มู่หนานจือ - บทที่ 276 ครั้งแรก
“ไม่ต้อง!” เจียงเซี่ยนลุกขึ้นห้ามเขา “มีแสง”
เมื่อก่อนนางนอนบนเตียงไม้สีทองที่กว้างใหญ่คนเดียว บางครั้งจะรู้สึกกลัว จึงจำเป็นต้องจุดโคมไฟ
เวลานี้มีคนอยู่ข้างกายคนหนึ่ง จะจุดโคมไฟหรือไม่ก็แลดูไม่สำคัญขนาดนั้นแล้ว
แต่หลี่เชียนกลับฉวยโอกาสจับมือของนาง และหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยว่า “ดูเหมือนพวกเรายังต้องปรับตัวเข้าหากันจริงๆ”
เขานอนไม่ชอบจุดโคมไฟ
เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้ม
นี่ถือว่ารู้จักกันง่ายเข้ากันได้ยากหรือไม่?
นางอยากดึงมือกลับไป
แต่หลี่เชียนกลับจับมือของนางแน่นขึ้น
เจียงเซี่ยนดึงสองสามครั้งก็ไม่ได้ดังใจ จึงจำต้องตามใจเขา
ทว่าเขากลับใช้นิ้วหัวแม่มือลูบกลางฝ่ามือของนางอย่างแผ่วเบา เหมือนอยากจะจดจำริ้วรอยทั้งหมดบนฝ่ามือของนางให้แม่น ทำให้นางหน้าร้อนผะผ่าว แต่ในใจก็กลับเหมือนมีขนนกปัดผ่านไป และจั๊กจี้
“หยุดได้แล้ว!” เจียงเซี่ยนอยากดึงมือออกมาอีกครั้ง
หลี่เชียนไม่เชื่อฟัง และออกแรงดึงนาง จนเกือบจะดึงนางเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
เจียงเซี่ยนจ้องเขาตาโต
หลี่เชียนยิ้มอย่างรู้สึกผิด ทว่าไม่ปล่อยมือ
เจียงเซี่ยนก็นึกถึงความหน้าด้านของคนๆ นี้ในชาติก่อน
ก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ไม่ว่านางจะเยาะเย้ยและเสียดสีอย่างไร ดูถูกและเมินเฉยอย่างไร เขาก็จะทำอย่างที่เคยทำมาตลอด จนนางหมดอารมณ์
เดิมทีเขาเป็นขุนนางใหญ่ที่ปกครองมณฑลต่างๆ ผ่านอะไรมามากมาย จนทำได้ทุกอย่าง จึงไม่อาจตำหนิได้มากนักเช่นกัน
ทว่าเวลานี้เขาเป็นเพียงคนหนุ่มที่ไม่เคยผ่านความลำบาก แต่กลับทิ้งศักดิ์ศรีไว้ข้างๆ และไม่สนใจไยดีเหมือนกัน…ที่แท้เขาก็เป็นคนนิสัยไม่ดีมาตั้งแต่เด็ก…
เจียงเซี่ยนฝังหน้าลงไปในหมอนที่อ่อนนุ่ม และอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
โดยปกติความรู้สึกที่มีความสุขล้วนสามารถส่งผลต่อบรรยากาศโดยรอบได้
หลี่เชียนรู้สึกได้ว่าเจียงเซี่ยนอารมณ์ดี
เขาจึงหัวเราะตามไปด้วย และใช้มือดันไหล่ของนาง “อย่าเพิ่งนอนแบบนี้ ระวังจะขาดใจตาย”
เจียงเซี่ยนยิ้มและถูบนหมอน แล้วเผยใบหน้าออกมา
ใบหน้าแดงก่ำ นัยน์ตาสดใสชุ่มชื้น สีหน้าสงบนิ่ง ทำให้หลี่เชียนใจสั่น
มือของเขาอดไม่ได้ที่จะลูบใบหน้าของเจียงเซี่ยนเบาๆ
หัวใจของเจียงเซี่ยนเต้นผิดไปครึ่งจังหวะทันที นางฝังหน้าเข้าไปในหมอนใหม่อีกครั้งอย่างลุกลี้ลุกลน และเอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “ข้าจะนอนแล้ว” แล้วก็เอาผ้าห่มคลุมศีรษะตามใจ ไม่สนใจหลี่เชียนอีก
หลี่เชียนถูนิ้วมือ
หน้าของเป่าหนิงลื่นจริงๆ เหมือนไข่ไก่ที่ปอกใหม่
มิน่าเล่านางถึงขาวเกลี้ยงเกลาขนาดนั้น…และมือของนางขาวเกลี้ยงเกลากว่าหน้าเสียอีก…พวกคนที่ดูโหงวเฮ้งต่างบอกว่า มือขาวกว่าหน้าเป็นคนที่มีวาสนามาก…เป่าหนิงเป็นคนที่มีวาสนามาก…
เขาคิดแล้ว เพียงแค่คิดว่าต่อไปนางจะปลอดภัยและราบรื่น หัวใจก็อ่อนจนกลายเป็นน้ำแล้ว
“เป่าหนิง เป่าหนิง!” เขาก้มตัวไปเรียกนางเสียงเบามาก “อย่าคลุมศีรษะนอน!”
“ข้ารู้แล้ว!” เจียงเซี่ยนร้อนเหมือนไฟกำลังแผดเผาทั้งร่าง นางกลัวที่จะเจอหลี่เชียนเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก จึงอยากคลุมตนเองให้มิดชิดขึ้น แล้วก็รู้สึกว่าตนเองทำแบบนี้เหมือนร้อนตัว จึงเปิดผ้าห่มที่อยู่บนศีรษะ และหมุนตัวหันหลังให้หลี่เชียน แล้วเอ่ยอย่างไม่ชัดเจนว่า “ทำไมเจ้าถึงพูดมากขนาดนี้ รีบนอนสิ!”
หางเสียงนั้น ทั้งขึ้นและยาว เหมือนกำลังอ้อน
หลี่เชียนอดที่จะหัวเราะอย่างเงียบๆ ไม่ได้
เป่าหนิง…คงเขินกระมัง?
เขามองผ้าห่มที่คลุมอยู่บนตัวเจียงเซี่ยนอย่างยุ่งเหยิง แล้วนึกถึงท่าทางเรียบร้อยตอนที่เจียงเซี่ยนเพิ่งขึ้นเตียง…นี่ถึงจะเป็นนิสัยที่แท้จริงของนางกระมัง?
ด้วยฐานะเดิมของเป่าหนิง นางน่าจะยังไม่เคยพับผ้าห่มและปูเตียงเองด้วยซ้ำ คืนวันแต่งงานไม่เพียงแต่เรียกไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อที่ติดตามรับใช้ข้างกายมาช่วยนางล้างเครื่องสำอาง ทว่ายังเปลี่ยนเสื้อชั้นในด้วย เขาแต่งงานกับภรรยาแบบนี้ ต่อไปก็ลิขิตแล้วว่าอย่าหวังว่านางจะดูแลชีวิตประจำวันของเขาได้เลย
แต่ไม่รู้ทำไม ตอนที่เขาคิดแบบนี้ ก็รู้สึกมีความสุขเช่นกัน
หรือเป็นเพราะเขาชอบนางแบบนี้ แม้แต่พวกความเสียดายเล็กๆ น้อยๆ ก็กลายเป็นความน่าสนใจที่มีเฉพาะนางเช่นกันอย่างนั้นหรือ?
หลี่เชียนนึกถึงครั้งแรกที่เขาเจอเจียงเซี่ยน นางเย็นชา ห่างเหิน และเย่อหยิ่ง ทว่ากลับถูกเขาค้นพบสีหน้าที่เดี๋ยวดีใจเดี๋ยวโกรธเดี๋ยวแค้นเดี๋ยวเกลียดตอนที่นางแอบสอดแนมเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ…ตอนนั้นหรือเปล่า ที่เขาก็เริ่มใส่ใจนาง และมักจะคิดหาทาง อยากรู้ว่านางมองเขาอย่างไรกันแน่…
หลี่เชียนอดที่จะยิ้มไม่ได้ และช่วยเจียงเซี่ยนจัดผ้าห่มให้เรียบร้อย คลุมบนตัวนางใหม่ เหน็บมุมผ้าห่ม และกดเสียงให้เบาลงพลางเอ่ยข้างหูนางว่า “รีบนอนเถอะ! พรุ่งนี้ข้าจะปลุกเจ้าแต่เช้า”
แล้วเขาก็เห็นด้วยสายตาอันคมกริบว่าหูของเจียงเซี่ยนแดงมาก จนเหมือนถูกสาดสีแดงเข้ม
สาวน้อยของเขากำลังเขินอยู่จริงๆ ด้วย!
การค้นพบนี้ทำให้หลี่เชียนแทบจะรู้สึกดีใจอย่างถึงที่สุด
เขาก็รู้ว่า เป่าหนิงของเขากลบเกลื่อนเก่งที่สุด
เขาอยากจีบนาง เห็นนางเขินจนหน้าแดง เห็นนางแสร้งทำเป็นโกรธและถลึงตา เห็นนางพาลโกรธและใช้เท้าเตะเขา มีชีวิตชีวา มีเลือดมีเนื้อ ไม่ใช่เหมือนหุ่นไม้ ที่ยิ้มอย่างงดงามและเคร่งขรึม พูดจาอย่างอ่อนโยนและเชื่องช้า จัดการอย่างเป็นระเบียบ เหมือนใส่หน้ากาก ทำให้ตนเองสูญสลายไปท่ามกลางฝูงชน…ทำไมความคิดแบบนี้จึงดูเหมือนแกล้งเด็ก?
หลี่เชียนยิ้มอย่างเงียบๆ
เขาปัดผมที่ยุ่งเล็กน้อยของเจียงเซี่ยนอย่างอ่อนโยน
ผมสีดำของนางเงางามและนุ่มลื่น มีกลิ่นหอมเหมือนกล้วยไม้และไป่ออกมาจากตัวอย่างเบาบาง
หลี่เชียนสูดหายใจลึก และรีบพลิกตัวนอนหงาย ไม่กล้าเข้าใกล้อีก
เขาเคยรับปากเจียงเจิ้นหยวน…และเจียงเซี่ยนก็เด็กเกินไปเช่นกัน…เขาไม่อยากอยู่แยกห้องกับนาง ก็ต้องคิดหาทางควบคุมตนเองให้ได้…ต้องลำบากมากอย่างแน่นอน ทว่ามันเป็นเรื่องแรกที่เขารับปากในฐานะสามี ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตาม
หลี่เชียนค่อยๆ ทำให้จิตใจของตนเองกลับมาสงบลง การหายใจค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยาวเหยียด มั่นคง และสม่ำเสมอ
เจียงเซี่ยนไม่สังเกตเห็นความคิดของหลี่เชียนแม้แต่นิดเดียว
นางรู้สึกเพียงว่าไอร้อนตอนที่หลี่เชียนพูดพันอยู่รอบหูนางอย่างอบอุ่น ทำให้นางหน้าแดง และคิดแต่จะหลบไปไกลๆ
ยังดีที่นางยังไม่ทันพูดอะไร หลี่เชียนก็ยืดตัวขึ้นและไปนอนเองแล้ว
นางรู้สึกน้อยใจอีกอย่างไร้สาเหตุ
คิดว่านางยังไม่หลับ หลี่เชียนก็ไม่สนใจนางแล้ว…เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว
แกล้งเหมือนนางเป็นเด็กอีก ตอนที่ชอบก็ชวนนางคุยอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ตอนที่รำคาญก็ทิ้งนางไว้ข้างๆ และไม่สนใจ
เจียงเซี่ยนอยากถีบเขาสักสองสามทีมาก ทำให้เขาก็ไม่ได้รับความสงบเช่นกัน
แต่ทำแบบนั้นก็เกินไปเหมือนกันกระมัง?
เจียงเซี่ยนลังเลอยู่ในใจ
ทว่าหลี่เชียนกลับเข้ามาใกล้เหมือนรู้ความคิดของนาง และจับมือที่ทับอยู่บนผ้าห่มของนาง แล้วหลอกล่อนางด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “รีบนอนเถอะ! พรุ่งนี้ตื่นมาระวังจะตาบวม แล้วไม่สวย!”
ในสายตาของเขา นางสวย…
เจียงเซี่ยนยิ้มมุมปาก ปล่อยให้หลี่เชียนจับมือของนาง และค่อยๆ เข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน
แต่หลี่เชียนกลับนั่งอยู่ที่หัวเตียง มองใบหน้าที่สงบนิ่งของนางอย่างเงียบๆ ในใจรู้สึกสบายใจและสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แสงแดดยามรุ่งอรุณค่อยๆ ย้อมลูกกรงหน้าต่างให้เป็นสีแดง เทียนสีแดงในห้องหอยังคงไหวแสงไฟสีส้ม
ฉิงเค่อยืนอยู่ใต้ชายคาอย่างกังวลและไม่สบายใจ
เมื่อวานลูกเขยนอนในห้องหอ และยังไล่คนที่ติดตามรับใช้ข้างกายอย่างพวกนางออกมาจากห้องหอหมด
และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว
ท่านหญิงคงจะไม่ได้ปล่อยให้ลูกเขยทำอะไรมั่วซั่วตามใจชอบใช่หรือไม่?
ก่อนนางออกจากวังเคยได้รับมอบหมายจากไทฮองไทเฮาว่า ต้องดูแลท่านหญิงให้ดี
หากท่านหญิงเป็นอะไรไป นางจะอธิบายกับไทฮองไทเฮาอย่างไร!
นางมองชีกูที่กำลังยืนสั่งพวกสาวใช้ให้รดน้ำดอกไม้ใบหญ้าอยู่กลางลานบ้าน
ถึงอย่างไรก็เป็นคนของลูกเขย ทว่าเห็นสถานการณ์แบบนี้กลับไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว
————————————-