มู่หนานจือ - บทที่ 322 แขก
ป้าเหอคิดเรื่องนี้ได้แล้ว ใจก็สงบลงเช่นกัน
ถึงเช้าตรู่ของวันที่สอง นางก็สวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ลูกสาวเลือกให้นาง แล้วพาลูกสาวไปยังห้องหลักที่ฮูหยินเหออยู่
เพื่อเจียดสถานที่ให้เหล่าสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของเรือนด้านใน หลี่ฉางชิงกับหลี่เชียนจึงไปสนามฝึกแต่เช้าแล้ว
ฮูหยินเหอก็ตื่นนานแล้วเช่นกัน นางแต่งตัวเสร็จแล้ว และกำลังอบรมหลี่ตงจื้ออยู่ “วันนี้เจ้าอย่าหลบไปที่ไหนจนหาไม่เจออีกเชียว พี่สะใภ้ของเจ้าบอกแล้วว่า วันนี้เจ้ากับพี่สาวของเจ้าต้องติดตามอยู่ข้างกายนาง ช่วยต้อนรับแขกที่มาในวันนี้” แล้วมองที่คาดผมไข่มุกที่ไข่มุกขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารบนศีรษะของหลี่ตงจื้อ และเอ่ยว่า “ทำไมสวมที่คาดผมไข่มุกอันนี้ออกมา? ปกติข้าไม่ได้ทำเครื่องประดับให้เจ้าหรือ? รีบไปเปลี่ยนเป็นที่คาดผมไข่มุกทับทิมที่สวมวันที่พี่สะใภ้ของเจ้าแต่งเข้ามา!”
เสี่ยวเหอสาวใช้ข้างกายหลี่ตงจื้อขานรับและจะไป แต่กลับถูกหลี่ตงจื้อขวางไว้
นางเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ที่คาดผมไข่มุกอันนี้…เป็นสิ่งที่ข้าขอคำแนะนำจากพี่ฉิงเค่อที่อยู่ข้างกายพี่สะใภ้แล้วถึงจะตัดสินใจ พี่ฉิงเค่อบอกแล้วว่า ข้าอายุยังน้อย ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวสวยหรูมากเกินไป และที่คาดผมทับทิมอันนั้นก็เคยใช้ในวันที่พี่สะใภ้แต่งเข้ามาแล้ว คนที่มาในวันนี้ก็ล้วนเป็นพวกแขกในวันนั้นเช่นกัน จึงไม่ค่อยเหมาะที่จะสวมเครื่องประดับชุดนั้นอีกแล้ว”
ฮูหยินเหอได้ยินแล้วก็อึ้งไป และเอ่ยว่า “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? เคยใส่ครั้งหนึ่งก็ใส่ไม่ได้อีกแล้วอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นพวกของล้ำค่าที่สืบทอดกันมาภายในตระกูลจะทำอย่างไร? เก็บไว้ก้นหีบอย่างนั้นหรือ?”
หลี่ตงจื้อหน้าแดงและเอ่ยว่า “แต่พี่ฉิงเค่อบอกแบบนี้ เครื่องประดับแบบเดียวกัน ภายในห้าปีอย่าใส่ซ้ำต่อหน้าคนเดียวกันจะดีที่สุด ต่อให้ต้องใส่ ก็ต้องเอาไปเปลี่ยนแบบหรือหลอมใหม่และขัดให้วาวทำเป็นแบบทองใหม่ที่ร้านขายเครื่องประดับเงินทองใหม่เช่นกัน…ไม่อย่างนั้นทำไมพี่สะใภ้มีเครื่องประดับมากขนาดนั้น พวกพี่ฉิงเค่อยังรู้สึกว่าพี่สะใภ้มีเครื่องประดับน้อยเกินไป และคิดว่าหลังจากพี่สะใภ้กลับไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่เฝินหยาง ชื่อของพี่สะใภ้เข้าสู่บันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำตระกูลอย่างเป็นทางการแล้ว จะเชิญคนของร้านขายเครื่องประดับเงินทองเข้ามาทำเครื่องประดับใหม่ในจวน แถมยังบอกว่า หากไท่หยวนไม่มีคนที่เหมาะสม ก็จะไปเชิญในเมืองหลวง ถึงเวลานั้นก็จะทำเครื่องประดับให้ข้าสักสองสามชุดด้วย…”
ฮูหยินเหอมองป้าเหอที่เข้ามาข้างในอย่างตกตะลึงเล็กน้อย
นางมีเครื่องประดับพลอยไพฑูรย์ขนาดเท่าเม็ดบัวอยู่ชุดหนึ่ง ทุกครั้งที่มีโอกาสสำคัญ นางก็ชอบใส่เครื่องประดับชุดนี้ไปงานเลี้ยง…หากที่ฉิงเค่อพูดเป็นความจริง เช่นนั้นนางก็ทำเรื่องน่าอายหลายครั้งมากแล้วไม่ใช่หรือ…
ฮูหยินเหอนั่งไม่ค่อยติดแล้ว
ป้าเหอจำเป็นต้องจับมือของฮูหยินเหอไว้ และปลอบใจนางว่า “เจ้าเพิ่งกลับมาไท่หยวนได้ไม่นานไม่ใช่หรือ? ฉวยโอกาสนี้แก้ไขเสียก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ!”
“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะใส่เครื่องประดับอะไรล่ะ?” ฮูหยินเหอเริ่มร้อนรน
ป้าเหอคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ที่ข้ายังมีเครื่องประดับไพลินอีกชุดหนึ่ง ไม่อย่างนั้น…เจ้ายืมใส่ก่อน?”
ชุดนั้นเป็นของล้ำค่าของป้าเหอ
แน่นอนว่าหากพูดถึงความประณีตและงดงามย่อมเทียบชุดของฮูหยินเหอไม่ได้ ทว่าเวลานี้ใครยังมีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้กัน?
แม่นมส่วนตัวของป้าเหอไปหยิบเครื่องประดับชุดนั้นมาด้วยตนเอง
ฮูหยินเหอถึงจะพบว่าเสื้อผ้าของตนเองไม่ถูกต้อง…วันนี้นางสวมเสื้อคลุมยาวลายโบตั๋นสีน้ำเงินสดใส
แต่สายแล้ว นางจึงรีบเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมยาวลายแปดสัญลักษณ์มงคลสีขมิ้น แล้วรีบเดินไปที่เรือนตะวันตกกับป้าเหอ หลี่ตงจื้อ และเหอถงเหนียงอย่างรวดเร็ว
เจียงเซี่ยนไม่อยู่ที่ห้องหลักแล้ว
ไป่เจี๋ยบอกนางด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินของอาจารย์ลู่พาคุณหนูทั้งสองในตระกูลมาแล้ว กำลังคุยกับท่านหญิงอยู่ในโถงบุปผาเจ้าค่ะ!”
“เช้าขนาดนี้เชียว?” ฮูหยินเหอประหลาดใจ และอดที่จะเงยหน้ามองท้องฟ้าไม่ได้
ไป่เจี๋ยเม้มปากยิ้ม และเอ่ยว่า “ก็ไม่เช้าแล้วเช่นกัน อาจารย์ลู่เป็นขุนนางระดับห้า นางมาได้เวลาพอดี”
ฮูหยินเหอไม่เข้าใจ จึงมองไปที่ป้าเหอ
ป้าเหอรู้สึกว่ามีข้อบกพร่องแล้วก็ปล่อยเลยตามเลย
ถึงอย่างไรไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางที่จะมีความรู้มากไปกว่าเจียงเซี่ยน ดังนั้นไม่เข้าใจก็ถามดีกว่า จะได้ไม่เสียหน้าต่อหน้าคนนอก
“ทำไมนางถึงมาได้พอดีหรือ?” ป้าเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “หรือว่ามาเร็วกับมาช้ายังมีอะไรแตกต่างกันอย่างนั้นหรือ?”
“มีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน” ก่อนหน้านี้ไป่เจี๋ยเคยได้รับคำสั่งจากเจียงเซี่ยนแล้วว่า หากฮูหยินเหอกับป้าเหออยากรู้เรื่องมารยาท พวกนางก็ต้องอธิบายอย่างดี ผู้อาวุโสทั้งสองจะได้ไม่ทำผิด “วันนี้ท่านหญิงเชิญเพียงสมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงของขุนนางระดับห้าขึ้นไปมาร่วมงาน งานเลี้ยงแบบนี้ แทนที่จะบอกว่าเป็นการทานข้าว สู้บอกว่าเป็นการพบกันดีกว่า มีแผนการอย่างไร จะเชิญใครบ้าง ตอนที่ไปส่งเทียบเชิญต้องบอกเรื่องพวกนี้กับคนที่ถูกเชิญให้หมด พวกคนที่ถูกเชิญถึงจะวางแผนการเดินทางง่าย”
“งานเลี้ยงแบบนี้ ชนชั้นสูงที่แท้จริงควรจะมาถึงตอนที่ทุกคนต่างมากันพอสมควรแล้ว แต่ก็ยังมาไม่หมด ทั้งแลดูไม่รีบร้อน แล้วก็แสดงออกว่าให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เช่นนั้นใครควรจะมาถึงเร็วหน่อย? และใครควรจะมาช้าหน่อย?”
“นั่นก็คือคนอย่างฮูหยินของอาจารย์ลู่”
“ถึงแม้ฮูหยินของอาจารย์ลู่จะอยู่ระดับห้า ทว่าอาจารย์ลู่กลับเป็นตำแหน่งแต่เพียงในนามโดยไม่มีงานและอำนาจอย่างแท้จริง และอันดับท้ายสุด”
“หากนางอยากรีบแสดงความสนิทสนมกับท่านหญิง ก็จะมาเร็วหน่อย หากนางกลัวจะถูกสงสัยว่าประจบประแจง ก็สามารถมาถึงช้าหน่อยได้”
ฮูหยินเหอกับป้าเหอเข้าใจทันที
ที่แท้ฮูหยินของอาจารย์ลู่ก็อยากทำให้เจียงเซี่ยนประทับใจ จึงมาถึงก่อนเวลา
ฮูหยินเหออดที่จะถามไม่ได้ว่า “เช่นนั้นตามที่เจ้าว่า กว่าฮูหยินติงกับฮูหยินหลี่จะมาถึงไม่ต้องอีกสักพักอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว!” ไป่เจี๋ยเอ่ยพลางยิ้ม และนำพวกนางไปที่โถงบุปผา “อย่างไรก็ต้องรอให้มีฮูหยินมาอีกสักสองสามคนแล้วพวกนางถึงจะมาถึง”
ฮูหยินเหอได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วและเอ่ยว่า “เช่นนั้นฮูหยินติงกับฮูหยินหลี่จะรู้ได้อย่างไรว่าก่อนหน้าพวกนางมีคนมากี่คนแล้ว?”
ไป่เจี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกแม่นมที่ติดตามมาแล้ว! ไม่อย่างนั้นทำไมเวลาออกไปข้างนอกยังต้องพาแม่นมติดตามไปด้วย รถม้าจะแล่นเร็วหรือแล่นช้า ก็ต้องฟังพวกนาง”
ทั้งสองคนได้ยินแล้วก็รู้สึกปวดศีรษะ ซับซ้อนมาก
ป้าเหอจึงถือโอกาสผลักลูกสาวกับหลี่ตงจื้อไปตรงหน้าไป่เจี๋ยเสียเลย และเอ่ยว่า “ข้ากับแม่ของเจ้าอายุมากแล้ว จำได้ที่ไหนกัน? พวกเจ้าต้องติดตามและตั้งใจเรียนนะ”
หลี่ตงจื้อกับเหอถงเหนียงขานว่า “เจ้าค่ะ” พร้อมกัน และตามหลังมารดาเข้าไปในโถงบุปผาอย่างว่านอนสอนง่าย
เจียงเซี่ยนสวมเสื้อคลุมยาวผ้าไหมหังไม่มีลายสีแดงเข้ม ขับให้นางผิวสว่างราวกับหิมะทว่าก็บอบบางและผอมเพรียวเหมือนกินไม่อิ่ม นางกำลังนั่งคุยกับสตรีร่างอวบที่สวมเสื้อคลุมยาวสีเขียวขจีอยู่ตรงฝั่งที่ตำแหน่งค่อนข้างสูงศักดิ์
ฮูหยินเหอเคยเจอสตรีผู้นี้ระหว่างทางที่ไปพบฮูหยินติงตอนที่เพิ่งมาไท่หยวน จึงรู้ว่าสตรีผู้นี้ก็คือฮูหยินของอาจารย์ลู่ จึงยิ้มและเข้าไปทักทาย
ฮูหยินลู่สีหน้าเหมือนได้พบเพื่อนเก่าอีกครั้ง จึงดีใจจนออกนอกหน้า นางเข้ามาคารวะฮูหยินเหอ และเอ่ยว่า “ฮูหยินไม่ได้พบกันนาน ท่านดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ ใช้อาหารหรือยาบำรุงอะไรหรือ? หากมีเรื่องดีแบบนี้ อย่าลืมแนะนำให้ข้า ข้าจะกินด้วย” แล้วก็หันไปดึงเด็กสาวสองคนมาคารวะฮูหยินเหอ และเอ่ยว่า “นี่คือลูกสาวทั้งสองคนของข้า” แล้วก็เห็นว่าลูกสาวคนโตอายุใกล้เคียงกับเหอถงเหนียง ลูกสาวคนรองอายุใกล้เคียงกับหลี่ตงจื้อ อยากพูดจาอย่างสนิทสนมสักหน่อย แต่ก็ไม่รู้ว่าเหอถงเหนียงเป็นใคร จึงกลัวจะพูดผิด และไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดีไปชั่วขณะ จนเริ่มอ้ำๆ อึ้งๆ
ฮูหยินเหอรีบแนะนำหลี่ตงจื้อและเหอถงเหนียงกับฮูหยินลู่ “นี่คือลูกสาวคนเล็กของพวกเรา ส่วนนี่คือหลานสาวของข้า”