มู่หนานจือ - บทที่ 270 แต่งเข้า
จงเทียนอวี่ที่คอยจับตาดูเกาเมี่ยวหวากับหลี่หลินตลอดก็เดินช้าลงเช่นกัน แล้วก็ได้ยินเกาเมี่ยวหวาหยอกหลี่หลินเล่นว่า “น้องชายเจ้าแต่งงานแล้ว เจ้ายังโสดอยู่ ก็ต้องรีบหน่อยหรือไม่ ระวังลูกของหลี่เชียนจะเป็นลูกชายคนโตกับหลานชายคนโตของตระกูลหลี่”
หลี่หลินไม่ค่อยสนใจนัก และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เดิมทีพวกเราสองคนก็เป็นคนละครอบครัวกันอยู่แล้ว ไม่มีอะไรเทียบกันได้นี่นา!”
ทั้งสองคนยิ้มอย่างเงียบๆ
บิดาของหลี่ฉางชิงไม่มีอสังหาริมทรัพย์ ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตหลี่ฉางชิงก็ออกมาจากตระกูลแล้ว ไม่ได้คิดเรื่องแบ่งหรือไม่แบ่งสมบัติด้วยซ้ำ สายของหลี่หลินเป็นสายตรงและสายลูกชายคนโตที่รับหน้าที่ได้โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกละอายใจ เขาเป็นลูกชายคนโตกับหลานชายคนโตที่ไม่มีความคิดเห็นแย้ง แต่หากทุกคนในสังคมคำนึงถึงแต่เรื่องนี้ เช่นนั้นคงจะมีแต่ความขัดแย้ง ถึงแม้หลี่ฉางชิงจะเป็นสายลูกชายคนรอง ทว่าเวลานี้เขาใช้ชีวิตได้ดีที่สุดในตระกูลหลี่ ทุกคนต่างก็ขอร้องเขา เขากลายเป็นเสาหลักของตระกูลหลี่แล้ว ลูกชายคนโตกับหลานชายคนโตอย่างหลี่หลินก็ไม่มีความหมายอะไรแล้วเช่นกัน
จงเทียนอวี่ครุ่นคิด พลางหาจงเทียนอี้พี่ชายของตนเองเจอแล้ว
จงเทียนอี้กำลังฟังหลี่เชียนกับหลี่หนิงคุยกัน
เขาดึงแขนเสื้อของพี่ชาย
จงเทียนอี้หันกลับมา และเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “มีอะไรหรือ?”
หลี่เชียนกับหลี่หนิงที่คุยกันหันกลับมามองเขา ทำให้สิ่งที่เขาจะพูดติดอยู่ในลำคอ เขาจึงจำเป็นต้องไอเบาๆ ครั้งหนึ่ง และเอ่ยว่า “ท่านพี่ ตอนนี้ข้าไม่หิว จึงไม่ไปกินอาหารมื้อดึกแล้ว ข้ากลับห้องก่อนแล้วกัน!”
หากเจียงเซี่ยนอยู่ที่นี่ อาจจะสนใจจงเทียนอวี่เล็กน้อย ทว่าจงเทียนอวี่ในเวลานี้เป็นเพียงน้องชายตัวน้อยที่ติดตามอยู่หลังพี่ใหญ่ ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง ซื่อๆ และพูดน้อยเท่านั้น จึงไม่มีใครจะสนใจเขามากนัก
จงเทียนอี้สั่งเพียงแค่ว่า “เช่นนั้นเจ้ากลับไปก่อนเถอะ ถ้าหิวก็ขอของกินจากคนรับใช้ในห้อง” แล้วก็ไม่สนใจเขาอีกแล้ว แต่ด้วยนิสัยของหลี่เชียน จึงกำชับเขาอยู่พักหนึ่ง ถึงจะปล่อยเขาไป
คนทั้งกลุ่มไปที่เรือนตะวันออก
ความคึกคักและเสียงดังเอะอะโวยวายมาปะทะหน้า คนกลุ่มหนึ่งบ้างก็ยืนคุยอยู่ด้วยกัน บ้างก็วิพากษ์วิจารณ์งานแต่งงานในครั้งนี้ บ้างก็หยอกเล่นกัน
เทียบกันแล้ว เรือนตะวันตกแลดูสงบเกินไปหน่อย
พ่อบ้านที่ต้อนรับแขกวิ่งมาทันที และจัดสถานที่ให้พวกเขา แล้วแนะนำอาหารรสเลิศ และนำน้ำชา ของว่าง กับผลไม้มาให้เสียวุ่นวาย
หลี่เชียนยิ้มพลางต้อนรับญาติและเพื่อน ทว่าในใจกลับคิดถึงเจียงเซี่ยน
ในวังให้ความสำคัญกับกฎระเบียบ จนไม่มีแม้แต่คนที่พูดเสียงดังสักคน และเงียบเหงา แต่ตระกูลหลี่กลับตรงกันข้าม พวกเขาชอบเพื่อนฝูง และยิ่งชอบต้อนรับจัดเลี้ยงในจวนเพื่อแสดงความจริงใจ…ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากเจียงเซี่ยนแต่งเข้ามาแล้วจะปรับตัวได้หรือไม่?
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับไม่ได้กังวลมากขนาดนั้น
บางทีอาจจะเป็นเพราะชาติก่อนต้องพูดให้ชัดเจนทุกเรื่อง แต่สุดท้ายกลับถูกจ้าวสี่วางยาพิษอย่างคลุมเครือ นางจึงกลับรู้สึกว่าเทียบกับความสุขแล้วความจริงก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
นางเพียงแค่กังวลเล็กน้อยว่าพรุ่งนี้ญาติกับมิตรสหายของตระกูลหลี่จะหยอกล้อในห้องหอหรือไม่
ฮูหยินฝางเคยเตือนนางเกี่ยวกับเรื่องนี้
ครอบครัวของคนธรรมดาให้ความสำคัญกับการที่ญาติกับเพื่อนจะหยอกล้อในห้องหอโดยไม่แบ่งลำดับอาวุโสและไม่ถือสาเรื่องมารยาทภายในสามวันหลังจากแต่งงาน เพื่อแสดงความร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่เหมือนครอบครัวของขุนนางในเมืองหลวง ที่กลับรักษาธรรมเนียมของราชวงศ์โจวโดยวางตัวเรียบร้อยและเคร่งขรึมมากกว่า ญาติกับเพื่อนจะไม่เพียงแต่ไม่หยอกล้อในห้องหอ แม้แต่ตอนที่รับตัวเจ้าสาว ก็จะใช้การตีเครื่องดนตรีช่วยมากกว่า และใช้ประทัดไม่มากนัก
ทว่าฐานะของนางอยู่ตรงนั้น ต่อให้คนของตระกูลหลี่จะหยอกล้อแค่ไหน ก็คงจะลดระดับความกำเริบเสิบสานลงบ้างกระมัง?
เจียงเซี่ยนนอนไม่หลับ จึงเรียกพี่น้องสกุลฉีมาถามว่าตอนที่คนอื่นแต่งงานนั้นเหตุการณ์เป็นอย่างไร และอยากรู้ด้วยว่าพรุ่งนี้พวกนางสองคนจะอยู่ทางนี้กับฮูหยินฉีและกลับต้าถงหลังจากงานแต่งงานของนางจบ หรือว่าอยากไปดูความคึกคักที่ตระกูลหลี่
“แน่นอนว่าต้องไปดูความคึกคักอยู่แล้ว!” พี่น้องสกุลฉีเอ่ยอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว ในรอยยิ้มเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ “พวกเราตกลงกับหัวหน้าพ่อบ้านหลี่แล้ว ถึงเวลานั้นหัวหน้าพ่อบ้านหลี่จะส่งคนมารับพวกเราพี่น้องไปชมพิธีที่ตระกูลหลี่ในนามญาติของตระกูลหลี่ ไว้ท่านเข้าห้องหอแล้วพวกเราสองพี่น้องก็กลับมา และจะกลับต้าถงพร้อมท่านแม่”
ตระกูลเจียงอยู่ที่เมืองหลวง ต่อให้กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านฝ่ายหญิงสามเดือนก็เป็นไปไม่ค่อยได้อยู่ดี
ดังนั้นตระกูลหลี่กับตระกูลเจียงจึงตกลงกันว่าจะกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านฝ่ายหญิงสามวัน โดยบ้านที่พวกเขาพักชั่วคราวในเวลานี้จะกลายเป็นจุดที่กลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านของฝ่ายหญิงของเจียงเซี่ยน เจียงลวี่กับเจียงหานก็จะไปจากไท่หยวนหลังจากเจียงเซี่ยนกลับมาเยี่ยมญาติที่บ้านของตนเองเช่นกัน
หลังจากนี้ไปเจียงเซี่ยนก็ถือว่าเป็นคนของตระกูลหลี่อย่างเป็นทางการ และลงหลักปักฐานที่ซานซีแล้ว
เจียงเซี่ยนคิดว่าพวกนางเป็นสตรี จัดการยาก จึงสั่งหลิวตงเยว่ว่าถึงเวลานั้นให้ติดตามพี่น้องสกุลฉี
พี่น้องสกุลฉีส่ายหน้าติดกันหลายครั้ง และเอ่ยพร้อมกันว่า “ท่านหญิงไม่ต้องสนใจเรื่องของพวกเราแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันมงคลของท่าน ท่านสนใจแค่คำนับฟ้าดินและบิดามารดากับแม่ทัพหลี่ก็พอ หัวหน้าพ่อบ้านหลี่จะดูแลพวกเราอย่างดี”
เจียงเซี่ยนยืนกรานที่จะให้หลิวตงเยว่ติดตามพวกนาง “วันนั้นคนเยอะมาก มีคนติดตามอยู่ข้างกายสักคนจะวางใจกว่า”
ทั้งสองคนปฏิเสธไม่ได้ จึงจำเป็นต้องตกลง
เจียงเซี่ยนถึงจะไปนอนอย่างสบายใจ
เพราะงานแต่งงานกำหนดไว้ที่ยามซวีตอนกลางคืน นางจึงนอนถึงกลางยามซื่อ[1]ถึงจะตื่น
อาบน้ำ สวมชุดแต่งงาน หวีผม…ดำเนินขั้นตอนทั้งหมดใหม่อีกครั้ง
พอลองคิดดูดีๆ นี่เป็นครั้งที่สามที่นางเตรียมตัวแต่งงาน
นางอดที่จะเม้มปากยิ้มไม่ได้
ตอนเที่ยงกินอย่างลวกๆ ไปเล็กน้อย และตรวจนับของที่พกติดตัว พวกไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อที่แต่งเข้าตระกูลหลี่เป็นเพื่อนนางก็เตรียมตัวเสร็จแล้วเช่นกัน เกี้ยวเจ้าสาวของตระกูลหลี่ก็มาแล้ว
ครั้งนี้เจียงลวี่ยังคงเป็นคนแบกนางขึ้นเกี้ยวเช่นเดิม เพียงแต่หลังจากขึ้นเกี้ยวแล้ว ฮูหยินหลี่ก็ยัดผิงกั่วลูกหนึ่งกับคนโทอันหนึ่งให้นาง ให้นางกอดไว้ในอ้อมแขน จนเกี้ยวลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย และก้าวเข้าประตูใหญ่ของตระกูลหลี่แล้วถึงจะวางลงได้
เจียงเซี่ยนทำตามคำบอกกล่าว
ไม่นานเกี้ยวเจ้าสาวก็หยุดลงหน้าบ้านตระกูลหลี่ มีคนพยุงเจียงเซี่ยนลงจากเกี้ยว
ท่ามกลางเสียงดังเอะอะโวยวาย นางคำนับฟ้าดิน และเข้าไปในห้องหอ
รอบด้านเงียบสงบลง
แล้วเจียงเซี่ยนก็ได้ยินเสียงที่ร้อนใจมากปนหัวเราะของฮูหยินหลี่ “แม่ทัพหลี่ ตอนนี้ยังเปิดผ้าคลุมหน้าไม่ได้ ต้องนั่งบนเตียงและปล่อยม่านแล้วถึงจะเปิดผ้าคลุมหน้าได้”
นางไม่ได้ยินคำตอบของหลี่เชียน แต่กลับได้ยินคนหัวเราะเล็กน้อยในห้อง
เจียงเซี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาใต้ผ้าคลุมหน้าเช่นกัน
นางถูกคนพามานั่งลงบนเตียง ฮูหยินหลี่เอ่ยคำพูดที่เป็นสิริมงคลเล็กน้อย แล้วสวดว่า “ถั่วลิสงหนึ่งกำพุทราหนึ่งกำ ตัวใหญ่วิ่งตามตัวเล็ก มีลูกหลานมากมาย มั่งคั่งและมีอำนาจมาก เป็นสิริมงคล สมปรารถนา รักกันจนแก่เฒ่า…”
มีของแข็งตกลงกลางฝ่ามือของเจียงเซี่ยน นางเดาว่าไม่พุทราแดงก็ถั่วลิสง
กว่าจะรอให้ฮูหยินหลี่สวดจนจบได้ก็ไม่ง่ายเลย ฮูหยินหลี่มอบตาชั่งแบบแขวนอันใหม่ที่ห่อด้วยกระดาษสีแดงให้
หลี่เชียนเลิกผ้าคลุมหน้าของเจียงเซี่ยนขึ้นโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ
เจียงเซี่ยนที่อยู่ใต้ผ้าคลุมหน้า แตกต่างไปจากปกติเล็กน้อย
ดวงตาสดใสขึ้น สีหน้าอ่อนโยนขึ้น หน้าตาชัดเจนขึ้น สวมมงกุฎหงส์ คลุมผ้าคลุมไหล่ งดงามมากและดึงดูดสายตาคน ล้ำค่ามาก
หัวใจของหลี่เชียนเต้นผิดจังหวะ รู้สึกเพียงว่ากระหายน้ำมาก คำพูดล้อเล่นที่เดิมทีเตรียมไว้พร้อมแล้วตอนนี้กลับพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
เจียงเซี่ยนเพิ่งเคยเห็นหลี่เชียนสวมเสื้อผ้าสีแดงเข้มเป็นครั้งแรก
เสื้อผ้าสีแดงไม่เพียงแต่ขับให้ผิวของเขาขาวมากกว่าปกติ ทว่ายังทำให้รอยยิ้มของเขาแลดูสดใสขึ้นด้วย ฟันขาวทั้งปากเจิดจ้าจนคนมองตาพร่า
หลี่เชียนมองเจียงเซี่ยนพลางหัวเราะ ความสุขหลั่งออกมาจากในดวงตาของเขา ทำให้คนไม่อาจมองข้ามได้
เจียงเซี่ยนเบือนหน้าไปอื่น
แต่กลับอดที่จะยิ้มมุมปากไม่ได้
ฮูหยินหลี่เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะป้องปากยิ้มเช่นกัน และเตือนหลี่เชียน “รีบดื่มเหล้าเถอะ!”
หลี่เชียนเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เขารีบสูดหายใจลึก ตั้งสติ และยิ้มพลางรับน้ำเต้าอันเล็กที่ฮูหยินหลี่ยื่นมาให้
———————————–
[1] ยามซื่อ = ช่วงเวลา 09.00-10.59 น. ดังนั้นกลางยามซื่อ = 10.00 น.