มู่หนานจือ - บทที่ 331 เป็นแขก
ฮูหยินลู่ได้ยินเสียงม่านไม้ไผ่กระทบขอบประตูแล้วก็นวดขมับตลอด
“ท่านแม่!” คุณหนูใหญ่ลู่เห็นสถานการณ์ก็เดินมาหาอย่างลังเลมาก นางช่วยนวดขมับให้มารดา และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านอย่ากังวล ปีที่แล้วตอนที่กลับไปอวยพรวันเกิดท่านย่าที่บ้านเกิด ท่านย่ามอบตั๋วเงินห้าสิบตำลึงให้ข้าสองใบ เดี๋ยวข้าเอาให้ท่าน จัดการเรื่องงานเลี้ยงก่อนแล้วค่อยว่ากัน….”
ฮูหยินลู่ได้ยินแล้วก็ส่ายหน้า และถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเงิน แม้ตระกูลของพวกเราจะเทียบตระกูลติงกับตระกูลหลี่ไม่ได้ แต่ในตระกูลก็มีที่นามีร้านค้า และยังมีย่าของเจ้ากับอาของเจ้าที่สนับสนุนให้พ่อเจ้าเป็นขุนนาง ต่อให้มีน้อยแค่ไหน ก็ขาดเงินสำหรับงานเลี้ยงนี้ไม่ได้ แต่พ่อเจ้าไม่อยากให้ข้าไปขอร้องฮูหยินจั่ว และประจบท่านหญิงเองแบบนี้” พอเอ่ยถึงตรงนี้ บรรดาความน้อยใจที่ได้รับในอดีตก็ผุดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของฮูหยินลู่ในทันใด จนนางอดไม่ได้ที่จะร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา “เพราะความดื้อรั้นของเขา ความทุกข์ที่เขาได้รับยังน้อยหรือ? เวลานี้กว่าจะเป็นอาจารย์ได้ก็ไม่ง่ายเลย ข้าไม่ขอให้เขามีความดีความชอบโดดเด่น แต่ก็ล่วงเกินคนเป็นประจำไม่ได้กระมัง? สอบขุนนางก็สอบขุนนาง มีใครไม่ทำลวกๆ ก็ผ่านบ้าง แต่เขาดันไม่เหมือนคนอื่น บอกว่าหลานของใต้เท้าจวงเสเพลมาทุกแบบแล้ว ยังใช้กำลังครอบครองหญิงชาวบ้านอีก เป็นคนร้ายลึก ยังไม่ต้องพูดถึงสองปีก่อนที่ให้คะแนนคนระดับต่ำ วันนี้ก็ให้คะแนนคนนั้นระดับต่ำอีก ตำแหน่งซิ่วไฉใกล้จะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว คนอื่นไปช่วยพูดกับใต้เท้าจวงให้ เขายังชูคอไม่ยอมรับผิดและไม่เลิกล้ม ตอนนี้คนอื่นไม่หาเรื่องเขาอย่างสุดชีวิตสิแปลก นี่ข้าก็กลัวว่าถึงเวลานั้นหากไม่ระวัง พ่อของเจ้าจะถูกคนทำร้ายไม่ใช่หรือ? เรื่องแบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเสียหน่อย…”
คุณหนูใหญ่ลู่ไม่เอ่ยสิ่งใด
เมื่อก่อนนางไม่รู้
ทว่าสองปีก่อนย่าของนางฉลองวันเกิด นางตามฮูหยินลู่กลับบ้านเกิด สิ่งที่ได้เห็นและได้ยินระหว่างทางทำให้นางตกใจมาก และยิ่งทำให้นางแอบรู้สึกไม่สบายใจ มักจะรู้สึกว่าสภาพสังคมเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนจนทำให้คนนับวันยิ่งอยู่ต่อไปไม่ได้ สักวันหนึ่งต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น และจากใจของนาง นางรู้สึกว่าบิดาของนางไม่ได้ทำผิด ไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำผิด ทว่ายังทำถูกมาก และมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีมากด้วย
แต่นางไม่อาจพูดเรื่องพวกนี้กับมารดาได้
มารดาของนางก็หวังดีกับครอบครัวนี้ และหวังว่าคนในครอบครัวจะปลอดภัยเช่นกัน
คุณหนูใหญ่ลู่เอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้าจะลองไปเกลี้ยกล่อมท่านพ่อแล้วกัน! ท่านพ่อเพียงแค่ไม่เข้าใจไปชั่วขณะ ไม่ได้ตั้งใจตำหนิท่านแม่ หลายวันนี้ท่านพ่อก็ลำบากเช่นกัน”
“ข้ารู้!” ยังต้องให้ลูกสาวที่เยาว์วัยปลอบตนเอง ฮูหยินลู่เช็ดตาอย่างลำบากใจ และเอ่ยว่า “หลายวันนี้ใต้เท้าจวงหาเรื่องพ่อเจ้าไม่น้อย พ่อเจ้าชอบเจ้าที่สุด เจ้าไปเกลี้ยกล่อมพ่อเจ้าก็ดีเหมือนกัน”
คุณหนูใหญ่ลู่ยิ้มพลางขานว่า “เจ้าค่ะ” แล้วเรียกน้องสาวมาทำให้มารดามีความสุข ส่วนตนเองก็ไปหาอาจารย์ลู่
อาจารย์ลู่ตีหน้าขรึม ใครมาก็ไม่สนใจ
คุณหนูใหญ่ลู่จำเป็นต้องเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านพ่อ ทำไมท่านนิสัยเหมือนเด็กเลย ตอนที่ไปกินเหล้าที่บ้านท่านหญิง ตอนนั้นท่านก็ไม่อยู่ จึงไม่รู้สถานการณ์ในตอนนั้น ท่านแม่ก็ไม่ได้อยากประจบฮูหยินจวง แล้วก็ไม่ได้อยากประจบท่านหญิงเช่นกัน แต่บรรยากาศในตอนนั้นดีมาก ทุกคนต่างเอะอะโวยวายที่จะผลัดกันเลี้ยงอาหาร ท่านแม่ก็ไม่อาจละเว้นธรรมเนียมได้เช่นกันใช่หรือไม่ จึงเอ่ยเรื่องนี้ต่อ ใครจะรู้ว่าพอฮูหยินพวกนั้นได้ยินว่าตระกูลของเราจะเลี้ยงอาหาร ต่างก็ร้องว่าอยากชิมเนื้อหมูป่าที่ท่านแม่ย่าง ถึงได้จัดงานเลี้ยงที่บ้านของพวกเรา พรุ่งนี้พวกเรายังต้องไปดูงิ้วที่บ้านของฮูหยินหลู่อีก! ท่านพูดแบบนี้ ฮูหยินหลู่ก็อยากประจบท่านหญิงเหมือนกันนะ!”
อาจารย์ลู่เดี๋ยวอ้าปากเดี๋ยวหุบปาก นานมากถึงจะเอ่ยว่า “ข้า…ข้าก็ไม่ได้หมายความแบบนั้นเช่นกัน…ข้าแค่รู้สึกเบื่อ…เจ้าว่า ข้า…ข้าลาออกเป็นอย่างไร?” เขาเพิ่งจะพูดจบ ก็ปฏิเสธความคิดของตนเองทันที “ไม่ได้ ย่าของเจ้ารู้แล้วจะต้องผิดหวังมากอย่างแน่นอน นางเป็นหม้ายตั้งแต่ยังสาว เลี้ยงดูข้ากับอาของเจ้าจนโตอย่างยากลำบาก ไม่ง่ายเลยที่จะหวังว่าข้าจะสอบผ่านและได้เป็นจวี่เหริน เป็นอาจารย์ หากข้าลาออกและกลับบ้านเกิด นาง…” พอเอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็พูดต่อไปไม่ค่อยได้แล้ว
ทว่าคุณหนูใหญ่ลู่กลับตกใจจนอึ้งไปกับความคิดที่ผุดออกมาอย่างกะทันหันของบิดา
ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็ได้ยินบิดาพึมพำอีกว่า “แต่หากไม่ลาออก แบบนี้จะมีความหมายอะไรอีก? ข้าช่วยคนชั่วทำชั่ว เสียเวลาไปเรียนหนังสือของนักปราชญ์มาตั้งหลายปี ละเมิดคำสอนของอาจารย์…”
คุณหนูใหญ่ลู่ได้สติกลับมา นางไม่มีกะจิตกะใจปลอบใจบิดาอีกแล้ว จึงรีบเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ยังรอให้ข้าไปช่วยอยู่” แล้ววิ่งไปหาฮูหยินลู่ด้วยสีหน้าลนลาน
ฮูหยินลู่แทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน
ตอนที่เจียงเซี่ยนไปเห็นขอบตาดำของฮูหยินลู่ยังแปลกใจเล็กน้อย จึงยิ้มพลางหยอกนางเล่นว่า “ฮูหยินคงจะไม่ได้กังวลว่าพวกเราจะมากินโถข้าวในบ้านจนเกลี้ยงใช่หรือไม่? ทำไมดูเหมือนไม่ได้นอนทั้งคืน!”
ฮูหยินลู่ตกใจมาก และอดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้มในใจ
สภาพของนางชัดเจนขนาดนี้แล้วหรือ?
ถึงอย่างไรก็แก่แล้ว จึงเทียบกับตอนสาวๆ ไม่ได้ ไม่ได้นอนหลายวันหลายคืน เพราะเย็บเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ร่วงที่จะไปเข้าร่วมการสอบขุนนางให้สามี ก็ยังหน้าตามีชีวิตชีวา จนทำให้คนมองไม่ออก
“ท่านหญิงตาแหลมจริงๆ!” แน่นอนว่าฮูหยินลู่ย่อมจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ตอนนี้ นางล้อเจียงเซี่ยนเล่นเช่นกัน “ข้าไม่เพียงแต่กังวลโถข้าว ยังกังวลด้วยว่าในบ้านไม่กว้างเท่าตระกูลหลี่ ทุกคนจะรู้สึกว่าบ้านของข้าคับแคบ” พอเอ่ยจบ นางก็หัวเราะเล็กน้อย และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนด้วยสีหน้าเป็นมิตรว่า “ท่านหญิงรีบตามข้ามาเถอะ ฮูหยินติงกับฮูหยินหลี่ต่างก็มาแล้ว เมื่อครู่ยังถามถึงท่านหญิงอยู่เลย!”
แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนก็คำนวณเวลามาอย่างแม่นยำเช่นกัน
นางไม่สนิทกับตระกูลลู่ มาเร็วเกินไปก็ไม่ดี
พอได้ยินว่าฮูหยินติงกับฮูหยินหลี่ต่างก็เพิ่งมาเท่านั้น นางก็พยักหน้าในใจอย่างพอใจมาก และตัดสินใจว่าจะขึ้นเงินเดือนให้แม่นมผู้ติดตามที่ตระกูลหลี่ส่งมาให้นาง
ทั้งสองคนพูดคุยพลางหัวเราะและเข้าไปในห้องข้าง ฮูหยินติงกับฮูหยินหลี่กำลังฟังฮูหยินหลู่พูดอยู่ “…ร้านขายเครื่องประดับเงินทองหย่งเฟิงส่งแบบใหม่มาให้ข้า ร้านขายเครื่องประดับเงินทองชิ่งไท่ก็ส่งแบบใหม่มาให้ข้าเหมือนกัน แต่พอข้าดู เป็นใบแปะก๊วยหมดเลย หรือว่าตอนนี้นิยมใบแปะก๊วยอย่างนั้นหรือ? นี่เป็นแบบที่นิยมในเมืองหลวงหรือแบบที่นิยมของเจียงหนานกันแน่? ทำไมฮูหยินจวงยังไม่มา ไม่อย่างนั้นจะได้ถามนางสักหน่อย!”
พอได้ยินเสียง คนในห้องก็มองมาพร้อมกัน
ฮูหยินหลู่ทักทายเจียงเซี่ยนอย่างกระตือรือร้นทันที “ท่านหญิงมาแล้ว! เร็ว มานั่งตรงนี้ ข้ามีเรื่องจะถามท่านพอดี!”
เจียงเซี่ยนยิ้มพลางคารวะทุกคน และพบว่าพวกฮูหยินจวงกับฮูหยินเฉียนยังไม่มา
นางนั่งลงตรงข้ามฮูหยินติงกับฮูหยินหลี่ แล้วถามฮูหยินหลู่ว่า “ท่านจะถามอะไรข้าหรือ?”
ฮูหยินหลู่ก็เอ่ยสิ่งที่เอ่ยเมื่อครู่กับเจียงเซี่ยนอีกรอบ และถามว่า “ในเมืองหลวงนิยมแบบนี้หรือไม่?”
บอกตามตรง เจียงเซี่ยนสนใจของพวกนี้น้อยมาก
ยิ่งกว่านั้นนางใช้แต่ของที่ทำในวังมาตลอด ของพวกนี้เป็นที่นิยมหรือไม่ จึงไม่ค่อยเกี่ยวกับนางนัก
นางจำเป็นต้องยิ้มและเอ่ยว่า “เช่นนั้นท่านต้องถามฮูหยินจวง หากไม่ใช่แบบที่เจียงหนานนิยม ก็ต้องเป็นแบบที่ในเมืองหลวงนิยมอย่างแน่นอน” นางพูดไปก็อยากรู้ขึ้นมาว่า “ที่นี่ใกล้เมืองหลวงขนาดนี้ น่าจะเป็นแบบที่นิยมในเมืองหลวงกระมัง?”
ฮูหยินหลู่ได้ยินแล้วก็ยิ้มตลอด และเอ่ยว่า “แม้แต่ในเมืองหลวง ก็นิยมแบบของเจียงหนานเหมือนกัน ถนนแบบเมืองซูท่านรู้จักใช่หรือไม่? ของที่ขายทั้งหมดเป็นของแถบซูเจ้อ ทั้งถูกและสวย”
เจียงเซี่ยนอับอายจนเหงื่อตก
นางไม่รู้จักสถานที่นั้นจริงๆ!
ฮูหยินหลู่หัวเราะไม่หยุด และเอ่ยว่า “ครั้งหน้าข้าพาท่านไปเมืองหลวง แนะนำว่าท่านซื้อให้พอ!”
เจียงเซี่ยนแปลกใจมาก จึงเอ่ยว่า “ท่านไปเมืองหลวงบ่อยหรือ?”