มู่หนานจือ - บทที่ 310 สมปรารถนา
เมื่อก่อนเกาฝูอวี้เคยถูกทรมาน ร่างกายแย่มาก จึงเริ่มบำรุงร่างกายตั้งแต่อายุยังน้อย หลายปีนี้ตระกูลหลี่ค่อยๆ เลื่อนตำแหน่ง ชีวิตมั่นคง ก็ยิ่งมีกฎเกณฑ์มากขึ้น ตื่นกี่โมง นอนกี่โมง กินข้าวกี่โมง กินอะไรบ้าง ก็ล้วนมีความพิถีพิถัน
เรื่องพวกนี้ทุกคนต่างรู้
หลายปีนี้เกาเมี่ยวหรงคอยดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของอาหลานสกุลเกา จึงรู้ดีที่สุดแล้ว
ในมุมมองของเกาฝูอวี้ หลานสาวถามเขาเช่นนี้ ก็เพราะเป็นห่วงเขาเช่นกัน
“ไม่ต้องแล้ว!” เกาฝูอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำเหมือนเมื่อก่อนก็พอแล้ว ข้าเพียงแค่ไม่มีธุระอะไร จึงกลับมาล่วงหน้า”
เขามองหลานสาวที่ค่อยๆ หน้าตาสวยขึ้นจนเหมือนผู้หญิงที่สวยงามตามธรรมชาติ และนึกถึงตอนที่นางเพิ่งมา หน้าตาซีดเซียว ร่างกายผ่ายผอม แล้วก็ค่อนข้างภูมิใจในตนเองที่ ‘ครอบครัวของข้ามีลูกสาวคนหนึ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว’
เกาเมี่ยวหรงรู้จักร่างกายของอาตนเอง ก็ย่อมจะไม่บังคับ และพยุงเกาฝูอวี้ไปที่ห้องหลัก
นางเดินพลางเอ่ยว่า “ท่านอา รู้เรื่องหรือยัง? ท่านหญิงกำหนดกฎของตระกูลใหม่ ให้ทุกคนในบ้านท่องตามจนจำขึ้นใจและท่องได้ คนที่จำไม่ได้และท่องไม่ได้ก็จะไล่ออกไป นางทำให้เป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ ในบ้านจะวุ่นวายไปหมดไหมเจ้าคะ?”
“ต่อให้วุ่นวายแค่ไหนก็ไม่วุ่นวายเท่าตอนนี้!” เกาฝูอวี้เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “พอดีเลย เจ้าฉวยโอกาสนี้ปลีกตัวออกมา! ช่วยคนสกุลเหอต้อนรับสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิง จนตนเองตกที่นั่งลำบาก ก็เป็นเพราะเด็กอย่างเจ้าไม่รู้ความเช่นกัน จึงไม่รู้ความสำคัญในนั้น ไม่บอกข้าสักคำก็รับปากแล้ว…”
“ท่านอา!” เกาเมี่ยวหรงแกล้งทำเป็นโกรธขัดจังหวะเกาฝูอวี้ แล้วพึมพำเสียงเบาว่า “ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย ท่านก็อย่าพูดอีกเลย!” นางอายจนหน้าแดงทั้งหน้า “ตอนนั้น…ตอนนั้นข้าเกรงใจที่จะปฏิเสธฮูหยินเหอนิดหน่อย แล้วก็คิดว่าหากข้ายืนช่วยนางอยู่เบื้องหลังนางอย่างเงียบๆ แบบนี้ คนอื่นยังคิดว่าข้าเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่ตระกูลหลี่…”
เกาฝูอวี้นิ่งเงียบ
ถึงเขาจะได้รับความเคารพจากหลี่ฉางชิง แต่ในสายตาของคนอื่น ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงผู้ช่วยคนหนึ่งของหลี่ฉางชิง เกาเมี่ยวหวากับเกาเมี่ยวหรงอยู่กับเขาที่จวนสกุลหลี่มานาน เพราะเดิมทีฐานะของเขาก็ต่ำกว่าบัณฑิตทั่วไประดับหนึ่งอยู่แล้ว หากเกาเมี่ยวหรงยังช่วยฮูหยินเหอจัดการงานต่างๆ อย่างไม่แสวงหาชื่อเสียงและผลประโยชน์อีก ในสายตาคนอื่น เกาเมี่ยวหรงก็เป็นเพียงคนรับใช้ระดับสูงที่ไม่มีสัญญาขายตัว ถึงตอนที่เกาเมี่ยวหรงคุยเรื่องแต่งงาน ก็จะยุ่งยากมากแล้ว
นี่ก็คงเพราะตอนนั้นเกาเมี่ยวหรงยอมฉีกเรื่องราวออกจากกันและบอกให้ทุกคนรู้ว่านางเป็นคนที่ฮูหยินเหอเชิญให้มาช่วยอย่างจริงใจครั้งแล้วครั้งเล่า จะได้ถือโอกาสยกฐานะให้สูงขึ้นหน่อยด้วย
ตอนนั้นก็เป็นเพราะเขาคิดเรื่องพวกนี้อย่างดีแล้วเช่นกัน จึงทำไม่เป็นไม่รู้ไม่เห็น และไม่ได้ปฏิเสธอย่างสุดกำลัง
พูดถึง เขาก็เป็นคนทำให้เด็กทั้งสองคนเดือดร้อน
ทว่าหากเขาไม่เดินทางสายนี้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เด็กทั้งสองคนเรียนหนังสือ แม้แต่ตัวเขาเอง จะมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ก็ยังเป็นปัญหา
เวลานี้ไปคิดเรื่องพวกนี้ ความจริงก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว!
เขาทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ และเอ่ยกับเกาเมี่ยวหรงเสียงอ่อนโยนว่า “อาหรง เพราะอาคิดไม่รอบคอบเอง ทำให้เจ้ากับอาหวาได้รับความไม่เป็นธรรมแล้ว! ไม่อย่างนั้นเอาแบบนี้ ตระกูลหลี่ก็ตั้งรกรากที่ไท่หยวนพอสมควรแล้ว หลายปีนี้อาก็เก็บสะสมเงินจำนวนหนึ่งไว้ในมือเช่นกัน พวกเราซื้อบ้านข้างนอกหลังหนึ่งดีกว่า แล้วเจ้ากับอาหวาย้ายออกไป และต่อไปก็ก่อตั้งตระกูลเอง…”
“จะทำแบบนั้นได้อย่างไร!” เกาเมี่ยวหรงร้องอย่างตกใจจนหน้าซีด และดึงเขาไว้แน่น “พวกเราจะย้ายออกไปเองได้อย่างไร? หากไม่มีท่าน พวกเราก็ไม่เหลือกระดูกไปตั้งนานแล้ว ถึงแม้ท่านจะเป็นอาของพวกเรา แต่ข้ากับท่านพี่ต่างก็เห็นท่านเป็นเหมือนพ่อ ท่านพี่ยังเคยบอกว่า เขาจะเลือกผู้สืบทอดสองคน หลังจากแต่งงานหากมีลูกจะยกให้เป็นลูกบุญธรรมของท่านอาคนหนึ่งด้วย…” นางพูดไป น้ำตาก็คลอเบ้า “หากต้องย้าย พวกเราก็ย้ายออกไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นพวกเราก็อยู่ด้วยกัน”
เกาฝูอวี้เป็นผู้ช่วยของหลี่ฉางชิง หลี่ฉางชิงกำลังเป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้คน หากเขาเสนอว่าจะย้ายออกไปตอนนี้ ก็ไม่ค่อยเหมาะสม และเกาเมี่ยวหรงก็พูดมีเหตุผลเช่นกัน ในใจเขาเห็นเด็กสองคนนี้เป็นลูกของตนเองตั้งนานแล้ว แถมเกาเมี่ยวหวายังเด็ก ทำอะไรยังไม่สุขุมและมั่นคงพอ แล้วเขาก็กลัวว่าเด็กสองคนย้ายออกไปจะคบกับเพื่อนที่ไม่ดีและเดินเข้าสู่ทางที่ผิด เช่นนั้นตระกูลเกาของเขาก็จบสิ้นแล้ว สติปัญญาและกำลังของเขาก็สิ้นเปลืองไปอย่างเปล่าประโยชน์เช่นกัน
“เช่นนั้นก็อยู่ที่ตระกูลหลี่ไปก่อน” เกาฝูอวี้ใจกว้างและอ่อนโยนกับเด็กทั้งสองคนมาโดยตลอด รู้สึกว่าเกาเมี่ยวหรงพูดมีเหตุผล ก็ไม่ยืนกรานอีกเช่นกัน แต่ยิ้มพลางชี้หน้าของเกาเมี่ยวหรง แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ร้องไห้จนเหมือนแมวลายตัวน้อย ยังไม่ให้พวกสาวใช้กับแม่บ้านตักน้ำมาให้เจ้าล้างหน้าอีก!”
เกาเมี่ยวหรงอับอาย และเรียกเบาๆ ว่า “ท่านอา”
เกาฝูอวี้มองนางอย่างเอ็นดู “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว ข้าจะบอกเรื่องนี้กับหลี่ฉางชิง เขาไม่ตำหนิเจ้าหรอก ส่วนที่ว่าท่านหญิงจะกำหนดกฎของตระกูลใหม่นั้น” เขาเอ่ยถึงตรงนี้ ก็นึกถึงใบหน้าที่รู้สึกเป็นเกียรติ โชคดี และดีใจมากของหลี่ฉางชิงตอนที่เห็นข้อบังคับแผ่นยาวนั้น น้ำเสียงจึงชะงักไป แล้วถึงเอ่ยว่า “ก็ปล่อยนางไปเถอะ! ถึงอย่างไรนางก็เป็นภรรยาของลูกชายคนโตของจวนสกุลหลี่ และภรรยาเอกของลูกชายคนโตของตระกูลหลี่ในอนาคต จะดีหรือแย่ก็เป็นเรื่องของตระกูลหลี่ของพวกเขา”
เกาเมี่ยวหรงได้ยินแล้วก็พยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู และเอ่ยว่า “ท่านอา เช่นนั้นพวกเราต้องจัดระเบียบหญิงรับใช้ในบ้านตามไปด้วยหรือไม่?”
ข้างกายพวกเขานอกจากคนไม่กี่คนที่ใกล้ชิดแล้ว คนอื่นล้วนเป็นหญิงรับใช้ของตระกูลหลี่
เกาฝูอวี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทางพวกเราดีมากมาโดยตลอด ก็ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายขนาดนั้น แต่เรื่องนี้เจ้ายังต้องไปบอกฮูหยินเหอสักหน่อย ก็ถือว่าพวกเราสนับสนุนท่านหญิง และแสดงความหวังดีของพวกเราออกมาเช่นกัน”
เกาเมี่ยวหรงพยักหน้า และยิ้มพลางเอ่ยว่า “ตอนบ่ายข้าจะไปพบฮูหยินเหอเจ้าค่ะ”
ทว่าเกาฝูอวี้กลับลังเลเล็กน้อย และเอ่ยว่า “เจ้ายังสอนหนังสือคุณหนูหลี่อยู่หรือไม่?”
เกาเมี่ยวหรงพยักหน้า
เกาฝูอวี้เอ่ยว่า “ทางนั้นก็หาโอกาสลาออกด้วยเถอะ! คุณหนูหลี่อายุไม่น้อยแล้ว ก็ถึงเวลาเริ่มเรียนหนังสืออย่างเป็นทางการแล้วเช่นกัน เมื่อก่อนอยู่ฝูเจี้ยน ไม่รู้ว่าจะไปเมื่อไร จึงหาครูที่เชิญมาสอนที่บ้านที่เหมาะสมไม่ได้ชั่วขณะ เวลานี้จะตั้งรกรากที่ไท่หยวน ให้เจ้าสอนคุณหนูหลี่อ่านและเขียนหนังสือแบบนี้ตลอด ก็ไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว”
“เจ้าค่ะ” เกาเมี่ยวหรงรับปากทันที เมื่อเห็นว่าเกาฝูอวี้ไม่มีคำสั่งอื่นแล้ว จึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างหน้าที่ห้องของตนเอง
——————————————————-
ดังนั้นสิ่งที่เจียงเซี่ยนทำจึงราบรื่นมาก
เดินไปไหนก็สามารถเห็นหญิงรับใช้ที่ท่องกฎของตระกูลได้ และเพราะเรื่องนี้ ยังมีพวกคนที่อายุยังน้อยหน่อยแอบมาหาไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อ เพราะอยากเรียนหนังสือกับพวกนางด้วย “…แต่งบทกวีกลอนคู่ไม่กล้าคิด ทำให้พวกเรารู้จักกขคงได้ก็พอ” แถมยังนำค่าตอบแทนของอาจารย์มาเหมือนฝากตัวเป็นศิษย์ด้วย
ไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อลำบากใจมาก ทั้งสองคนเจอมหาบัณฑิตกับอาลักษณ์ในวังมามากมาย อย่างพวกนางนั้น ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ถือได้เพียงว่ารู้จักตัวอักษรเท่านั้น จะเป็นอาจารย์ได้อย่างไร?
ทั้งสองคนรีบไปถามความเห็นของเจียงเซี่ยน
เจียงเซี่ยนนึกได้ว่าในวังยังตั้ง ‘สำนักการศึกษาฝ่ายใน’ ให้พวกหัวหน้าขันทีขจัดความไม่รู้หนังสือเลย จึงรู้สึกว่าแบบนี้ก็ไม่เลวเช่นกัน แต่งานของไป่เจี๋ยกับฉิงเค่อเยอะเกินไปแล้ว จึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าก็เลือกคนสองคนจากในคนที่ตามมาทำเรื่องนี้แล้วกัน”
ไป่เจี๋ยขานว่า “เจ้าค่ะ”
ทว่าฉิงเค่อกลับเอ่ยว่า “ท่านหญิง ข้าว่า ข้าทำเองดีกว่า!”
ไป่เจี๋ยไม่เข้าใจ
ฉิงเค่อก้าวมาข้างหน้าเล็กน้อย และอธิบายกับเจียงเซี่ยนเสียงเบามากว่า “ท่านว่าการสอบขุนนางทุกสามปี ทำไมพวกราชเลขาธิการถึงต้องแย่งกันเป็นหัวหน้าผู้คุมสอบ ก็เพราะอยากมีบุญคุณกับบัณฑิตไม่ใช่หรือ…ในเมื่อคนพวกนี้อยากอ่านและเขียนหนังสือ ก็ต้องพุ่งเป้าไปที่ช่วงชิงอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน...”
เจียงเซี่ยนได้ยินก็อึ้งไป แล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดัง และเอ่ยว่า “ฉิงเค่อ เจ้าเก่งจริงๆ เช่นนั้นเรื่องนี้ก็มอบให้เจ้าไปจัดการแล้ว”
ฉิงเค่ออมยิ้มพลางรับปาก และลากไป่เจี๋ยที่เข้าใจทันทีออกไป