มู่หนานจือ - บทที่ 25 เสาะหา
ไทฮองไทเฮาเห็นเจียงเซี่ยนกับหวังจ้านออกไปเที่ยวครู่หนึ่ง พอกลับมาจู่ๆ ก็ไข้ขึ้น ก็ตกใจจนอกสั่นขวัญหายและรีบให้คนเรียกหมอหลวงเถียนของสำนักหมอหลวงเข้าวัง พลางบิดหูหวังจ้านและตำหนิเขา “เจ้าพาน้องสาวเจ้าไปเที่ยวที่ไหนมากันแน่? ทำไมนางถึงตกใจและยังไม่หายตกใจจนกลายเป็นแบบนี้?”
หวังจ้านไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ ยิ่งเพราะรับปากเจียงเซี่ยนไว้ จึงไม่มีทางบอกไทฮองไทเฮาว่าเจียงเซี่ยนสนใจนางในคนหนึ่งของฝ่ายซักล้าง ทำได้เพียงพยายามขอความเมตตาจากไทฮองไทเฮาอย่างนอบน้อม “กระหม่อมแค่เดินเล่นในอุทยานหลวงกับน้อง ไม่ได้ไปไหนทั้งนั้นพ่ะย่ะค่ะ!” แล้วก็คิดว่าเรื่องของเซียวหรงเหนียงน่าสงสัย เขาคิดว่าเจียงเซี่ยนต้องมีเรื่องปิดบังเขาอยู่แน่ๆ และเรื่องนี้ยังใหญ่มากด้วย เขาเป็นห่วงเจียงเซี่ยน จึงรีบถามไทฮองไทเฮา “หมอหลวงเถียนว่าอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ? น้องแค่ตกใจเท่านั้นจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ไทฮองไทเฮาพยักหน้า และเอ่ยอย่างกังวลมากว่า “เด็กคนนี้ ตอนเกิดพระเต้าเหยี่ยนบอกข้าว่าเด็กคนนี้ชะตาชีวิตไม่ดี มีภัยและโรคมากมาย ต้องเจอชนชั้นสูง อาศัยความสูงศักดิ์ของคนอื่น ให้ข้าตั้งใจเลี้ยงดูอย่างดี ตอนนั้นข้าคิดว่า หากจะว่ากันเรื่องความสูงศักดิ์แล้ว คนที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้านี้ไม่มีใครเทียบฝ่าบาทได้ มีบารมีฮ่องเต้ของฝ่าบาทอยู่ข้างกาย ภัยร้ายมากมายก็ไม่กล้ำกราย ปีศาจร้ายและมารร้ายก็หลีกหนี ดังนั้นข้าถึงอุ้มเป่าหนิงมาเลี้ยงดูในวัง สิบกว่าปีมานี้ ถึงแม้นางจะป่วยหนักป่วยเล็กน้อยตลอด แต่พอเกินสิบขวบแล้ว กำลังวังชาก็ดีอย่างน่าประหลาด ร่างกายก็ไม่อ่อนแอเท่าเมื่อก่อนแล้วเช่นกัน จะเห็นได้ว่าพระเต้าเหยี่ยนก็ยังพูดจาสมเหตุสมผล” ผู้อาวุโสเอ่ยถึงตรงนี้ ใบหน้าก็ฉายแววลังเล และเอ่ยกับหวังจ้านเสียงเบาว่า “อาจ้าน กลับไปบอกพ่อเจ้า ให้เขาแอบเชิญพระเต้าเหยี่ยนเข้าวังมาให้ข้า ข้าอยากทำนายดวงชะตาให้น้องเจ้าอีกครั้ง…”
พระเต้าเหยี่ยนผู้นี้ว่ากันว่าเป็นพระลัทธิเต๋าที่เป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์ จำวัดอยู่ที่อารามเมฆขาวในเมืองหลวง ทำนายดวงชะตาและรักษาโรคเก่งมาก และชนชั้นสูงมากมายในเมืองหลวงต่างก็ศรัทธาเขามาก
ทว่าในวังห้ามพวกเรื่องเทพเจ้าและภูตผีปีศาจ
หวังจ้านไม่รู้จะพูดอะไรดี
ไทฮองไทเฮาก็เอ่ยว่า “นี่ข้าก็ไม่มีทางเลือกแล้วเหมือนกันไม่ใช่หรือ? เจ้าแค่ไปบอกพ่อเจ้าก็พอ ว่านี่เป็นความต้องการของข้า” เอ่ยถึงตรงนี้ เหมือนจู่ๆ นางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงสั่งหวังจ้านอีก “ช่างเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องบอกพ่อเจ้าแล้ว…แม่ของเจ้าก็ไม่ต้องบอกเหมือนกัน ไม่ต้องบอกใครทั้งนั้นแล้วกัน ไว้ผ่านวันเกิดของคนแซ่เฉาไปแล้ว…หลายวันนี้ทุกคนต่างก็กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องนี้…”
นางอยากพูดทว่าก็หยุดพูดไปอีกครั้ง
หวังจ้านคิดว่าท่านยายยังตัดสินใจไม่ได้ แล้วก็กลัวเหมือนกันว่าถึงเวลานั้นบิดาจะพาพระเต้าเหยี่ยนเข้าวังมาเข้าทรงอะไรจริงๆ เขาจึงอ้างว่าจะไปเยี่ยมไข้เจียงเซี่ยน และวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
เจียงเซี่ยนกินยาแล้ว ถึงแม้เจ้าตัวจะทำหน้าหงุดหงิด แต่อย่างไรก็ไม่มีไข้แล้ว นางนั่งดื่มน้ำอุ่นที่ผสมเกลือเล็กน้อยอยู่บนเตียง โดยมีไป๋ซู่คอยอยู่เป็นเพื่อน นางคุยกับหวังจ้านผ่านม่านอยู่ ไป่เจี๋ยก็เข้ามาบอกนางว่าฮูหยินเจิ้นกั๋วกงแซ่ฝางส่งสาส์นเข้ามา บอกว่านัดดูตัวให้เจียงลวี่แล้ว อยากเชิญเจียงเซี่ยนกลับไปดูที่จวน แถมยังบอกว่า ‘เจียหนานเป็นน้องสาวของสามี สะใภ้ใหม่ก็ต้องให้เจียหนานชอบด้วย’ ต้องให้เจียงเซี่ยนได้เห็นสักครั้งให้ได้
ไป๋ซู่อยากหัวเราะ
นางนึกไม่ถึงว่าฮูหยินเจิ้นกั๋วกงจะคิดอุบายแบบนี้
หวังจ้านได้ยินแล้วกลับทำหน้าแปลกๆ เล็กน้อย และเอ่ยว่า “เป็นไปไม่ได้กระมัง? อาลวี่แต่งงานก็ต้องให้เจ้าเห็นด้วย…เจ้าไม่ได้อยู่ที่จวนเจิ้นกั๋วกงเสียหน่อย ทำไมต้องก้าวก่ายเรื่องของอาลวี่ด้วย?”
เจียงเซี่ยนลอบถอนหายใจในใจ
ชาติก่อนนางเป็นฮองเฮาแล้วพี่ชายใหญ่ถึงได้หมั้นและแต่งงานกับคนที่ตัวเขาถูกใจ อู๋จ้าวลูกสาวเพียงคนเดียวของอู๋ฝู่เฉิงอาลักษณ์ที่ไม่เป็นที่รู้จักนักในเมืองหลวง ทว่าแม้พี่สะใภ้ของนางคนนี้จะเป็นบุตรสาวของตระกูลอาลักษณ์ แต่กลับหน้าตาสะสวยสะดุดตา แม้จะรู้หนังสือเล็กน้อย ทว่ากลับควบคุมเรื่องอาหารการกินในจวนได้เป็นอย่างดี ตั้งแต่อู๋จ้าวแต่งเข้าตระกูลเจียงมา งานมากมายของตระกูลเจียงก็มอบไว้ในมือของอู๋จ้าว ทรัพย์สินในบ้านก็เพิ่มมาเท่าตัว ไม่เพียงเท่านี้ อู๋จ้าวยังมีลูกง่าย แต่งงานกับพี่ชายใหญ่เจ็ดปีก็มีลูกชายสี่คนแล้ว ตอนที่เจียงเซี่ยนถูกวางยาพิษนั้น อู๋จ้าวกำลังตั้งท้องลูกคนที่ห้า ก็เพราะเหตุนี้ ไม่รู้ว่าป้าสะใภ้ใหญ่ของนางชอบลูกสะใภ้คนนี้ขนาดไหน ไม่ว่าเรื่องอะไรในจวนเจิ้นกั๋วกงก็ล้วนให้อู๋จ้าวเป็นคนตัดสินใจ
เจียงเซี่ยนใส่ใจเหล่าหลานชายของตนเองมาก อาจจะเป็นเพราะ ‘ฮ่องเต้รักลูกชายคนโต สามัญชนรักลูกชายคนเล็ก’ ลูกชายคนโตของอู๋จ้าวถูกเจียงเจิ้นหยวนอุ้มไปเลี้ยงดูข้างกาย เจียงเซี่ยนก็อุ้มเจียงเหมยลูกชายคนรองของพวกเขามาเลี้ยงดูข้างกายตนเอง ด้วยเหตุนี้ เฉาเซวียนจึงมักจะเรียกเจียงเหมยเล่นๆ ว่า ‘น้าชายน้อย’ เจียงเซี่ยนยังคิดจะรอให้เจียงเหมยโตหน่อยและให้เรียนหนังสือเป็นเพื่อนจ้าวสี่ เวลานี้ดูเหมือนยังดีที่นางถูกวางยาพิษแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของจ้าวสี่ เขาอาจจะทำร้ายเจียงเหมยก็ได้
พอคิดถึงตรงนี้ เจียงเซี่ยนก็กังวลอยู่พักหนึ่ง
นางตายแล้ว พี่ชายใหญ่ไม่มีทางปล่อยจ้าวสี่ไปแน่
ปลงพระชนม์เป็นประการแรกของกฎว่าด้วยความชั่วสิบประการ
ต่อให้ตอนหลังตระกูลเจียงวางแผนทรยศและเป็นฮ่องเต้ หนังสือประวัติศาสตร์ก็จะยังคงจารึกชื่อเสียงที่ไม่ดีเอาไว้อยู่ดี
ยิ่งกว่านั้นยังมีหลี่เชียนที่ประสงค์ร้ายและรอโอกาสแย่งชิงอยู่ข้างๆ หากตระกูลเจียงอยากเป็นฮ่องเต้ เกรงว่าก็ไม่ง่ายเช่นกัน…แต่ตระกูลเจียงไม่ทรยศ มีไทเฮาอย่างนางว่าราชการหลังม่าน แม่ทัพคนไหนก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายทั้งนั้น
เด็กพวกนั้นจะทำอย่างไร?
เจียงเซี่ยนสีหน้าเริ่มซีดอีกครั้ง
หวังจ้านไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงเอ่ยเสียงเบามากว่า “เจ้าไม่อยากกลับจวนเจิ้นกั๋วกงหรือ?”
“ไม่ใช่” เจียงเซี่ยนรีบปฏิเสธ และไม่รู้จะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ
เดิมทีนางคิดว่าท่านลุงลงมือต้องสำเร็จอย่างแน่นอน จึงคิดแต่อยากเจอท่านลุงให้เร็วที่สุดเท่านั้น และคุยกับท่านลุงเรื่องเฉาไทเฮา ทว่าเวลานี้หลังจากนางเจอเซียวหรงเหนียงแล้วก็เริ่มสงสัยตนเอง ตัดสินใจไม่ได้ และกลัวที่จะเจอท่านลุงแล้ว
สีหน้าของหวังจ้านกับไป๋ซู่เต็มไปด้วยความงุนงง
เจียงเซี่ยนจึงจำเป็นต้องเอ่ยว่า “พวกเจ้าดูสภาพของข้าสิ ไทฮองไทเฮาจะอนุญาตให้ข้าออกจากวังหรือ? มีแต่ต้องรอให้ข้าดีขึ้นหน่อยแล้วค่อยว่ากัน”
หวังจ้านกับไป๋ซู่ถึงเลิกกังวล
ไทฮองไทเฮาก็คิดแบบนี้เช่นกัน จึงส่งหลิวเสี่ยวหม่านไปตอบที่จวนเจิ้นกั๋วกงว่า “หลายวันนี้เป่าหนิงไม่ค่อยสบาย อีกสองสามวันนางหายแล้วก็จะได้ให้นางกลับไปพักหลายๆ วันพอดี ทำให้จิตใจผ่อนคลาย เก็บตัวอยู่ในวังตลอด ของที่อร่อยแค่ไหนก็กินจนเบื่อได้ ทิวทัศน์ที่สวยแค่ไหนก็มองแล้วเบื่อได้เช่นกัน”
แน่นอนว่าจวนเจิ้นกั๋วกงก็ไม่กล้าเร่ง และตอบรับอย่างว่าง่าย
หลี่เชียนได้ข่าวแล้วกลับยันข้อศอกกับเซี่ยหยวนซีผู้ช่วยของตนเอง และเอ่ยว่า “ไปฝ่ายซักล้างเที่ยวเดียวก็ป่วยแล้ว? แถมยังเอาเสื้อคลุมนกยูงไหมทองไปปะชุนด้วย…ว่ากันว่าตอนท่านหญิงเจียหนานเด็กๆ สามารถปีนขึ้นโต๊ะทรงงานและหยิบตราประทับของฝ่าบาทมาประทับตรามั่วซั่วได้ ฮ่องเต้องค์ก่อนกับไทฮองไทเฮาเห็นแล้วยังชมว่านางเฉลียวฉลาด แล้วนางยังจะกลัวที่จะทำลายเสื้อคลุมนกยูงไหมทองตัวหนึ่งงั้นหรือ? ทว่าหากว่านางอยากผูกมิตรกับขันทีของฝ่ายซักล้าง นั่นก็ยิ่งไม่สมเหตุสมผลเลย…หากเกิดเรื่องกับหวังจ้าน นางก็ไม่ควรแต่งตัวเป็นขันทีที่ไร้ระดับเช่นกันถึงจะถูก? นอกจากหลิวชิงหมิงแล้ว วันนั้นนางเจอนางในแค่สองคน คนหนึ่งชื่อเฉินซิ่วกู อีกคนชื่อเซียวหรงเหนียง เซียวหรงเนียงเป็นลูกศิษย์ของเฉินซิ่วกู สองคนนี้ยังเคยเย็บปะเสื้อให้คนแซ่ฟางแม่นมของฝ่าบาทด้วย…ในนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกันนะ?”
เขาเคาะโต๊ะอุ่นเบา “ให้ท่านหญิงคนหนึ่งแอบออกจากวัง เดิมทีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว พวกเราต้องคิดหาทางหาความเชื่อมโยงกันในนั้นให้เจอให้ได้!”
เซี่ยหยวนซีเอ่ยอย่างลังเลว่า “เรื่องนี้ดูอย่างไรก็เกี่ยวข้องกับฝ่าบาท…”
เขาเป็นชายที่อายุไล่เลี่ยกับหวังไหวอิ๋น หน้าขาวไร้หนวดเครา สายตาใสแจ๋ว ท่าทางงดงามและมีมารยาท ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกชอบได้ง่ายมาก
เดิมเขาเป็นบัณฑิตอยู่ที่เมืองฝู โจรสลัดญี่ปุ่นขึ้นฝั่งมาปล้นฆ่า ครอบครัวของเขาถูกฆ่ายกครัว เขาจึงทิ้งพู่กันและไปร่วมกองทัพด้วยความโกรธชั่วขณะ เขาอาสาไปทำงานที่จวนจิ้งไห่โหวด้วยตนเอง แต่ใครจะรู้ว่าจิ้งไห่โหวมีคนที่มีความสามารถรอบด้าน และไม่จำเป็นต้องใช้เขาด้วยซ้ำ ทว่าหลี่เชียนที่ไม่อยากให้หวังไหวอิ๋นใช้ท่านฝูอวี้เป็นธงอาญาสิทธิ์[1]ข่มเขาตลอดกลับถูกใจ พอคุยกันอย่างลึกซึ้งหลายรอบ เขาก็ทำงานติดตามอยู่หลังหลี่เชียน
————————————
[1] ธงอาญาสิทธิ์ ธงขนาดเล็กที่ใช้ถ่ายทอดคำสั่งในกองทัพ ซึ่งบนเสาจะสวมหัวลูกธนูไว้ด้วย ทำให้รูปร่างเหมือนลูกธนู