มู่หนานจือ - บทที่ 294 โต๊ะเดียวกัน
หลี่เชียนก็รู้สึกโล่งอกเช่นกัน
มีพี่ชายภรรยาอย่างเจียงลวี่จับตามองอยู่ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจมากเช่นกัน
เวลานี้เจียงลวี่ไปแล้ว เขาจึงรู้สึกเหมือนสังคมให้พื้นที่ว่างที่เป็นอิสระแก่เขาทันที
ในที่สุดเขาก็สามารถวางใจและใช้ชีวิตกับเจียงเซี่ยนได้แล้ว
บนรถม้าขากลับ เขาจับมือของเจียงเซี่ยนไว้ตลอดไม่ยอมปล่อย
เจียงเซี่ยนดิ้นหลายครั้งไม่เป็นผล จึงขี้เกียจที่จะสนใจเขาแล้วเช่นกัน
แต่หลี่เชียนยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น สุดท้ายไปได้ครึ่งทาง เขาถามเจียงเซี่ยนว่า “เจ้าเหนื่อยหรือไม่? อยากไปเดินเล่นบนถนนกับข้าไหม ข้าได้ยินคนบอกว่า แถวถนนใต้มีเครื่องประดับเงินทองกับผ้าไหมที่งดงามขายมากมาย เจ้าอยากไปดูสักหน่อยหรือไม่?”
เจียงเซี่ยนก็สนใจที่จะออกไปเดินนิดหน่อยจริงๆ เพียงแต่พอคิดว่ารถม้าของหลี่ฉางชิงอยู่ข้างหน้าพวกเขา และนางเพิ่งจะแต่งมาตระกูลหลี่วันที่สี่ เลือกเวลาอื่นดีกว่า จึงเอ่ยว่า “วันนี้กลับไปก่อนเถอะ! ไม่แน่พ่อเจ้าอาจจะยังมีเรื่องจะสั่งเจ้าก็ได้!”
“พ่อข้า?!” หลี่เชียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่พ่อเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่!” เจียงเซี่ยนเป็นคนมาสองชาติ ล้วนไม่ชินที่จะเรียก ‘พ่อ’ นางสีหน้าแดงเล็กน้อย และเอ่ยว่า “เขาเป็นพ่อสามีของข้า!”
“พ่อสามีไม่ใช่พ่ออย่างนั้นหรือ!” หลี่เชียนแกล้งนาง
เจียงเซี่ยนมองเขาตาขวางทีหนึ่ง และไม่สนใจเขาอีก เลิกม่านขึ้นมองภาพย่านการค้าข้างนอก
หลี่เชียนหัวเราะ และอุ้มเจียงเซี่ยนมานั่งบนตักของเขา
เจียงเซี่ยนเคยลิ้มลองความดื้อรั้นของหลี่เชียนในเรื่องนี้มานานแล้ว รู้ว่านางต่อต้านไปก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี จึงไม่สู้กับเขาแล้วเช่นกัน นางปล่อยเขาไป และมองทิวทัศน์โดยรอบอย่างใจจดใจจ่อ
หลี่เชียนกอดเจียงเซี่ยนที่นุ่มนิ่ม และรู้สึกว่าหัวใจกลายเป็นน้ำหมดแล้ว
เขาถามนางเสียงเบา “เห็นอะไรที่น่าสนใจหรือยัง?”
ลมหายใจอันอบอุ่นวนเวียนอยู่ข้างหูนาง ทำให้นางใจสั่น เสียงก็กลายเป็นเริ่มไม่ค่อยมั่นคงเช่นกัน “ไม่…ไม่เห็นอะไรที่น่าสนใจ…แค่มองไปทั่วทุกที่!”
หลี่เชียนมองออกไปข้างนอกตามสายตาของนาง
เห็นซุ้มประตูพอดี
เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ผ่านทางนี้ไปจะมีสี่แยก ไปทางใต้ก็เป็นถนนใต้แล้ว”
เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงไปหมด
ความรู้สึกแบบนี้ทั้งไม่คุ้นเคยแล้วก็ทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวและไม่สบายใจ
นางไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไป
แต่กลับแอบรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ดี
นางอยากควบคุมร่างกายของตนเองใหม่
เจียงเซี่ยนพยายามมองข้ามความผิดปกติของร่างกาย และวางความสนใจไปที่การโต้ตอบกับหลี่เชียน “เช่นนั้นพวกเราอยู่ไกลจากบ้านแค่ไหน? พวกเราอยู่ถนนตะวันตก จากที่นั่นมาที่นี่น่าจะไกลมากใช่หรือไม่!”
“ไท่หยวนก็ใหญ่แค่เท่าฝ่ามือเช่นกัน ต่อให้ไกลแค่ไหน จะไกลไปได้ถึงไหน?” หลี่เชียนเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย และบีบมือของนางเบาๆ เหมือนมือของนางเป็นของเล่นที่สนุกมาก “หากเจ้าอยากออกไปข้างนอก ออกมาทางประตูเอวของเรือนตะวันตกที่พวกเราอยู่ รถม้าเพียงแค่ครึ่งก้านธูป นั่งเกี้ยวสามารถผ่านตรอกเล็กได้ สุดท้ายก็แค่สองถ้วยชาอยู่ดี แต่หากเจ้าอยากออกไปข้างนอก ข้างกายต้องพาองครักษ์ไปด้วยอีกสองสามคน เจ้าอย่ามองว่าตอนนี้ไท่หยวนเจริญรุ่งเรืองขนาดนี้ มันก็เป็นหนึ่งในเมืองเก้าเมืองที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ต่อเนื่องกันตามแนวป้องกันของกำแพงเมืองจีนทางภาคเหนือเช่นกัน ไม่เพียงแต่มีสายลับของชนกลุ่มน้อยทางเหนือ ยังมีพวกโจรลู่หลินด้วย ฐานะของเจ้าอ่อนไหวเกินไป ต้องระวังถึงจะถูก”
“พูดถึง ก็โทษสินเดิมสามร้อยหกสิบหีบนั่น” เจียงเซี่ยนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างโมโหว่า “ข้าคิดดูแล้วก็รู้สึกเหมือนตนเองนอนอยู่ท่ามกลางทอง เงิน ไข่มุก และอัญมณี ต้องมีสักวันที่จะเดือดร้อนเพราะของนอกกายพวกนั้น”
หลี่เชียนหัวเราะเสียงดัง
นอนอยู่ท่ามกลางทอง เงิน ไข่มุก และอัญมณี เป่าหนิงพูดจาตลกจริงๆ…ทว่าหากเป่าหนิงนอนอยู่ท่ามกลางเงินทองที่แวววาวจริงๆ เรือนร่างที่เปลือยเปล่าขาวสะอาดราวกับหยก…
หลี่เชียนคิดว่าหากตนเองคิดต่อไปอีกอาจจะเลือดกำเดาไหลได้
เขารีบหยุดจินตนาการในสมอง และไม่กล้าคิดไปทางนั้นอีกแล้ว คุยกับเจียงเซี่ยนตลอดทาง ในที่สุดก็ถึงบ้านที่ตั้งอยู่ที่ถนนตะวันตกหลังกองบัญชาการซานซีของตระกูลหลี่
เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าตนเองตื่นเช้าไปหน่อย หลังจากคารวะหลี่ฉางชิงกับฮูหยินเหอแล้ว จึงคิดว่าจะกลับไปนอนอีกสักพัก
ส่วนหลี่เชียนถูกหลี่ฉางชิงรั้งไว้ที่ห้องหนังสือ
เจียงเซี่ยนจึงได้ผ่อนคลายพอดี นางกำชับพวกสาวใช้เล็กน้อย จนใกล้เวลารับประทานอาหารเที่ยง นางถึงจะตื่น หวีผมและล้างหน้าใหม่ แล้วถามถึงที่อยู่ของหลี่เชียน
ฉิงเค่อช่วยแขวนหยกแขวนที่ใช้ควบคุมการเดินไม่ให้ก้าวใหญ่เกินไปจนเสียมารยาทตรงเอวให้เจียงเซี่ยน พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ทัพไปแล้วยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ!”
เจียงเซี่ยนพยักหน้า และพาสาวใช้กับหญิงรับใช้ประจำตัวไปที่เรือนหลัก
หลี่เชียนกำลังยืนคุยกับหลี่ฉางชิงอยู่ใต้ค้างองุ่นในลานบ้าน
ไม่รู้ว่าทั้งสองคนกำลังคุยอะไรกัน สีหน้าต่างจริงจังมาก ทว่าพอได้ยินเสียงและเห็นเจียงเซี่ยน ก็กลับยิ้มออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สีหน้าเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนมาก
เจียงเซี่ยนรู้สึกได้ถึงความหวังดีที่พวกเขามีต่อนาง
นางยิ้มและเข้าไปคารวะ
หลี่ฉางชิงรีบเอ่ยว่า “คนในครอบครัว ไม่ต้องเกรงใจ ไม่ต้องเกรงใจ” แล้วก็ถามนางอย่างใส่ใจอีกว่า “ได้ยินว่าพอเจ้ากลับมาก็นอนทันที ตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง? หากไม่สบาย ก็ไม่ต้องฝืน ให้สาวใช้มาบอกสักหน่อย แล้วก็พักผ่อนอยู่ในห้อง”
“ขอบคุณท่านพ่อมาก!” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “หากไม่สบายมาก ข้าจะให้แม่บ้านที่อยู่ข้างกายมาแจ้งฮูหยินเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี!” หลี่ฉางชิงดูมีความสุขมาก เขาเรียกสาวใช้คนหนึ่งมา “ไปบอกฮูหยินว่า ตั้งโต๊ะเดี๋ยวนี้เลย!”
สาวใช้ขานรับและจากไป
เจียงเซี่ยนถอยหลังสองสามก้าว ให้หลี่ฉางชิงเข้าห้องก่อน
หลี่ฉางชิงยิ้มตาหยีอย่างพอใจ และเข้าไปในห้องโถง
ฮูหยินเหอยืนอยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อมแล้ว พอเห็นหลี่ฉางชิงเข้ามา ก็รีบเข้ามาคารวะหลี่ฉางชิง
หลี่ฉางชิงโบกมือ และนั่งลงที่ที่นั่งตัวแรก
ฮูหยินเหอก็มองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่ง และเอ่ยอย่างลังเลว่า “ใต้เท้า จะอยู่ทานอาหารเที่ยงที่นี่หรือ?”
หลี่ฉางชิงเบิกตาโต และเอ่ยว่า “ข้าไม่ทานอาหารที่นี่แล้วข้าจะมาที่นี่ทำไม?”
แต่พ่อสามีกับลูกสะใภ้กินข้าวร่วมโต๊ะกันที่ไหนกัน?
ฮูหยินเหอมองเจียงเซี่ยนอีกครั้ง
ทว่าหลี่ฉางชิงไม่เข้าใจสักนิด พอเห็นฮูหยินเหอมองเจียงเซี่ยน เขาก็เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ให้เจ้าตั้งโต๊ะก็ตั้งโต๊ะ เจ้าจะมองเจียหนานทำไม?”
เจียงเซี่ยนมองออกแล้ว หลี่ฉางชิงไม่มีความรู้ทั่วไปในด้านนี้เลย
นางยิ้มและแก้หน้าให้ฮูหยินเหอ “ฮูหยินก็นั่งลงเถอะ! ข้าจะคีบอาหารให้ท่านพ่อเอง!”
พ่อสามีกับลูกสะใภ้ไม่สามารถกินข้าวโต๊ะเดียวกันได้จริงๆ แต่หากพ่อสามีอายุมากแล้ว ลูกสะใภ้กลับสามารถช่วยคีบอาหารให้อยู่ข้างๆ ได้
หลี่ฉางชิงได้ยินแล้วก็ถลึงตาใส่ฮูหยินเหออย่างไม่พอใจ และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “คีบอาหารอะไรกัน ตระกูลของพวกเราไม่นิยมเรื่องพวกนั้น เจ้านั่งลงกินข้าวดีๆ ก็พอแล้ว”
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางขานว่า “เจ้าค่ะ” และเอ่ยกับฮูหยินเหอว่า “น้องเล็กยังไม่มา ต้องส่งคนไปเร่งสักหน่อยหรือไม่?”
ปกติหลี่ตงจื้อจะรับประทานอาหารเที่ยงในห้องของตนเอง แต่เช้ากับเย็นจะกินกับฮูหยินเหอ
หลี่ฉางชิงยังอยากพูดอะไรบางอย่าง ทว่าหลี่เชียนรู้ว่าบิดาทำเรื่องน่าอายแล้ว เขาเห็นเจียงเซี่ยนพยายามช่วยชดเชยให้บิดาของเขามาก ก็รู้สึกซาบซึ้งและดีใจ แล้วชิงยิ้มและเอ่ยก่อนหลี่ฉางชิงว่า “ช่วงนี้ก็ไม่ต้องพิถีพิถันเรื่องพวกนั้นแล้วเช่นกัน ฮูหยินส่งคนไปเร่งน้องเล็กสักหน่อยแล้วกัน ส่วนพวกหลี่จี้…ก็มากินข้าวเป็นเพื่อนท่านพ่อด้วยกันเถอะ นานๆ ทีจะอยู่กันทั้งครอบครัว อีกสองวันข้าต้องไปลาดตระเวนและป้องกันที่ค่ายทหาร ถึงเวลานั้นเจ้าก็ต้องกินข้าวคนเดียวแล้ว”
ประโยคสุดท้ายนั้นเขาเอ่ยให้เจียงเซี่ยนฟัง
เจียงเซี่ยนรู้ว่าฮูหยินเหอเปลี่ยนความคิดไม่ค่อยได้ แต่นางไม่อยากให้หลี่ฉางชิงเสียหน้ามากกว่า จึงร่วมมือกับหลี่เชียน โดยเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องงานสำคัญ ในบ้านยังมีฮูหยินกับน้องเล็กอยู่เป็นเพื่อน ท่านไม่ต้องกังวล!”
———————————–