพบหลี่เชียนที่ห้องโถงข้าง
หลี่เชียนเอ่ยว่า “ฮูหยินยังมีอะไรจะสั่งสำหรับเรื่องแต่งงานหรือขอรับ?”
สินสอดนั้นเขาไปรับกลางทางแล้ว ต่อมาก็เจอเรื่องราวอีกมากมาย หลี่ฉางชิงพอใจกับที่เขาได้แต่งงานกับท่านหญิงเจียหนานเป็นอย่างมาก เรื่องพิธีแต่งงานจึงแทบจะยกกำลังทั้งตระกูล พยายามทำให้งดงามและหรูหราอย่างสุดความสามารถ ทำให้ตระกูลเจียงกับเจียงเซี่ยนพอใจ ดังนั้นหลี่เชียนจึงไม่คิดอะไรมากเช่นกัน จนไม่ได้ดูแม้แต่รายการสินสอดด้วยซ้ำ พอถึงวันที่ส่งสินสอดเขาถึงรู้ว่าบิดาของเขาเพิ่มเครื่องประดับที่เดิมทีตั้งไว้ที่ ‘ทองห้าร้อยตำลึง เงินสองร้อยตำลึง’ เป็น ‘ทองสองพันตำลึง เงินห้าร้อยตำลึง’ โดยไม่ปรึกษา…ทำจนเห็นแต่แสงสีทองเจิดจ้า ทว่ากลับไม่ค่อยมีอัญมณีนัก…เขียนอยู่บนหน้าอย่างเปล่งแสงระยิบระยับว่า ‘ข้ารวยมาก ข้าคือคนที่รวยชั่วข้ามคืน’
หลี่เชียนไม่รังเกียจวิธีทำของบิดา แต่กังวลเล็กน้อยว่าตระกูลเจียงจะรู้สึกว่าธรรมดา
แม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่อยากได้ยินคนอื่นสงสัยและตั้งคำถามกับบิดาของเขาเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงเปิดเผยเรื่องการหมั้นเมื่อวานทันที และถามฮูหยินฝางว่าต้องการอะไรเพิ่มสำหรับการแต่งงานหรือไม่
ฮูหยินฝางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “พูดถึงต้องขอบคุณพ่อสามีมาก งานหมั้นเมื่อวานจัดได้สวยมาก รบกวนพ่อสามีกับลูกเขยแล้ว เรื่องแต่งงานก็จัดการได้เป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นกัน พวกเราเห็นแล้วชอบมาก ไม่ได้ต้องการอย่างอื่น” พอเอ่ยถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางก็ชะงักไป และพึมพำว่า “ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่สื่อได้บอกลูกเขยหรือไม่ว่า ตอนที่นางมาขอช่วงเวลาที่มีรอบเดือนของท่านหญิง พวกเราไม่ได้ให้…”
แม้หลี่เชียนจะอายุยังน้อยทว่ากลับมีประสบการณ์โชกโชนและทำอะไรสุขุมรอบคอบมาก เวลานี้ได้ยินเรื่องนี้ก็หน้าแดงก่ำและร้อนผะผ่าวทันทีเช่นกัน
“ข้า…ข้าได้ยินแล้ว…” เขาพึมพำอย่างไม่สบายใจว่า “ข้าเป็นคนไม่ให้ถามอีก…ท่านหญิงอายุยังน้อย และข้าก็อาจจะตั้งมั่นรักษาการณ์ที่ซานซี ข้าไม่อยากแยกจากท่านหญิง แค่อยากแต่งงานกับนางเร็วหน่อยเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น แน่นอนว่าต้องเชื่อฟังฮูหยินกับไทฮองไทเฮาขอรับ…”
ครั้งนี้ฮูหยินฝางพอใจจริงๆ แล้ว
หลี่เชียนเป็นลูกชายคนโตและหลานชายคนโต และอายุมากกว่าเจียงเซี่ยนห้าปี ตามหลักแล้ว หลี่ฉางชิงก็ควรจะอยากอุ้มหลานแล้วเช่นกัน แต่เจียงเซี่ยนคลอดก่อนกำหนดตั้งแต่เด็ก ก่อนหน้านี้ไทฮองไทเฮาไม่คุยเรื่องแต่งงานให้เจียงเซี่ยนสักที ก็เพราะอยากให้เจียงเซี่ยนพักผ่อนที่บ้านอีกสองสามปี จะได้ไม่มีปัญหาในการให้กำเนิดบุตร ใครจะรู้ว่าโชคชะตาจะเล่นตลกกับคนขึ้นๆ ลงๆ และเจียงเซี่ยนจะรีบแต่งงานไปอยู่ไกลถึงซานซีแบบนี้ แถมยังเป็นตระกูลที่ยังไม่ยืนหยัดในราชสำนักด้วย
ทว่ายังดีที่ลูกเขยหน้าตาสุภาพเรียบร้อย หล่อเหลาและสง่างามอย่างหาได้ยาก ไม่ว่าอย่างไรหากใช้ชีวิตแล้วมีความสุข ตระกูลเจียงก็ไม่ขาดความมั่งคั่งและอำนาจ พอคิดไปในทางที่ดี ก็เป็นวาสนาในการแต่งงานที่ไม่เลวเช่นกัน
ฮูหยินฝางมองหลี่เชียนที่รูปร่างผอมเพรียว พลางยิ้มและเอ่ยอย่างปลื้มใจว่า “ในเมื่อลูกเขยรู้ทุกอย่าง ข้าก็ไม่พูดมากแล้วเช่นกัน ชีวิตในวันข้างหน้าของพวกเจ้ายังอีกยาวไกล เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น หากเจ้ามีคนที่รับใช้ข้างกายมาตั้งแต่เด็ก จะเก็บไว้ในห้องก็ได้ ข้าคิดว่าท่านหญิงยังมีน้ำใจอยู่บ้าง เพียงแต่ตระกูลมีกฎของตระกูล แคว้นมีกฎของแคว้น หากมีลูกชายคนโตที่เกิดจากอนุภรรยาก่อนลูกชายที่เกิดจากภรรยาเอก ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทุกคนจะเสียหน้า ต่อไปในตระกูลก็จะขัดแย้งกันมากเช่นกัน”
หลี่เชียนเดี๋ยวอ้าปากเดี๋ยวหุบปาก กำลังอยากแก้ต่าง
ทว่าฮูหยินฝางกลับรีบเอ่ยโดยไม่รอให้เขาเอ่ยปากแล้วว่า “ข้าก็รู้เช่นกันว่า ตระกูลทหารของพวกเรานั้น เด็กทุกคนต้องลงสนามรบ เติบโตมากับการแย่งชิงกันสร้างความดีความชอบในการรบ หากไม่ระวัง ก็อาจจะตายในสนามรบ และยิ่งมีเด็กมากก็ยิ่งดี เพราะไม่รู้ว่าเด็กคนไหนจะมีอนาคต และเพื่อเชิดชูกิจการของตระกูล ก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งสายภรรยาเอกกับอนุภรรยาชัดเจนขนาดนั้น ไม่จริงจังมากเท่าตระกูลของเหล่าปัญญาชน แต่ถึงอย่างไรท่านหญิงก็ไม่ใช่หญิงสาวจากตระกูลธรรมดา ลูกชายในอนาคตของพวกเจ้าจะได้รับการแต่งตั้งให้สืบทอดตำแหน่งผู้บัญชาการ ลูกสาวของพวกเจ้าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านหญิง…ดังนั้นธรรมเนียมเหล่านี้จึงยังต้องพูดสักหน่อย บุรุษสร้างความดีความชอบต่อแคว้นอย่างใหญ่หลวงและทำงานใหญ่สำเร็จอยู่ข้างนอก หากเรือนด้านหลังไม่สงบสุข ต่อให้เจ้าช่วงชิงบรรดาศักดิ์กลับมาได้ จะเก็บไว้ให้ใครล่ะ?”
“ลูกเขยว่าเรื่องนี้ข้าพูดถูกต้องหรือไม่!”
หลี่เชียนฝืนยิ้ม
เขาไม่สามารถจินตนาการภาพที่เขามีเมียบ่าวอยู่ข้างกาย แล้วเจียงเซี่ยนยังสามารถพูดคุยและหยอกเล่นกับเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เลย
“ฮูหยิน!” เขาเอ่ยเสียงทุ้มว่า “ถึงท่านแม่จะเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร แต่ตอนที่ท่านแม่มีชีวิตอยู่ ก็รักใคร่กับท่านพ่อเป็นอย่างมาก ต่อให้ตอนหลังท่านแม่ไม่มีลูกอีก ท่านพ่อก็ไม่เคยคิดที่จะรับอนุภรรยาเช่นกัน และท่านพ่อก็มักจะเตือนพวกเราที่เป็นลูกว่า คนที่มาจากตระกูลทหารอย่างพวกเรานั้น ตอนสงครามต่อสู้อย่างสุดกำลังอยู่ข้างนอก สตรีกับคนในครอบครัวเป็นห่วงมาก ไม่รู้ว่าวันไหนจะได้ยินข่าวร้ายและการใช้ชีวิตอย่างยากลำบากของลูกกำพร้ากับแม่ม่าย ดังนั้นในยามปกติก็ควรดีกับภรรยาและลูกหน่อย อย่าทำให้พวกนางไม่สบายใจในเรื่องเล็กน้อย”
“แม้ข้าจะมีคนรับใช้อยู่ข้างกาย แต่ไม่เคยคิดที่จะเก็บไว้ข้างตัว”
“เรื่องที่ฮูหยินกังวลไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”
“ขอให้ฮูหยินโปรดวางใจ”
“ข้าได้แต่งงานกับเจียหนานก็พอใจมากและไม่ต้องการสิ่งอื่นแล้ว!”
“อย่างที่ฮูหยินเอ่ย ชีวิตในวันข้างหน้าของข้ากับเจียหนานยังอีกยาวไกล ข้าจะปฏิบัติกับเจียหนานอย่างดี และจะพยายามทำให้นางใช้ชีวิตอย่างสบายใจและมีความสุขอย่างสุดความสามารถขอรับ”
ฮูหยินฝางพยักหน้าติดกันหลายครั้ง
ตอนที่หลี่เชียนบอกลา นางไปส่งหลี่เชียนถึงหน้าประตูฉุยฮวาด้วยตนเอง
—
ฮูหยินฉีรู้แล้วก็เงียบไปนานมาก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ฮูหยินฝางถึงเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อหลี่เชียนไป ทว่าสุดท้ายนางก็ยังแอบเอ่ยกับฉีเซิ่งว่า “ข้าว่าหลี่เชียนผู้นี้ไม่ธรรมดาทีเดียว เพียงแค่ไม่กี่วัน ฮูหยินฝางก็มองเขาใหม่แล้ว ท่านว่า…ท่านต้องหาเวลาเลี้ยงอาหารเขาสักหน่อยหรือไม่”
ตอนกลางวันฉีเซิ่งฝึกซ้อมกับเจียงลวี่ที่สนามฝึกวิทยายุทธมาทั้งวัน จึงเหนื่อยจนไม่อยากแม้แต่จะพูดแล้ว พอได้ยินก็บ่นพึมพำว่า “ข้าจะรู้จักคนมากขนาดนั้นไปทำไม? ข้าแค่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีกับเจิ้นกั๋วกงก็พอแล้ว! แทนที่จะเจอพระโพธิสัตว์แล้วก็ไหว้ สู้ตั้งใจนับถือพระพุทธรูปแค่องค์เดียวดีกว่า ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว รีบนอนเถอะ! ท่านหญิงเจียหนานแต่งไปอยู่ซานซีแล้ว ต่อไปวงการราชการซานซีก็ยิ่งน่าจับตาดู!” แล้วก็พลิกตัวหันหลังให้ฮูหยินฉีและหลับไปทันที
ฮูหยินฉีโกรธแล้วก็ยิ้มออกมาพลางด่าว่า “ตาแก่” แล้วก็ดับไฟและนอนลง
———————————–