มู่หนานจือ - บทที่ 280 การรวมตัวกันของทั้งสอง
ของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกที่เจียงเซี่ยนให้หลี่ตงจื้อเป็นถุงผ้าใบเล็กลายดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ และต้นหญ้าสีชมพู ในถุงผ้าใบเล็กบรรจุเครื่องประดับผมรูปดอกไม้ไข่มุกเหอผู่เล็กๆ คู่หนึ่งเอาไว้ แม้จะชิ้นเล็ก แต่กลับประณีตมาก ไข่มุกที่ใหญ่เพียงแค่เมล็ดข้าวสารบ้างสีขาวบ้างสีชมพูถูกร้อยเป็นดอกโบตั๋นขนาดเท่าจอกเหล้า ซ้อนกลีบกันชั้นแล้วชั้นเล่า สะท้อนใบไม้สองสามใบที่ร้อยจากมรกตขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร สีสันสดใสสวยงามจนไม่กล้าละสายตา ไข่มุกและอัญมณีแวววาวละลานตา
ฮูหยินฉีเป็นคนเตรียมของขวัญชิ้นนี้ให้นาง
ฮูหยินฉีคิดว่า บุรุษของตระกูลหลี่นั้นพูดง่าย ขอเพียงความสัมพันธ์ของเจียงเซี่ยนกับหลี่เชียนไม่เลว ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่สตรีจากเรือนด้านในนั้นกลับไม่เหมือนกัน แม้จะไม่ต้องเจอกันทุกวัน ทว่าก็ต้องติดต่อกันบ่อยๆ หลี่ตงจื้อที่เป็นลูกสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของฮูหยินเหอ และเป็นน้องสาวสามีของเจียงเซี่ยนจึงสำคัญมาก
ไม่จำเป็นต้องทำให้นางชอบ แต่ก็ไม่อาจเมินนางได้เช่นกัน อาจจะทำให้เกิดความบาดหมางระหว่างทั้งสองคน
เจียงเซี่ยนรู้ว่าฮูหยินฉีหวังดีกับตนเอง นางที่ถูกฮูหยินฉีสั่งสอนอย่างจริงใจ ตกลงอย่างเชื่อฟัง ทว่าในใจกลับไม่ค่อยเห็นด้วยนัก
เห็นแก่หลี่เชียน ขอเพียงเป็นญาติของเขา นางก็จะยอมให้เล็กน้อย แต่หากจะให้นางไปประจบประแจง นางยังทำไม่ได้จริงๆ
ทว่าหลังจากนางเห็นหลี่ตงจื้อ และคิดถึงท่าทีที่หลี่ฉางชิงปฏิบัติกับฮูหยินเหอ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจหลี่ตงจื้อมากขึ้นเล็กน้อย
คนต่อมาที่ถูกแนะนำให้เจียงเซี่ยนก็เป็นพวกญาติที่เกี่ยวดองกันกับตระกูลที่สนิทสนมกันมากจนเหมือนเป็นคนในครอบครัว
พวกจินไห่เทากับเซ่ารุ่ยฉวยโอกาสตีสนิทกับหลี่ฉางชิง ยอมรับเองว่าเป็นผู้อาวุโสของนาง แต่ก็ไม่ต้องการให้นางคุกเข่าคำนับ ทว่ากลับขอว่าอยากดื่มชาของสะใภ้เอง และให้ของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรก
ชาติก่อน พวกเขายังไม่มีสิทธิมีที่นั่งต่อหน้าเจียงเซี่ยน ต่อให้เจียงเซี่ยนเคยเจอสักครั้งหรือสองครั้งก็อาจจะจำไม่ได้เช่นกัน แต่ชาตินี้นางแต่งงานกับหลี่เชียน ต่อไปก็หลีกเลี่ยงการติดต่อกับคนเหล่านี้ไม่ได้แล้ว นางจึงไม่แสร้งทำตัวเหนือกว่าคนทั่วไปเช่นกัน นางยิ้มพลางยกน้ำชาให้พวกเขา และรับของขวัญสำหรับการพบกันครั้งแรกกองใหญ่
ทุกคนต่างมีความสุข บรรยากาศคึกคักมาก และให้เกียรติหลี่ฉางชิงอย่างเต็มที่
หลี่ฉางชิงอดไม่ได้ที่จะลากเกาฝูอวี้ไปข้างๆ และชมว่า “ก่อนหน้านี้พวกเรายังปรึกษากันอยู่ว่าอยากให้หลี่เชียนแต่งงานกับสตรีชนชั้นสูง แต่เขาไม่เห็นด้วย แถมยังบอกข้าว่าแทนที่จะแต่งงานกับภรรยาที่ตระกูลของนางมีจุดยืนแตกต่างกับตระกูลหลี่ สู้หาตระกูลพ่อตาแม่ยายที่ฐานะครอบครัวธรรมดา ทว่ายืนอยู่ข้างตระกูลหลี่ได้อย่างแน่วแน่ และช่วยพูดให้ตระกูลหลี่ดีกว่า เจ้าดูตอนนี้ ข้าผิดหรือไม่?”
เกาฝูอวี้ยิ้มอย่างเงียบๆ
ทว่าเกาเมี่ยวหวาที่คอยรับใช้เกาฝูอวี้อยู่ข้างๆ ตลอดกลับยิ้มและเอ่ยตามหลี่ฉางชิงว่า “ดังนั้น…ตอนนี้จงเฉวียนก็ยังไปจากท่านไม่ได้”
“นั่นก็จริง!” หลี่ฉางชิงมองชายหญิงที่เหมาะสมกันมากเหมือนชายหญิงที่ทั้งมีความสามารถและรูปงาม แล้วก็รู้สึกอยากทำอะไรบางอย่าง
หลี่เชียนกับเจียงเซี่ยนกำลังยกน้ำชาให้หลี่ขุย
หลังจากหลี่ขุยยกถ้วยชาก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับเจียงเซี่ยน เจียงเซี่ยนยิ้มและตอบเขาสองสามคำ แต่เขากลับยิ่งพูดก็ยิ่งสนใจ จนถือชาถ้วยนั้นอยู่ในมือตลอด และไม่มีแม้แต่เวลาดื่มสักอึก เจียงเซี่ยนกับหลี่เชียนจึงจำเป็นต้องยืนฟังเขาพูดอยู่ตรงนั้นตลอด
หลี่ขุยมาจากตระกูลจิ้นซื่ออย่างชอบธรรม แต่ไหนแต่ไรมาก็ถ่อมตนและสุภาพกับแม่ทัพอย่างพวกเขาเพียงแค่ภายนอก ส่วนหูอี่เหลียงนั้นปฏิเสธที่จะมาร่วมงานเลี้ยงที่ญาติของทั้งสองฝ่ายพบกันเป็นครั้งแรกในวันรุ่งขึ้นทันทีด้วยว่าไม่ใช่วันหยุด และศาลาว่าการมีงาน นี่ก็เพราะอาศัยชื่อเสียงของท่านหญิง ตระกูลหลี่ถึงจะเชิญหลี่ขุยมาเป็นพ่อสื่อและเชิญฮูหยินของหลี่ขุยมาเป็นเฉวียนฝูเหรินได้
ไม่รู้ว่าท่านหญิงคุยอะไรกับเขาบ้าง? ถึงทำให้เขาดูเหมือนอยากจะหยุดแต่ก็หยุดไม่ได้
หลี่ฉางชิงเป็นคนที่ทำอะไรรวดเร็ว พอเกิดความคิดแบบนี้ ก็ทิ้งเกาฝูอวี้และเข้าไปหาทันที
ได้ยินเพียงหลี่ขุยเอ่ยว่า “…พูดถึงข้าก็ออกมาจากเมืองหลวงเกือบสิบปีแล้ว ทุกครั้งที่กลับเมืองหลวงไปรายงานการปฏิบัติงานก็มักจะรีบไปรีบมา ส่วนท่านอาจารย์ก็ยุ่งเช่นกัน ปีที่แล้วยังเคยเจอกันครั้งเดียว ตอนนี้คิดดูแล้ว อีกไม่นานก็เป็นวันเกิดอายุสี่สิบปีของท่านอาจารย์ ข้าควรจะส่งของขวัญไปถึงจะถูก”
หลี่ฉางชิงได้ยินก็อดที่จะเอ่ยอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “ท่านหญิงรู้จักอาจารย์ของใต้เท้าหลี่หรือ?”
หลี่ขุยยิ้มพลางพยักหน้า และวางตัวสนิทสนมกับหลี่ฉางชิงขึ้นไม่น้อย “อาจารย์ของข้าเคยสอนท่านหญิง!”
หลี่ฉางชิงตกใจมาก และเอ่ยว่า “ท่านหญิง ในวังพวกนักปราชญ์เป็นคนสอนหนังสือหรือ?”
ในวังหิ้วใครก็ได้ก็เป็นบัณฑิตจากสำนักฮั่นหลินทั้งนั้นไหม?
เจียงเซี่ยนพยักหน้าเล็กน้อย และเอ่ยว่า “อาจารย์ของใต้เท้าหลี่คือจั่วอี่หมิง เวลานี้รับราชการอยู่ที่กองพิธีการ ความรู้ไม่เลว ลายมือสวยมาก เดิมทีไทฮองไทเฮาอยากให้เขาสอนข้าเขียนหนังสือ เสียดายที่ท่านลุงคิดว่าลายมือของเขาแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวเกินไป ไม่ค่อยเหมาะกับผู้หญิง บวกกับเขาต้องสอน ‘หลุนอวี่[1]’ ให้ฝ่าบาท และยังต้องเรียบเรียง ‘หนังสือพงศาวดาร’ ใหม่อีก ไม่ว่างจริงๆ ไทฮองไทเฮาจึงเชิญสยงจวิ้นหรงมาสอนข้าเขียนหนังสือ”
ความจริงไทฮองไทเฮาเชิญหูอี่หมิงมาสอนนางเขียนหนังสือแล้ว แต่เฉาไทเฮากลับรู้สึกถูกใจความรู้ของหูอี่หมิง จึงให้หูอี่หมิงไปสอน ‘หลุนอวี่’ ให้จ้าวอี้ หูอี่หมิงกล้าปฏิเสธที่ไหน ปรากฏว่ากำลังไม่พอ รับมือทางนี้ ทางนั้นก็เกิดปัญหาอีก ยุ่งจนไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ ไม่นานไทฮองไทเฮาก็รู้เข้า ไทฮองไทเฮาโกรธจนตัวสั่น จึงเรียกสยงจวิ้นหรงหัวหน้า อาจารย์ของจ้าวอี้มา และบังคับให้เขาสอนเจียงเซี่ยนเขียนหนังสือ
อาจารย์ทั้งสองแทรกอยู่ในนั้นอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จ้าวอี้ไม่ได้เรียน ‘หลุนอวี่’ ดี นางก็ไม่ได้เรียนหนังสือดีเช่นกัน
ตอนหลังนางยังเรียนหนังสือกับเมิ่งฟางหลิง
เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตอนนี้เจียงเซี่ยนนึกขึ้นได้ก็รู้สึกแค่ว่าตลก แล้วทันใดนั้นความคิดถึงก็พรั่งพรูออกมาเหมือนกระแสน้ำ และอยากเจอไทฮองไทเฮามาก
ทว่าหลี่ฉางชิงกลับถูกชื่อของจั่วอี่หมิงกับสยงจวิ้นหรงกระแทกจนมึนงงไปแล้ว
เขาถอนหายใจเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้
นึกถึงตอนนั้น เขาอยากหาอดีตอาลักษณ์มาเป็นอาจารย์ให้หลี่เชียนที่บ้านสักคน เขาเสนอค่าตอบแทนของอาจารย์และไปหาถึงที่ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง สุดท้ายยังออกเงินมากกว่าคนอื่นสิบเท่าถึงจะสำเร็จ แต่ท่านหญิงเจียหนานกลับเลือกผู้ที่มีชื่อเสียงและความรู้มากมายได้ตามใจชอบ…
เช่นนั้นท่านหญิงเจียหนานต้องมีความรู้ดีมากอย่างแน่นอน!
มิน่าเล่าคนอื่นต่างก็อยากแต่งบุตรสาวจากตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจเป็นสะใภ้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เรื่องการให้ความรู้ของลูกก็ไม่ต้องกังวลแล้ว
หลี่ฉางชิงมองเจียงเซี่ยนอย่างถูกใจมากขึ้นเรื่อยๆ และมองหลี่เชียนอย่างพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ไปด้วยเช่นกัน
หลี่ฉางชิงแอบตบบ่าลูกชาย และเอ่ยเสียงเบาว่า “ครั้งนี้เจ้าทำให้พ่อมีหน้ามีตาแล้ว ต่อไปเจ้าต้องดีกับเจียหนาน หากเจ้าทำให้นางไม่พอใจ และหนีกลับไปฟ้องที่บ้านของนาง ข้าจะหักขาเจ้า!”
บิดาชอบเจียงเซี่ยนแบบนี้ หลี่เชียนรู้สึกดีใจมาก จนอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
เขาอดไม่ได้ที่จะล้อบิดาเล่นว่า “เช่นนั้นข้าก็ทำถูกแล้วใช่หรือไม่! หากทำตามความคิดท่าน ข้าแต่งงานกับลูกสาวของตระกูลโหวหรือป๋อแล้ว จะมีจิตใจแบบเจียหนานได้หรือ? ท่านดูเจียหนานสิว่าเรียกท่านอย่างสดใสแค่ไหน!”
หลี่ฉางชิงพยักหน้าไม่หยุด และเอ่ยพลางยิ้มตาหยีว่า “นั่นก็เพราะภรรยาเจ้ารู้จักพูดเช่นกัน”
นี่เพียงแค่เรื่องชาถ้วยเดียว ก็ผูกมิตรกับหลี่ขุยได้แล้ว
ลูกสะใภ้คนนี้ของเขาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน!
ต่อไปลูกที่เกิดมาต้องฉลาดอย่างแน่นอน
หลี่ฉางชิงหัวเราะ สองฝ่ามือเกือบจะตบหลี่เชียนล้มลง
หลังจากนั้นคนที่ทำให้เจียงเซี่ยนประทับใจก็คือหลี่เหลยกับบิดา
ครอบครัวนี้เป็นญาติที่เกินห้ารุ่นของหลี่ฉางชิง ตอนที่หลี่ฉางชิงไม่มีกินและหนีภัยแล้งไป บิดาของหลี่เหลยเคยให้เงินหลี่ฉางชิงสองตำลึงเป็นค่าเดินทาง หลายปีนั้นหลี่ฉางชิงไม่อยู่บ้าน บิดาของหลี่หลินเสียชีวิต มารดาหนีไปกับคนอื่น ก็เคยอาศัยอยู่ที่บ้านของหลี่เหลยสองปีเช่นกัน
เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะมองหลี่เหลยอีกเล็กน้อย
หลี่เหลยเตี้ยกว่าหลี่เชียนครึ่งศีรษะ หน้าตาหล่อเหลาและสุภาพ เหมือนบัณฑิต
หลังจากจบเรื่องเจียงเซี่ยนก็พบว่าหลี่เหลยเป็นบัณฑิตจริงๆ แถมยังมีชื่อซิ่วไฉอยู่กับตัว แล้วก็เป็นคนที่มีไหวพริบและร่าเริงมากเช่นกัน ตามหลักแล้วมีความสัมพันธ์ขั้นนี้ หลี่เหลยน่าจะอยู่ที่ตระกูลหลี่เหมือนปลาได้น้ำถึงจะถูก ไม่รู้ทำไมชาติก่อนถึงไม่เคยได้ยินชื่อคนๆ นี้?
———————————-
[1] หลุนอวี่ บันทึกคำสอนของขงจื่อที่ลูกศิษย์ของขงจื่อเรียบเรียงขึ้นในภายหลัง