มู่หนานจือ - บทที่ 277 วันรุ่งขึ้น
เจียงเซี่ยนที่อยู่ในห้องหอตื่นแล้ว
นางคิดไม่ถึงว่าตนเองจะหลับลึกขนาดนี้
นางนอนจนฟ้าสว่าง โดยไม่ได้พลิกตัวด้วยซ้ำ
ชาติก่อนตอนที่นางแต่งเข้าในวังนั้นไปอยู่ที่วังคุนหนิงเลย
แต่คืนแรกที่เข้าไปอยู่ นางกลับพลิกตัวไปมาและนอนไม่หลับ จนกระทั่งฟ้าสว่างเล็กน้อยถึงจะงีบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ไปเซ่นไหว้ที่ตำหนักเฟิ่งเซียน รับการเข้าเฝ้าและการถวายบังคมจากหญิงบรรดาศักดิ์ จัดงานเลี้ยงของสมาชิกในครอบครัวต้อนรับราชนิกุลและญาติในตระกูลเดียวกัน…ยุ่งทั้งวันจนปลายเท้าไม่ได้แตะพื้นด้วยซ้ำ ถึงตอนกลางคืนนางฝืนนอนไปเพียงหนึ่งชั่วยามก็นอนไม่หลับแล้ว สุดท้ายนางจึงอ้างว่าจะไปเยี่ยมไทฮองไทเฮาถึงจะได้นอนต่ออย่างสบายบนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างของห้องอุ่นของไทฮองไทเฮา นี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญว่าทำไมหลังจากจ้าวอี้ตายนางถึงย้ายไปอยู่วังฉือหนิงทันทีเช่นกัน
แม้จะเข้าสู่เดือนห้าแล้ว ทว่าตอนเช้ากับตอนเย็นของไท่หยวนก็ยังเย็นสบายมาก ผ้าห่มสองชั้นบางๆ คลุมอยู่บนตัวกำลังดี ทำให้คนขี้เกียจจนไม่อยากลุกขึ้น
หลี่เชียนตื่นแล้วตอนที่นางลืมตา พอเห็นสถานการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นก้มหน้าลูบผมสีดำสนิทของนางที่กระจัดกระจายอยู่บนหมอนเป็ดแมนดารินเล่นน้ำสีแดงเข้ม และเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “นอนไม่ค่อยหลับหรือเปล่า? หากนอนไม่ค่อยหลับ ก็นอนอีกสักครู่ ท่านพ่อเคยบอกแล้วว่า วันนี้ทั้งวันมีเพียงญาติของทั้งสองฝ่ายพบกันเป็นครั้งแรกเรื่องเดียว ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้น”
ก่อนหน้านี้เจียงเซี่ยนแต่งงานกับเจ้าผู้ครองแคว้น เรื่องสำคัญของแคว้นมีเพียงการทหารกับการเซ่นไหว้เท่านั้น ดังนั้นวันแรกที่นางแต่งงานสิ่งแรกคือไปเซ่นไหว้ ตระกูลหลี่เป็นชาวบ้านธรรมดา หลังจากเจ้าสาวแต่งเข้าตระกูลสามเดือน ถึงจะเซ่นไหว้บรรพบุรุษอย่างจริงจัง และบันทึกชื่อของเจ้าสาวลงในบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำตระกูล กลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลนี้อย่างแท้จริง
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการจัดการของครอบครัวสามีด้วย
หากจริงจังมากหน่อย แน่นอนว่าสิ่งแรกในตอนเช้าตรู่ก็คือญาติของทั้งสองฝ่ายพบกันเป็นครั้งแรก แต่อย่างหลี่ฉางชิงนั้น รักลูกชายกับลูกสะใภ้มาก จึงให้พวกเขานอนอีกสักครู่ แล้วก็จะจัดให้ญาติในตระกูลของทั้งสองฝ่ายพบกันเป็นครั้งแรกพร้อมกับงานเลี้ยงของสมาชิกในครอบครัวตอนเที่ยง ตอนเที่ยงจัดงานเลี้ยงของสมาชิกในครอบครัวหลังจากญาติของทั้งสองฝ่ายพบกันเป็นครั้งแรกจบแล้ว ญาติที่อยู่ไกลมากมายก็ต้องกลับจวน งานเลี้ยงของสมาชิกในครอบครัวตอนเย็นก็จะเป็นในครอบครัวเองหรือตระกูลที่สนิทสนมกันมากจนเหมือนเป็นคนในครอบครัวที่อยู่ใกล้และสนิทกันมาก
เจียงเซี่ยนไม่อยากสายเกินไป
หลี่ฉางชิงให้ความสำคัญกับนางเช่นนี้ นางก็จะต้องเคารพหลี่ฉางชิงมากขึ้นเช่นกันถึงจะถูก
ไปคุกเข่าคำนับหลี่ฉางชิงกับฮูหยินเหอแม่เลี้ยงของหลี่เชียนเช้าหน่อย ส่งของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกให้ญาติกับเพื่อนของตระกูลหลี่ มีท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ถึงจะเป็นสิ่งที่คนเป็นลูกสะใภ้ของคนอื่นอย่างนางควรทำ
นางเร่งให้หลี่เชียนรีบลุกจากเตียง
ทว่าหลี่เชียนกลับนั่งมองเจียงเซี่ยนหวีผมและแต่งตัวอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าสบายๆ และเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องเช้าขนาดนั้น เมื่อวานพวกเขาแต่ละคนต่างดื่มเหล้าถึงเที่ยงคืน เช้าวันนี้ต้องตื่นไม่ไหวอย่างแน่นอน”
“นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา” เจียงเซี่ยนกำลังเทียบว่าจะเสียบปิ่นปักผมมรกตดีหรือเสียบปิ่นปักผมเจ้าแม่กวนอิมหยกมันแพะดี “แต่พวกเราจะนอนจนตะวันโด่งถึงจะลุกจากเตียงจริงๆ ไม่ได้”
นี่หากแพร่งพรายออกไป ยังไม่รู้ว่าคนพวกนั้นจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรเลย?
สุดท้ายนางก็ตัดสินใจเสียบปิ่นปักผมดอกทับทิมปะการังสีแดง
ดอกทับทิมแฝงความหมายว่ายิ่งมีลูกมากยิ่งมีวาสนา ความหมายแฝงนี้ค่อนข้างดี
“เจ้ารีบลุกสิ” นางเร่งหลี่เชียนต่อ “เจ้าจะถ่วงแข้งถ่วงขาข้าไม่ได้ ใครบอกกันว่า จะปลุกข้าแต่เช้า สุดท้ายปล่อยให้ข้านอนจนถึงตอนนี้? ต่อไปจะเชื่อเจ้าไม่ได้อีกแล้ว”
หลี่เชียนได้ยินแล้วในใจก็ชะงักไปเล็กน้อย
เขาคิดไม่ถึงว่าเจียงเซี่ยนจะให้ความสำคัญกับการแต่งงานของพวกเขาขนาดนี้
เขาเห็นเองกับตาว่านางทำอย่างไรในวังฉือหนิง นอกจากไทฮองไทเฮาแล้ว ต่อให้จ้าวอี้มาด้วยตนเอง นางก็ทำตัวกำเริบเสิบสานมากโดยไม่เกรงกลัวแม้แต่นิดเดียวเหมือนเดิม จนกล่าวได้ว่าอยากทำอะไรก็ทำ
ยิ่งกว่านั้นเขาเป็นคนบีบบังคับเรื่องแต่งงานของพวกเขา
หลี่เชียนก็รู้สึกว่าเจียงเซี่ยนเหมือนจะชอบและเหมือนจะไม่ชอบเขาตั้งนานแล้ว เขาคิดว่าเจียงเซี่ยนอาจจะดีกับเขาเพราะชอบเขาเล็กน้อย แต่อาจจะไม่มีความอดทนที่จะคบหากับคนของตระกูลหลี่ ทว่าเขาก็ไม่อยากให้บิดาของตนเองได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเพราะเจียงเซี่ยนเช่นกัน ดังนั้นตอนที่เจียงเซี่ยนยังไม่แต่งเข้ามา เขาก็ซื้อจวนแล้ว โดยตัดสินใจอยู่ติดกับบิดา และบอกเหตุผลในนั้นกับบิดาแล้วเช่นกัน
หลี่ฉางชิงไม่คิดว่าการทำเช่นนี้เป็นการอกตัญญู
เดิมทีราชนิกุลหญิงก็ค่อนข้างได้รับความรักและทะนุถนอมมากเกินไปอยู่แล้ว
องค์หญิงยังจะตั้งจวนอีกแห่งด้วย
ราชบุตรเขยก็เหมือนลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง
ยังดีที่ตระกูลของเขาแต่งงานกับท่านหญิง จึงไม่มีข้อบังคับมากขนาดนั้น
ทว่าท่านหญิงของพวกเขาแตกต่างออกไป นางยังได้รับเงินเดือนของชินอ๋องด้วย!
แม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังไม่อยากส่งลูกชายที่ตั้งใจเลี้ยงดูไปเป็นลูกเขยให้คนอื่นถึงที่ แล้วก็ยิ่งไม่อยากอยู่จวนและใช้ชีวิตกับลูกสะใภ้เหมือนขุนนาง จึงซื้อจวนหลังหนึ่งข้างหลี่เชียน แยกกันแต่ไม่แยกย้ายแบบนี้ พอปิดประตูและทุกคนต่างใช้ชีวิตของตนเอง ก็จะได้ไม่มีความขัดแย้งเช่นกัน และเอ่ยว่า ‘ต่อไปพวกเจ้ามีลูกแล้ว ข้ายังช่วยพวกเจ้าดูแลลูกได้ด้วย จะได้ไม่เลี้ยงหลานของข้าจนไม่รู้จักคนเป็นปู่อย่างข้าด้วยซ้ำ!’
หลี่เชียนนึกถึงความกระตือรือร้นของบิดากับความเย็นยะเยือกของเจียงเซี่ยน และคิดว่าชีวิตหลังแต่งงานของเขาที่แทรกอยู่ระหว่างบิดากับเจียงเซี่ยน คงจะไม่ค่อยสงบสุขอย่างแน่นอน เขาถึงกับเตรียมพร้อมแล้วที่จะเป็นคนไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองคน หากทั้งสองฝ่ายถูกรังแก
แต่คิดไม่ถึงว่า เจียงเซี่ยนจะประนีประนอมได้ถึงขั้นนี้
เขาคิดว่านางยอมรับการหนีตามเขามาไปโดยปริยายแล้ว…บางทีเจียงเซี่ยนอาจจะชอบเขามากกว่าที่เขาคิดก็ได้!
เพียงแค่ความคิดฉายวาบผ่านไป หลี่เชียนก็นั่งไม่ติดอีกแล้ว
เขากระโดดลงจากเตียงและเดินมาตรงหน้าเจียงเซี่ยนอย่างรวดเร็ว
เจียงเซี่ยนที่เห็นการกระทำของหลี่เชียนจากในโต๊ะเครื่องแป้งตกใจมาก และหันตัวมาถามเขาอย่างกระวนกระวายว่า “เจ้าจะทำอะไร?”
นางรู้ว่าเขาใจกล้ามาโดยตลอด ทั้งในและนอกเรือนนี้มีคนรับใช้มากขนาดนั้น มีคนของนาง แล้วก็มีคนของเขาด้วย หากเขาไม่สนใจไยดีและก่อเรื่องอะไรขึ้นมานิดเดียว ทำให้คนอื่นคิดว่าเขารักนางแต่ไม่เคารพนาง แล้วต่อไปนางจะสร้างบารมีต่อหน้าหญิงรับใช้ของตระกูลหลี่อย่างไร
นั่นสิ เขาจะทำอะไร?
เขาจูบนางได้หรืออุ้มนางขึ้นมาและโยนอย่างตื่นเต้นได้หรือ?
ทันใดนั้นหลี่เชียนก็อับอายเล็กน้อยกับความมั่นใจในตนเองเหล่านั้นในอดีตของตนเอง
ความจริงแล้วสิ่งที่เขาสามารถทำให้นางได้ มีน้อยมาก น้อยมาก…
แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจ ทว่าจิตใจอันปั่นป่วนที่คลื่นลูกใหญ่ซัดสาดอย่างแรงเหมือนคลื่นทะเลกระทบฝั่ง ก็ทำให้เขาควบคุมตนเองไม่ค่อยได้ และกว่าจะควบคุมตนเองได้ก็ไม่ง่ายเลย เขานั่งลงบนม้านั่งข้างโต๊ะเครื่องแป้งอย่างสบายๆ มองเจียงเซี่ยนที่อยู่ในกระจก และยิ้มพลางเอ่ยว่า “วันนี้เจ้าแต่งตัวสวยจริงๆ!”
เจียงเซี่ยนหน้าแดง
นางคิดว่าเขากำลังเอาใจนาง
วันนี้นางใส่สีแดงเข้มทั้งตัว
อันที่จริงนางไม่ค่อยเหมาะที่จะใส่สีแดงเข้มนัก
นางเหมาะที่จะใส่สีน้ำเงิน
ไม่ว่าสีน้ำเงินแบบไหน พอสวมลงบนตัวนางก็จะมีเสน่ห์มากกว่าคนอื่นเล็กน้อย
นี่ทำให้นางไม่ค่อยสบายใจนัก จึงเอ่ยว่า “หากเจ้าถ่วงแข้งถ่วงขาข้าอีก ต่อไปข้าก็จะไม่ถามอะไรเจ้าอีกแล้ว เจ้าบอกข้ามาดีๆ ว่า ข้าแต่งตัวเป็นอย่างไรกันแน่? หากข้าเชื่อฟังเจ้าแล้วกลับถูกคนหัวเราะเยาะ เจ้าก็รอข้าให้ท่านพี่มาต่อยเจ้าได้เลย!”
หลี่เชียนหัวเราะเสียงดัง
เขาชอบที่เจียงเซี่ยนพูดกับเขาแบบนี้มาก
ทั้งอวดดีและไร้เดียงสา เหมือนไม่เคยผ่านสมอง ทว่าความจริงกลับบอกสิ่งที่อยู่ในใจนางกับเขาแล้ว
เขาทนไม่ไหว
จึงจับมือของเจียงเซี่ยน และมองนางด้วยสายตาแวววาวเจือรอยยิ้ม พลางเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าไม่ได้หลอกเจ้า วันนี้เจ้าสวยมากจริงๆ”
หน้าของเจียงเซี่ยนร้อนจนแดงมากทันที
นางแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และตะโกนเรียกชีกูเสียงดัง แล้วสั่งชีกูว่า “เจ้าไปที่เรือนตะวันออก ดูสิว่าข้ากับท่านแม่ทัพไปตอนนี้เหมาะสมหรือไม่?”
ถึงอย่างไรพวกเขาไปถึงแล้ว แต่พวกญาติยังคงหายตัวก็ไม่ได้กระมัง?
นางไม่คิดที่จะให้พวกญาติรอนาง ทว่านางก็ไม่อยากรอพวกญาติตั้งแต่เจอกันครั้งแรกเช่นกัน
นี่ก็เหมือนลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก ย่อมต้องต่อสู้กันถึงจะรู้ได้ว่าใครเป็นลมตะวันออกใครเป็นลมตะวันตก
————————————