มู่หนานจือ - บทที่ 284 คืนที่สอง
“เจ้าไม่รู้เสียแล้ว!” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มีปีหนึ่งข้าถูกท่านพ่อทิ้งให้ฝึกกับพวกแม่ทัพและทหารในค่ายทหาร จนใกล้จะปีใหม่แล้ว ท่านพ่อถึงส่งน่าฝูมารับข้ากลับบ้าน ตอนนั้นหิมะกำลังตกหนัก ไปได้ครึ่งทาง หิมะก็ตกหนักจนปิดทาง ไปไม่ได้แล้วจริงๆ พวกเราจึงหาบ้านหลังหนึ่งหยุดพัก คนที่เปิดประตูให้พวกเราเป็นหญิงชราที่ผมขาวทั้งศีรษะ บอกว่าในบ้านมีแค่นางกับสามี สามีล่าสัตว์เป็น จึงจะไปล่ากระต่ายป่ากับไก่ป่าบนภูเขาทุกฤดูหนาว เวลานี้ขึ้นไปบนภูเขายังไม่กลับมา แล้วก็ต้มน้ำร้อนชงชาให้พวกเราดื่ม ตอนนั้นที่ชายชรากลับมาก็ตะโกนเรียกหญิงชราแบบนี้” เขาพูดอยู่ ไม่รู้นึกถึงอะไร สายตาแน่วแน่เล็กน้อย แล้วจู่ๆ ก็เข้ามากอดเจียงเซี่ยน และเอ่ยเสียงเบาว่า “เป่าหนิง ข้าก็อยากใช้ชีวิตกับเจ้าไปตลอดชีวิตแบบนั้นเหมือนกัน…ทำให้เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าไปตลอดชีวิต ปกป้องความปลอดภัยของเจ้าไปตลอดชีวิต ต่อให้แก่แล้ว ผมขาวดำปะปนกัน และลูกๆ ล้วนไม่อยู่ข้างกายแล้ว พวกเราก็จะอยู่ด้วยกันตลอดไป…”
เจียงเซี่ยนจินตนาการภาพบ้านไม้หลังเล็กที่หิมะตกหนักจนปิดภูเขา หญิงชราผมขาวที่รอชายชรากลับมา ชายชราที่ไปล่าสัตว์ให้ภรรยา แล้วยังตะโกนเรียกอย่างมีความสุขเหมือนหลี่เชียน…หัวใจของนางก็อ่อนยวบทันที มือกอดหลี่เชียนตอบอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วตอบเบาๆ ว่า “อื้ม”
หลี่เชียนหางตาแดง และกอดเจียงเซี่ยนแน่น อยากจะฝังนางเข้าไปในร่างกายของตนเองให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตนเองได้ และอยากจะให้เวลาเดินเร็วขึ้นในทันใด ทำให้เขากับเจียงเซี่ยนได้กอดกันแน่นและแก่ขึ้นไปด้วยกันแบบนี้
“เป่าหนิง!” เขาเรียกชื่อเล่นของเจียงเซี่ยนเบาๆ และอดไม่ได้ที่จะจรดริมฝีปากลงที่ขมับ บนแก้ม และมุมปากของเจียงเซี่ยน
แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนรู้ว่าเขาจะทำอะไร
นางคิดว่าตนเองมีชีวิตอยู่มายี่สิบห้าปีแล้ว อายุมากกว่าหลี่เชียนในตอนนี้เสียอีก และเคยผ่านเรื่องราวมามากมายแล้ว ก็น่าจะนัวเนียกับหลี่เชียนได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ความจริงเพียงแค่หลี่เชียนจุมพิตใกล้ปากนางอย่างยากที่จะควบคุมความรู้สึกของตนเองได้ นางก็ประหม่า ลนลาน และหวาดกลัวจนตัวสั่นไม่หยุดแล้ว ในสมองเหนียวจนเหมือนโคลนที่เหนียวหนืด ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรดีด้วยซ้ำ
ทว่าหลี่เชียนกลับอึ้งไปเล็กน้อย
เด็กสาวที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา เหมือนแมวที่ตกใจ ตัวสั่นไม่หยุด แต่กลับแสร้งทำเป็นเยือกเย็นและไม่หลบเลี่ยง…นี่ทำให้เขานึกถึงครั้งแรกที่เขาเจอเจียงเซี่ยน
เป่าหนิง…กำลังกลัวใช่หรือไม่?
เขาเคยรับปากคนในครอบครัวของนางว่า จะไม่ล่วงเกินนาง แต่ตอนนี้เขากลับวิ่งไปในทิศทางตรงข้ามอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง ทว่าเด็กสาวของเขากลับให้อภัยเขาและให้ท้ายเขาเหมือนแต่ก่อน…
เวลานี้หลี่เชียนทั้งดีใจและเสียใจ
ดีใจที่เป่าหนิงชอบเขามากจริงๆ
และเสียใจที่เขาทำให้นางผิดหวัง
“ข้าไม่ดีเอง!” เขาหยุดได้ทันเวลา ริมฝีปากอันอบอุ่นหยุดอยู่ที่มุมปากของนาง “เจ้าไม่ต้องกลัว! ข้าแค่อยากกอดเจ้าเท่านั้น” เสียงของเขาเบา นุ่มนวล และหนักแน่น “ข้าจะไม่ทำสิ่งที่เกินเลยกว่านี้”
นี่ยังไม่เรียกว่าเกินเลยหรือ?
เจียงเซี่ยนหน้าแดงมาก รู้สึกว่าเวลานี้ตนเองพูดอะไรก็เหมือนจะไม่เหมาะทั้งนั้น จึงก้มหน้าลงและไม่เอ่ยสิ่งใด
หลี่เชียนรักษาสัญญาและเพียงแค่กอดนางอย่างเงียบๆ จริงๆ…เพียงแต่กอดนานไปหน่อย จนถึงตอนเย็นหญิงรับใช้ถือท่อนไม้ที่มัดเหล็กง่ามเอาไว้เสียบโคมไฟที่อยู่บนชายคาลงมา จุดเทียน และแขวนขึ้นไปใหม่ ส่องสว่างขั้นบันไดหินสีเทาใต้ชายคา หลี่เชียนถึงจะปล่อยนาง และเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “เมื่อครู่ตอนที่ข้ากลับห้องได้ยินคนบอกเจ้าว่าท่านพี่เตือนเจ้าว่าพรุ่งนี้กลางยามเฉินกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านฝ่ายหญิง พรุ่งนี้พวกเราต้องตื่นตั้งแต่ต้นยามเหม่า วันนี้เจ้าก็เหนื่อยมาทั้งวันแล้วเช่นกัน ข้าให้เด็กรับใช้ตักน้ำร้อนเข้ามาให้เจ้าแช่เท้าสักหน่อยดีหรือไม่? เดี๋ยวเจ้าจะได้หลับสบาย”
เขาไม่พูด เจียงเซี่ยนก็ยังไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าของร่างกาย พอเขาพูดแบบนี้ ทั้งร่างของเจียงเซี่ยนต่างก็ร้องตะโกนว่าเหนื่อยล้า
นางพยักหน้า และเอ่ยเบาๆ ว่า “ขอบคุณมาก”
แต่หลี่เชียนได้ยินแล้วกลับเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ต่อไปพวกเราเป็นคนในครอบครัวแล้ว ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น”
นี่มันอะไรกันน่ะ?
ทว่าถูกเขาเอ่ยแทรกแบบนี้ นางก็กลายเป็นอารมณ์ดีขึ้นมากในทันใด
นางอดที่จะหัวเราะไม่ได้ และเอ่ยว่า “ใครเกรงใจเจ้ากัน!”
หลี่เชียนเห็นนางอารมณ์ดีขึ้น ก็อารมณ์ดีขึ้นตามไปด้วย ในร่างมีกำลังที่ใช้ไม่หมด จึงก้มตัวอุ้มนางขึ้นมา และเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดี พวกเราไปแช่เท้ากัน!”
เจียงเซี่ยนตั้งตัวไม่ทัน จึงร้อง “ว้าย” และรีบกอดคอของหลี่เชียนแน่น พอเห็นเขาเริ่มก่อกวนอีก จึงเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “เจ้ารีบปล่อยข้าลง!”
หลี่เชียนไม่สนใจ และอุ้มนางไปที่เก้าอี้ไท่ซือใกล้เตียงในห้องด้านในทันที และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าขยับ ข้าจะให้สาวใช้ตักน้ำร้อนเข้ามา!” เขาเอ่ยจบก็เรียกจุ้ยเอ๋อร์เข้ามารับใช้ทันที โดยไม่สนว่าเจียงเซี่ยนจะว่าอย่างไร
แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนก็ไม่อาจว่าอะไรหลี่เชียนได้เช่นกัน
แต่ตอนที่เท้าของนางแช่อยู่ในน้ำร้อน เท้าเล็กที่ขาวมาก จนเห็นแม้กระทั่งเส้นเลือดบนหลังเท้าชัดเจนมาก หลี่เชียนก็ยังทนไม่ไหวอยู่ดี เขาไล่พวกจุ้ยเอ๋อร์ออกไป และนั่งยองๆ ลงจะล้างเท้าให้เจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนยกเท้าขึ้นและแกล้งสะบัดใส่เขาสองสามที หยดน้ำร่วงลงบนตัวหลี่เชียนตามหลังเท้าของนาง
“ถ้ากล้าก่อกวนอีก ระวังข้าจะสะบัดใส่หน้าเจ้า” เจียงเซี่ยนข่มขู่หลี่เชียนทั้งที่หน้าแดง
หลี่เชียนหัวเราะ และจับเท้าข้างนั้นของเจียงเซี่ยนเอาไว้
เท้านั้นเล็กและงดงาม เขาจับได้ด้วยมือเดียว เล็บสีชมพูเหมือนดอกท้อที่บานสะพรั่ง เนียนนุ่ม
หลี่เชียนทำใจปล่อยได้ที่ไหนกัน
เจียงเซี่ยนยกเท้าอีกข้างขึ้นมาถีบบ่าเขา
หลี่เชียนไม่ได้วางกำลังป้องกัน จึงนั่งยองๆ ลงบนพื้นทันที
เจียงเซี่ยนหัวเราะ และฉวยโอกาสเหยียบส้นรองเท้าแล้ววิ่งขึ้นเตียง
หลี่เชียนลุกขึ้นมาและตามไป “ข้าล้างเท้าให้เจ้า เจ้ากลับถีบข้า”
“สมน้ำหน้า!” เจียงเซี่ยนยิ้มและคลานไปที่มุมเตียง นางผลักผ้าห่มทั้งหมดไปอยู่หน้าตนเอง อยากขวางหลี่เชียนเอาไว้ “ใครใช้ให้เจ้าทำตัวไม่ดี”
“ข้าทำตัวไม่ดีอย่างไร!” หลี่เชียนกระโจนไป “ข้าทำอะไร? เจ้าถึงบอกว่าข้าทำตัวไม่ดี?”
เขาขายาวมือก็ยาวเช่นกัน เขาเอื้อมมือไปผลักผ้าห่มตรงหน้าเจียงเซี่ยนออกไป
เจียงเซี่ยนหัวเราะและวิ่งไปอีกมุมหนึ่งของเตียง แล้วเอ่ยว่า “เจ้าทำตัวดีๆ หน่อย! ข้าจะนอนแล้ว!”
“พวกเราคุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องอื่น” หลี่เชียนไม่เชื่อฟัง และพลิกตัวไปจับเจียงเซี่ยน
ทั้งสองคนหยอกเล่นกันอย่างสนุกสนานเหมือนเด็ก จนทำให้บนเตียงเละเทะ หลี่เชียนเห็นว่าเจียงเซี่ยนหัวเราะจนปนหอบเล็กน้อยแล้ว กลัวว่านางจะเจ็บหน้าอกตอนที่หายใจ จึงยอมแพ้เสียเอง ทั้งสองคนถึงจะหยุด
ทว่าทั้งสองคนก็เหนื่อยเป็นอย่างมากเช่นกัน
จึงนอนหอบอยู่บนเตียงอย่างเกะกะ
เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้ง
เป็นคนมาสองชาติ รวมการหัวเราะของนางทั้งหมดแล้วก็ยังหัวเราะไม่มากเท่าวันนี้
นางอดไม่ได้ที่จะพลิกตัว และใช้ศอกยันตัวนอนคว่ำข้างกายหลี่เชียน และถามเขาว่า “ทำไมวันนี้เจ้าถึงอารมณ์ดีขนาดนี้?”
หลี่เชียนคิดแล้วก็ไม่ปิดบังเจียงเซี่ยน เขายิ้มพลางบอกเจียงเซี่ยนเรื่องที่เขาร่วมมือกับจินเซียว แล้วเอ่ยกับนางเสียงเบามากว่า “ข้าให้อวิ๋นหลินนำหน้า เดิมทีเพียงแค่อยากให้เขาทดลองปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าเขาจะเก่งมากกว่าที่ข้าคาดไว้ ไม่เพียงแต่ใช้กำลังผ่านด่านอวี๋หลิน ยังปล้นจากโจรมาอีกที ยึดชาหลงจิ่งชั้นดีที่เข้ามาจากเจียงหนานชุดหนึ่งของตระกูลเซ่าเอาไว้ด้วย ยังไม่ต้องพูดถึงความเสียหายของตระกูลเซ่า หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ตระกูลเซ่าจะไม่เพียงแต่เสียหน้า ทว่ายังจะมีคนมากมายเลียนแบบและทำตาม คิดหาทางใช้กำลังผ่าน นี่ถึงจะเป็นการโจมตีตระกูลเซ่าอย่างแท้จริง และเท่ากับว่าความพยายามในหลายปีนี้ของพวกเขาสูญเปล่าไปเกินครึ่ง จำเป็นต้องสร้างบารมีใหม่ ต่อไปตระกูลเซ่าก็มีงานให้ทำแล้ว”
———————————–