มู่หนานจือ - บทที่ 337 ตระกูลหลู่
บ้านของใต้เท้าหลู่ตั้งอยู่ที่ถนนตะวันออกข้างศาลาว่าการเมืองของเจ้าเมืองไท่หยวน โดยยังคงความเงียบสงบท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่คึกคัก สองข้างตรอกเล็กล้วนเป็นกำแพงสูง ต้นการบูร ต้นฉัตรจีน และต้นพุทราที่เขียวชอุ่มและเจริญงอกงามทอดยาวเหยียดออกมาจากในลานบ้าน บดบังแสงแดดของฤดูร้อนที่ส่องมาโดยตรงเหมือนร่ม ทำให้คนเดินเข้ามาก็รู้สึกถึงความเย็น
คนที่อาศัยอยู่ที่นี่หากไม่ใช่คนร่ำรวยก็เป็นชนชั้นสูง
เจียงเซี่ยนเกาะแขนของฉิงเค่อลงจากรถม้า และถามฮูหยินเหอว่า “ตอนนั้นทำไมตระกูลของพวกเราไม่เลือกซื้อบ้านที่นี่”
เทียบกับเสียงอึกทึกครึกโครมของถนนหลังกองบัญชาการแล้ว ที่นี่ดีกว่ามาก
ฮูหยินเหอหน้าแดงเล็กน้อย และเอ่ยว่า “เดิมทีก็อยากซื้อบ้านที่นี่เหมือนกัน แต่ซื้อไม่ได้”
บางทีอาจจะมีคนไม่ยอมขาย
เจียงเซี่ยนไม่ถามอะไรอีก
เพราะฮูหยินหลู่ออกมาต้อนรับด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มโดยมีสาวใช้กับหญิงรับใช้เจ็ดแปดคนล้อมอย่างแน่นหนาแล้ว
“ในที่สุดท่านก็มาสักที” นางเข้ามาจับมือของเจียงเซี่ยน “ฮูหยินติงกับฮูหยินหลี่ต่างก็มาถึงแล้ว กำลังถามถึงท่านอยู่เลย!”
“นี่ก็เพราะเพิ่งจะเปลี่ยนแม่บ้านที่ติดตามรถ จึงเสียเวลาระหว่างทางไม่ใช่หรือ?” เจียงเซี่ยนคุยกับนางเล็กน้อย แล้วเอียงตัวมาแนะนำฮูหยินเหอ หลี่ตงจื้อ และเหอถงเหนียงที่ติดตามนางมาให้ฮูหยินหลู่
“ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับ!” ฮูหยินหลู่เอ่ยอย่างเป็นมิตร “ข้ายังกลัวว่าท่านกับคุณหนูทั้งสองจะมีธุระและมาไม่ได้ พอพวกท่านมา ตอนนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์แบบแล้ว”
“ฮูหยินหลู่เกรงใจเกินไปแล้ว!” ฮูหยินเหอตอบ
ทุกคนคุยกันสองสามคำ แล้วตามฮูหยินหลู่ไปโถงบุปผาที่ตระกูลหลู่รับรองแขกในวันนี้
เจียงเซี่ยนนั่งลงที่โถงบุปผา และอดที่จะแอบพยักหน้าไม่ได้
โถงบุปผาที่พวกนางเป็นแขกนั้นเป็นห้องกว้างขนาดสามห้อง ทางใต้มีสระน้ำเล็กๆ ทางเหนือมีแปลงดอกไม้เล็กๆ ทางใต้กับทางเหนือล้วนเป็นประตูไม้สีทองไหมทองฝังกระจกสี หากเปิดประตูทางใต้ จะกั้นกลางด้วยสระน้ำ และมีเวที หากเปิดประตูทางเหนือ จะกั้นกลางด้วยแปลงดอกไม้ และเป็นสวนดอกไม้ใหญ่
เวลานี้จะแสดงงิ้ว ก็เปิดประตูทางใต้
พอมองไป ต้นหญ้ากับต้นไม้แน่นขนัดจนช่วยบดบังแสงอาทิตย์ บนสระน้ำยังมีเป็ดแมนดารินสองสามคู่ว่ายอยู่ในสระอย่างสบายอกสบายใจ ต้นหลิวริมสระน้ำปัดผิวน้ำเบาๆ ทิวทัศน์งดงามมาก
ฮูหยินหลู่รับจานผลไม้ที่สาวใช้ถือเข้ามาไปวางลงบนโต๊ะชาใกล้มือเจียงเซี่ยน แล้วยิ้มพลางเลือกลูกพลัมสีแดงเข้มจากในจานผลไม้ยื่นให้เจียงเซี่ยน “ท่านลองชิมดู ข้าปลูกเอง”
“ท่านยังชอบเรื่องพวกนี้ด้วยหรือ!” เจียงเซี่ยนแปลกใจเล็กน้อย
ฮูหยินติงกับฮูหยินหลี่นั่งอยู่ตรงข้ามเจียงเซี่ยน พอได้ยินฮูหยินหลี่ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นางไม่เพียงแต่ชอบปลูกไม้ผล ยังชอบทำดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์ด้วย…ดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์ที่สาวใช้ในจวนของพวกนางทำ ส่งเป็นของขวัญเทศกาลตรุษจีนให้พวกเราทุกปี ไม่รู้ว่าลดงานให้นางไปตั้งเท่าไร!”
น้ำเสียงนั้น พอได้ยินก็รู้ว่ากำลังหยอกฮูหยินหลู่เล่น ทว่ากลับทำให้เจียงเซี่ยนประหลาดใจอีกครั้ง
ฮูหยินหลู่หัวเราะ และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “ท่านอย่าฟังฮูหยินหลี่ นางแค่อยากหัวเราะเยาะที่ข้าทิ้งงานของตนเองไปทำอย่างอื่น เพราะปีที่แล้วข้ายุ่งอยู่กับการทำดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์กับสาวใช้ในจวน จนจำวันเกิดของนายหญิงใหญ่ตระกูลหยวนผิด คนอื่นต่างไปกินเหล้า ข้าไม่เพียงแต่ไม่ไป ทว่ายังรีบไปวันรุ่งขึ้นด้วย นี่จึงกลายเป็นเรื่องตลกใหญ่ในเมืองไท่หยวน”
นางพูดไป สีหน้าแลดูทุกข์ใจ แต่กลับฉายแววหัวเราะเยาะตนเองอยู่อย่างเบาบาง
คนที่กล้าหัวเราะเยาะตนเอง ล้วนเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบได้
จู่ๆ เจียงเซี่ยนก็นึกถึงสิ่งที่ไทฮองไทเฮาพูดกับนางตอนเด็ก
นางอดที่จะให้ความสำคัญฮูหยินหลู่ไม่ได้
ฮูหยินของผู้บัญชาการหวังนั่งอยู่ข้างหลังฮูหยินเหอ
นางอยากคุยกับฮูหยินหวังหลายครั้ง แต่เห็นฮูหยินหวังคุยกับฮูหยินเฉียนที่นั่งอยู่ข้างหลังนางเรื่องอากาศสองสามวันนี้ตลอด กลัวว่าหลังฤดูใบไม้ร่วงฝนจะตกหนักติดต่อกัน และส่งผลต่อการเก็บเกี่ยวในวันนี้ นางเอ่ยแทรกไม่ได้ จึงทำได้เพียงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างร้อนใจเปล่าๆ
ดีที่ฮูหยินหวังไม่ใช่คนแบบที่เอาแต่พูดเอง พอหัวข้อสนทนาจบลงชั่วคราว นางก็ยิ้มให้ฮูหยินเหออย่างรู้สึกเสียใจ และเอ่ยว่า “พวกเราคุยเรื่องพวกนี้กันเจ้าฟังแล้วคงเบื่อมากใช่หรือไม่! ตอนแรกสุดที่ใต้เท้าเฉียนเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนัก เคยเป็นปลัดอำเภอที่เฝินหยาง ควบคุมการผลิตทางการเกษตร จนกลายเป็นความเคยชินแล้ว ฮูหยินเฉียนจึงสนใจเรื่องการเกษตรมากตามไปด้วย”
ฮูหยินเหอเอ่ยอย่างไร้ชีวิตชีวาว่า “นี่เป็นเรื่องดีนี่นา! แต่ข้าไม่รู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นจะได้คุยกับทุกคน”
“มีใครเข้าใจจริงๆ หรือ!” ฮูหยินเฉียนถอนหายใจ และเอ่ยว่า “ข้าก็เพียงแค่ฟังนายท่านของพวกเราพูดมาเช่นกัน การเก็บเกี่ยวของซานซีปีที่แล้วไม่ดี หากการเก็บเกี่ยวของปีนี้ยังไม่ดีอีก เกรงว่า…” นางกลืนคำว่า ‘ประชาชนลุกฮือ’ ลงไป และเปลี่ยนเป็น “พวกครอบครัวเกษตรกรก็จะยิ่งใช้ชีวิตลำบาก”
เรื่องนี้ฮูหยินเหอเข้าใจ นางจึงเอ่ยว่า “เมื่อก่อนตอนที่พวกเราอยู่ฝูเจี้ยน จวนจิ้งไห่โหวจะพาพวกเราไปแจกข้าวต้ม”
ฮูหยินเฉียนได้ยินแล้วอยากพูดทว่าก็หยุดไว้
ฮูหยินเหอรีบเอ่ยว่า “ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา ข้าพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดหรือเปล่า ฮูหยินบอกข้ามาได้เลย”
ฮูหยินเฉียนมองฮูหยินหวังครั้งหนึ่ง พอเห็นฮูหยินหวังสีหน้าเยือกเย็น ถึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ทางการยังไม่เปิดยุ้งฉางแจกข้าว หากพวกเราแจกข้าวต้ม จะไม่เป็นการว่าฝ่าบาทไม่มีเมตตาอย่างนั้นหรือ?”
ฮูหยินเหอตกใจมาก และรีบเอ่ยว่า “ท่านก็ถือว่าข้าไม่เคยพูดแล้วกัน”
ฮูหยินเฉียนเห็นฮูหยินเหอหน้าซีดไปหมดแล้ว และรู้ว่าฮูหยินเหอเป็นคนซื่อเช่นกัน จึงรู้สึกอยากคบหาขึ้นมาเล็กน้อย นางจึงเปลี่ยนเรื่องเอง โดยเอ่ยถึงเรื่องที่ว่ากันว่าช่วงนี้เฉียวจี้ที่ขายเครื่องดื่มเย็นตรงถนนเหนือออกแบบใหม่มาอีกแล้ว…
ฮูหยินเหอยิ้มพลางเอ่ยว่าหากมีเวลาจะต้องไปลองชิมอย่างแน่นอน
กำลังคุยกันอยู่ พวกฮูหยินซือ คุณหนูสามตระกูลซือ และฮูหยินจวงก็มาถึงแล้ว
ครั้งนี้ฮูหยินจวงยังพาเด็กสาวที่อายุสิบสองสิบสามปีมาด้วย
เด็กสาวคนนั้นหน้าตาคล้ายฮูหยินจวงอยู่เจ็ดแปดส่วน หน้าตาธรรมดามาก แต่ใบหน้าเล็กกลับเชิดสูง แลดูทั้งเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจ
ฮูหยินหลู่แนะนำกับทุกคนว่านี่คือลูกสาวของฮูหยินจวง
เจียงเซี่ยนก็มอบกำไลหยกมันแพะที่สวมอยู่บนมือให้เป็นรางวัลแก่นางตอนที่นางคารวะตนเอง
นางคารวะและขอบคุณอย่างสุภาพ แล้วตามแม่บ้านไปห้องข้างโถงบุปผา คุณหนูของหลายตระกูลต่างก็เล่นอยู่ที่นั่น
หลังจากนั้นไม่นาน ฮูหยินลู่กับคุณหนูใหญ่ตระกูลลู่ก็มาเช่นกัน
เจียงเซี่ยนอดที่จะเอ่ยอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “ทำไมไม่เห็นคุณหนูรอง?”
ฮูหยินลู่ยิ้มและเอ่ยว่า “เมื่อเช้านางตื่นมาซน ทำไหลายดอกไม้สีน้ำเงินสมัยราชวงศ์หยวนในบ้านแตก พ่อของนางจึงลงโทษนางโดยให้เขียนตัวอักษรใหญ่ห้าร้อยตัว นางกำลังเขียนตัวอักษรใหญ่ไปร้องไห้ไปอยู่ในบ้าน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมตามข้ามา”
ทุกคนหัวเราะพร้อมกัน
หลังจากคุณหนูจวงถูกพาออกไปแล้ว ฮูหยินจวงก็นั่งลงข้างหลังฮูหยินเฉียน
ไม่เพียงแต่คนละฝั่งกับฮูหยินลู่ที่เมื่อครู่นั่งอยู่ข้างหลังฮูหยินหลี่ ทว่าเพราะทางฝั่งฮูหยินเฉียนมีคนนั่งเยอะมาก จึงอยู่ไกลจากฮูหยินลู่เล็กน้อย
เจียงเซี่ยนแอบสังเกต
และพบว่าตลอดทั้งงานเลี้ยง ฮูหยินจวงกับฮูหยินลู่ไม่เคยคุยกันแม้แต่คำเดียว ต่อให้บางครั้งฮูหยินลู่เข้าไปใกล้ ฮูหยินจวงก็เหมือนมองไม่เห็นเช่นกัน
ดูเหมือนบุญคุณและความแค้นของตระกูลลู่กับตระกูลจวงจะไม่ถูกขจัดเพราะการยอมศิโรราบของฮูหยินลู่
วันนี้คณะสื่อเจียแสดง ‘ฉีซวงฮุ่ย’ ที่ตระกูลลู่ ชาติก่อนเจียงเซี่ยนเคยดูครั้งหนึ่ง ทว่าตอนนั้นนางเป็นไทเฮาแล้ว สื่อชิงไม่แสดงงิ้วอีกแล้ว คนที่รับช่วงต่อเป็นหัวหน้าคณะของคณะสื่อเจียและแสดงตัวละครหลักคือสื่อจู คิดดูแล้ว เวลานี้เขายังไม่เข้าคณะงิ้ว
เจียงเซี่ยนทำจิตใจให้สงบและตั้งใจดูสื่อชิงแสดงงิ้ว สัมผัสความแตกต่างของสื่อชิงกับสื่อจูอย่างละเอียด
แต่ฮูหยินหลู่กลับถูกฮูหยินลู่ลากไปที่ทางเดินนอกโถงบุปผา