มู่หนานจือ - บทที่ 240 บอก
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น หลี่เชียนก็ไม่อยากเห็นเจียงเซี่ยนอารมณ์เสียอยู่ดี
เขามองไปรอบๆ จึงพบว่าสถานที่ที่พวกเขาอยู่นั้นเปล่าเปลี่ยวมาก ไม่เพียงแต่ไม่ค่อยมีคน ทว่าหากมีคนเข้าออกยืนอยู่ตรงที่เขาก็สามารถมองเห็นได้ทั้งหมด เขาจึงถือโอกาสกอดเจียงเซี่ยนไว้ในอ้อมแขน และตบหลังนางเบาๆ เหมือนปลอบเด็ก พลางกระซิบข้างหูนางว่า “อย่าโมโหเลย! เจ้ามาหาข้า คนอื่นจะอิจฉายังไม่ทันด้วยซ้ำ แล้วจะหักหน้าข้าได้อย่างไร? ส่วนจินเซียวนั้น เขายังมีหน้ามีตามากเท่าเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ลมหายใจของบุรุษปนกลิ่นสุรามาปะทะหน้าอย่างอบอุ่น เจียงเซี่ยนอึ้งไปก่อน แล้วก็หน้าแดงและตัวแข็งทื่อไปทั้งตัว กว่าจะดีขึ้นก็ไม่ง่ายเลย บนหน้าร้อนผะผ่าว นางผลักหลี่เชียนออก และไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าหลี่เชียนพูดอะไรบ้าง
“เจ้าจะพูดก็พูด จะจับมือถือแขนทำไม?” นางก้มหน้าลง ไม่กล้ามองหลี่เชียน กลัวว่าจะเห็นสีหน้าหยอกล้อของเขา…นางกลัวว่าตนเองจะเสียใจที่เลือกแต่งงานกับหลี่เชียน
ทันใดนั้นเจียงเซี่ยนก็รู้สึกเศร้ามาก
หรือเป็นเพราะนางวิ่งตามเขาตลอด เขาจึงไม่เห็นว่านางมีค่ามากแค่ไหน ถึงได้แตะต้องร่างกายนางตามอำเภอใจแบบนี้!
เจียงเซี่ยนขอบตาแดง
หลี่เชียนหัวใจเต้นตึกตัก และรีบเอ่ยว่า “เจ้าเป็นอะไรไป?”
พอถูกถามเช่นนี้ เจียงเซี่ยนก็รู้สึกว่าตนเองเป็นคนไม่ค่อยมีเหตุผลขึ้นมาทันที นางกลั้นความเปียกชื้นในดวงตาเอาไว้อย่างสุดกำลัง และเอ่ยว่า “ไม่มีอะไร!” แล้วบอกจุดประสงค์ที่ตนเองมา “…เดิมทีเรื่องนี้พวกเราต่างก็ไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย เซ่าหยางนั่นข้าก็ไม่เคยเจอเช่นกัน บางทีอาจจะเป็นเพียงข่าวลือก็ได้ แต่ข้าคิดว่า…ในเมื่อจินเซียวกับคุณหนูจินเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน และแม่แท้ๆ ของพวกเขาก็เสียชีวิตแล้ว เขาก็ควรจะใส่ใจน้องสาวแท้ๆ ของตนเองให้มากหน่อย เขาเป็นผู้ชาย สามารถเข้าออกเรือนด้านนอก เรียนหนังสือฝึกวิทยายุทธ และเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนักได้ อยู่ในบ้านไม่สบาย ก็สามารถไปอยู่ไกลๆ ได้ ทว่าคุณหนูจินกลับเป็นสตรี ถูกขังไว้ที่เรือนด้านใน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอบรมสั่งสอนหรือแต่งงานที่เกี่ยวข้องกับความสุขตลอดชีวิตกลับล้วนถูกจัดการโดยแม่เลี้ยง คิดดูแล้วก็ทำให้รู้สึกไม่สบายใจ”
หลี่เชียนฟังนางพูดอย่างเงียบๆ รอให้นางพูดจบ เขาก็นั่งลงบนม้าหินตัวที่ติดกับเจียงเซี่ยน และก้มหน้าลง จับมือของเจียงเซี่ยน มองตาของนางพลางเอ่ยว่า “เป่าหนิง เรื่องนี้เอาไว้ก่อน เจ้าบอกข้ามา เหตุใดเจ้าถึงเศร้า?”
สายตาที่จริงใจของเขาทำให้ใบหน้าที่เพิ่งจะหายร้อนของเจียงเซี่ยนร้อนขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่มีอะไร!” นางไม่กล้ามองตาของเขา จึงเบือนหน้าไปมองไผ่เหมาจู๋แถวนั้นในลาน และเอ่ยว่า “ข้าก็แค่จะอารมณ์เสียเป็นบางครั้ง…แต่ไม่นานก็หายแล้ว!”
หลี่เชียนมองนางอย่างแน่วแน่ มองนางหลบสายตาของเขา เห็นนางอธิบายกับเขาโดยฝืนทำเป็นสบายอกสบายใจ หัวใจของเขาก็เหมือนถูกฉีกขาดเป็นชิ้นๆ และเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด
คนที่เขาใส่ใจมาก ไม่ใช่ว่าไม่เศร้า ทว่าตอนที่เศร้าไม่มีใครปลอบ จึงเรียนรู้ที่จะพันแผลให้ตนเองเอง
“เป่าหนิง!” หลี่เชียนถอนหายใจเบาๆ และรวบนางเข้าสู่อ้อมแขนอีกครั้ง เขาวางคางลงบนศีรษะของนาง และเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “พวกเราเป็นว่าที่สามีภรรยากัน ต่อไปต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ก่อนที่ข้าจะไปเมืองหลวง เจ้าไม่รู้จักข้า ข้าไม่รู้จักเจ้า เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่ข้ามองไม่เห็นมาสิบสามปี ข้าใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่เจ้าไม่รู้จักมาสิบแปดปี หลายวันนี้เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าง ข้าไม่รู้ เกิดอะไรขึ้นกับข้าบ้าง เจ้าก็ไม่รู้เช่นกัน แม้แต่ตอนนี้…เจ้าชอบกินหวานมากกว่าหรือชอบกินเค็มมากกว่า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ดังนั้นหากเจ้ามีเรื่องอะไรรู้สึกไม่สบายใจ เจ้าต้องบอกข้า ข้าถึงจะรู้ และถึงจะรู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร หากข้ามีอะไรรู้สึกไม่สบายใจ ก็จะบอกเจ้าเหมือนกัน ดีหรือไม่?”
เจียงเซี่ยนหน้าร้อนมาก นางดิ้นรนจะกระโดดลงจากอ้อมกอดของหลี่เชียน แต่กลับถูกหลี่เชียนกอดเอาไว้แน่น และเอ่ยต่อว่า “เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มตั้งแต่ตอนนี้เลยดีหรือไม่? เจ้าบอกข้ามาว่าเมื่อครู่ทำไมถึงเศร้า?”
เจ้าคนสารเลวนี่ รู้จักแต่เอาเปรียบนาง!
เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “เจ้ารีบปล่อยข้าลง” เสียงเหมือนหม้อน้ำที่ถูกต้มจนแห้งแล้ว จึงแห้งผากเป็นอย่างมาก
“ทุกครั้งที่ข้าเห็นเจ้าก็อยากกอดเจ้าไว้ในอ้อมแขนเหมือนอย่างตอนนี้” หลี่เชียนหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย พอเสียงที่แฝงความทุ้มต่ำอย่างตอนหนุ่มในชาติก่อนเล็กน้อย เข้าหูเจียงเซี่ยน ใจก็อ่อนแล้ว “อยากค้ำจุนท้องฟ้าทั้งผืนให้เจ้าเหมือนต้นไม้ อยากบังลมบังฝนให้เจ้าเหมือนร่ม อยากให้เจ้าขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของข้าได้ และไม่รู้ว่าความเศร้าโศกเสียใจคือสิ่งใดตลอดไป เป่าหนิง ข้าอยากปกป้องเจ้า ให้เจ้าพูดคุยและหัวเราะอย่างมีความสุขตลอดไป อยากทำอะไรก็ทำ…”
“เจ้าคนสารเลว!” เจียงเซี่ยนทั้งร้อนใจทั้งโกรธ ทว่าพอได้ยินคำพูดของหลี่เชียน น้ำตากลับพรั่งพรูออกมาเอง “พูดเรื่องพวกนี้ทำไม? รีบปล่อยข้าลง!”
หลี่เชียนลังเลอยู่ชั่วครู่
เจียงเซี่ยนดูเหมือนโกรธมาก…แต่ก็ดูเหมือนไม่โกรธ…หรือว่า เขินหรือ?
หลี่เชียนก้มไปดูหน้าของเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนไม่ยอมให้เขาดู
แต่ก็ไม่มีที่หลบ นางจึงไม่สนใจอะไรทั้งนั้นและกอดเอวของเขาเอาไว้แน่น แล้วฝังหน้าลงไปตรงซอกคอของเขา
หางตาของหลี่เชียนมองเห็นหูที่แดงก่ำของเจียงเซี่ยน
เขินแล้ว
หลี่เชียนอดที่จะยิ้มไม่ได้ ทว่าตอนที่พูดกลับไม่กล้าเผยออกมาแม้แต่นิดเดียว กลัวว่าหากทำให้เจียงเซี่ยนโกรธจริงๆ ถึงเวลานั้นนางจะปฏิเสธที่จะเจอเขา…เมื่อก่อนนางก็ชอบทำเรื่องแบบนี้ไม่น้อย และตอนที่นางไม่อยากเจอเขา เขาก็หาโอกาสเจอนางไม่ได้แม้แต่นิดเดียวจริงๆ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” เขาลูบหลังนางเบาๆ และเอ่ยเสียงนุ่มว่า “เมื่อครู่เจ้าไม่คัดค้าน ข้าก็ถือว่าเจ้ารับปากแล้ว พวกเราตกลงกันแล้วนะ มีอะไรก็ต้องบอกอีกฝ่าย ข้ารู้ว่าเจ้าต้องคิดว่าข้ามองเจ้าแวบเดียวก็เดาความคิดเจ้าได้ถูกอย่างแน่นอน ข้าคิดว่าข้าก็ทำได้เช่นกัน แต่เจ้าต้องให้เวลาข้าหน่อย ไว้พวกเราอยู่ด้วยกันแล้ว ตอนที่ข้าเริ่มรู้นิสัยของเจ้า รู้ว่าเจ้าชอบอะไรเกลียดอะไร ข้าก็เดาเรื่องในใจของเจ้าได้ถูกแล้ว ทว่าตอนนี้…เจ้าต้องเล่าให้ข้าฟัง บอกข้ามาว่า เมื่อครู่ทำไมถึงอารมณ์เสียหรือ?”
เจียงเซี่ยนพูดไม่ออก
เมื่อก่อนนางก็รู้สึกว่าหลี่เชียนอายุไม่มาก แต่กลับเฉลียวฉลาดและเชี่ยวชาญกว่าพวกผู้อาวุโสที่ทำงานมานานเสียอีก เรื่องที่เขายืนหยัด สุดท้ายก็จะพิสูจน์ว่าเขาเป็นฝ่ายถูก
เวลานี้พอเป็นแบบนี้ นางจึงรู้สึกว่าตนเองเอะอะโวยวายอย่างไร้เหตุผลไปหน่อย
หลี่เชียนก็ปลอบนางอย่างอดทนตลอด จนกระทั่งนางเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “พอเจอหน้าเจ้าก็กอดข้าทันที เป็นเพราะข้า…ข้า…ข้าเป็นฝ่ายแต่งงานกับเจ้าหรือเปล่า?”
ที่แท้เป็นเพราะเรื่องนี้!
“เหลวไหล!” หลี่เชียนแสร้งทำเป็นตวาดเสียงเบาอย่างไม่พอใจว่า “แม้แต่จินเซียวก็รู้ว่าข้าเป็นคนคิดหาทางลักพาตัวเจ้ากลับมา ตระกูลของพวกเจ้าจึงจำใจให้เจ้าแต่งงานกับข้า เพราะคำนึงถึงชื่อเสียงของเจ้า ไม่อย่างนั้นทำไมท่านพี่อาลวี่ถึงกลั่นแกล้งข้าทุกครั้งที่เจอหน้าล่ะ? เจ้าไม่ได้ยินที่คนอื่นพูดอย่างนั้นหรือ? บอกว่าตอนนี้เจ้าเป็นหญิงงามที่แต่งงานกับสามีที่ต่ำทราม ช่างน่าเสียดาย!” เขาพูดอยู่ น้ำเสียงก็เปลี่ยนไป โดยเอ่ยอย่างภาคภูมิใจมากว่า “แต่ส่วนใหญ่ก็อิจฉาข้า คิดว่าคนอย่างข้าได้เป็นลูกเขยของจวนเจิ้นกั๋วกง ก็แทบจะเป็นขุนนางระดับสูงแล้ว แม้แต่ท่านพ่อก็พูดแบบนี้…”
“ไปให้พ้น!” เจียงเซี่ยนเปลี่ยนจากร้องไห้เป็นหัวเราะทันที และในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมกอดของหลี่เชียน นางผลักหลี่เชียน พลางเอ่ยว่า “เจ้าก็รู้จักปลอบข้านี่!”
หลี่เชียนโล่งอก