มู่หนานจือ - บทที่ 35 คาดเดา
“ข้ายังไม่ได้ตัดสินใจ!” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม และตอบอย่างเลี่ยงประเด็นสำคัญ
แต่หลี่เชียนกลับได้ยินแล้วแอบรู้สึกตกใจ
อย่างไรก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายขนาดแค่พบว่าคนที่ฮ่องเต้เลี้ยงไว้ข้างนอกตั้งครรภ์
เจียงเซี่ยนเป็นท่านหญิงเจียหนาน เป็นหนึ่งในสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้านี้ หากนางจะคิดเล็กคิดน้อย ถึงผู้หญิงท้องนั้นจะเป็นบุตรสาวของจวนโหว นางโบยคนจนตายแล้ว คนในตระกูลของผู้หญิงคนนั้นยังอาจจะขอบคุณนางด้วยที่มอบสิ่งที่ใช้ปิดบังความอัปยศแก่พวกเขา หากเป็นสตรีในวังก็ยิ่งง่ายแล้ว ท่านหญิงเจียหนานไม่จำเป็นต้องลงมือเองด้วยซ้ำ เพียงแค่เปิดเผยเรื่องนี้กับไทฮองไทเฮาหรือเฉาไทเฮาเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กก็อย่าได้คิดที่จะมีชีวิตอยู่เลย…ถึงท่านหญิงเจียหนานจะมีเมตตา เก็บเด็กเอาไว้ ผู้ใหญ่ก็ต้องตายอย่างแน่นอน
ที่นางยังไม่ได้ตัดสินใจคือยังคิดไม่ออกว่าจะจัดการผู้หญิงท้องนี้อย่างไรหรือยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หรือไม่?
นางกลัวจะทำให้ฮ่องเต้เสียหน้าอย่างนั้นหรือ?
ฮูหยินผู้เป็นภรรยาหลวงมากมายอดทนกับอนุภรรยา เพียงเพราะไม่อยากทะเลาะกับสามีเท่านั้น ท่านหญิงเจียหนานคงจะไม่ได้คิดแบบนี้กระมัง?
พอคิดถึงตรงนี้ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมองของหลี่เชียนทันที
ทำไมเขาถึงโง่แบบนี้!
จนถึงเวลานี้เฉาไทเฮายังไม่ยอมให้ฮ่องเต้แต่งงาน เพื่อที่จะไม่มอบอำนาจคืนให้ฮ่องเต้ ก็ยิ่งไม่มีทางให้ฮ่องเต้แต่งงานกับท่านหญิงเจียหนานแล้ว
เขาแค่คิดว่าเรื่องแต่งงาน ชายหญิงต่างชอบพอกันจะดีที่สุด ทว่ากลับลืมไปว่าราชวงศ์นั้นไร้ความรู้สึกที่สุด ไม่ว่าจะเป็นท่านหญิงเจียหนานหรือฮ่องเต้ก็ตาม ก็ต่างเป็นคนที่ไม่มีสิทธิตัดสินใจเรื่องการแต่งงานของตนเองกันทั้งคู่
ไม่อย่างนั้นเฉาไทเฮาก็คงจะไม่คิดหาวิธีจัดการกับท่านหญิงเจียหนาน
เวลานี้ดูเหมือนไม่ใช่ว่าท่านหญิงเจียหนานไม่อยากจัดการผู้หญิงท้องคนนั้น แต่ขาดเหตุผลที่เหมาะสม จึงไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้ได้จริงๆ!
หลี่เชียนก็ไม่อยากล่วงเกินฮ่องเต้เช่นกัน!
เป็นผู้ชายก็คงทนไม่ได้ที่พื้นที่ที่ตนเองครอบครองถูกคนรุกรานและบุกเข้ามากระมัง?
เฉาไทเฮาเป็นมารดาของตนเอง เขาจึงทำได้เพียงอดทน ทว่าท่านหญิงเจียหนานเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวของตนเอง เขาก็อาจจะไม่อดทนกับท่านหญิงเจียหนาน
หลี่เชียนคิดแล้วก็ถอนหายใจในใจ
ท่านหญิงเจียหนานนี่ก็โง่เขลาเช่นกัน สนใจว่าฮ่องเต้เลี้ยงคนไว้ข้างนอกหรือเปล่า มีทายาทหรือเปล่า นางควรจะใช้เวลานี้ไปกับไทฮองไทเฮาถึงจะถูก หากไทฮองไทเฮาอนุญาตแล้ว ตระกูลเจียงก็เห็นด้วยแล้ว และฮ่องเต้ก็ยินยอมด้วย เรื่องแต่งงานนี้ถึงเฉาไทเฮาจะไม่ยินยอม ก็มีทางที่นางจะประนีประนอมได้เช่นกัน…
ความคิดแล่นผ่านไป หลี่เชียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
บางทียอมฆ่าผิดคน ดีกว่าปล่อยเอาไว้
ทว่าท่านหญิงเจียหนานกลับต้องหาหลักฐานให้เจอให้ได้เสียก่อน
หรือท่านหญิงเจียหนานคิดว่าจัดการอย่างไรล้วนเป็นเรื่องเล็ก แต่จริงๆ แล้วฮ่องเต้เคยทำหรือไม่ต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ
นาง…คงจะชอบฮ่องเต้มากกระมัง!
หลี่เชียนเหมือนรู้สึกว้าวุ่นใจขึ้นมาในทันใด
เขายกถ้วยชาที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาดื่มอึกใหญ่อึกหนึ่ง
ใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำไหลตามน้ำเข้าไปในปาก เขาสำลักจนไอติดกันหลายครั้ง
เจียงเซี่ยนรีบเอ่ยว่า “เป็นอะไรหรือไม่?” แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้เขา ทว่าคิดอีกทีก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม ผ้าเช็ดหน้าที่ยื่นไปถึงกลางอากาศแล้วจึงหดกลับไปอีก
หลี่เชียนยังคงตกอยู่ในภวังค์ของข้อสรุปที่ตนเองได้มาเมื่อครู่ จึงไม่สังเกตเห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของเจียงเซี่ยนสักนิด และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนอย่างรู้สึกผิดมากว่า “ขออภัย เสียมารยาทแล้ว”
เจียงเซี่ยนมองใบหน้าที่แดงก่ำของเขา และเม้มปากยิ้ม
นางไม่เห็นหลี่เชียนเป็นแบบนี้นานมากแล้ว
เหมือนก่อนการยึดอำนาจในราชสำนัก หลี่เชียนคุยกับนางอย่างเรื่อยเปื่อยและไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยในชีวิตเลย กลืนชาอยู่ หรือนางมอบของว่างที่หวานเกินไปให้เขา เขาไม่ชอบ แต่ก็จำเป็นต้องกิน หรือจามเพราะขนของสุนัขพันธุ์ปักกิ่งที่นางเลี้ยงร่วง เขาก็จะแสดงราวกับไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย…หลังจากเกิดการยึดอำนาจในราชสำนัก พวกเขาก็ไม่มีใครลืมตัวต่อหน้ากันอีกแล้ว…ตอนหลังถึงเขาจะลืมตัวต่อหน้านาง นางก็แสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียวและทำตัวเย็นชาได้เช่นกัน
เจียงเซี่ยนคิดพลางก้มหน้าลง แล้วบีบถ้วยชาที่อยู่ในมือแน่น
มีเด็กรับใช้นำชาและของว่างเข้ามาให้
ทว่าเจียงเซี่ยนกลับไม่สบายใจที่จะแกล้งหลี่เชียนอีกแล้ว
นางแค่รู้สึกอึดอัดใจ และไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกอึดอัดขึ้นมา อยากออกไปเดินก็กลัวถูกคนเห็นเข้าและทำลายการออกมาข้างนอกในครั้งนี้ จึงยิ่งไม่อยากคุยกับหลี่เชียน
นางรู้สึกกระวนกระวายใจ จนรอไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดคนที่หลี่เชียนส่งออกไปก็ตอบกลับมา
นั่นเป็นผู้หญิงที่อายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปี หน้าตาและการแต่งตัวธรรมดามาก แต่นัยน์ตากลับใสแจ๋วและแวววาวจนทำให้เสียอาการ กิริยาท่าทางคล่องแคล่วและแข็งแรง เหมือนกับคนที่ชื่ออวิ๋นหลินมาก
นางคารวะหลี่เชียนอย่างนอบน้อม และก้าวมาข้างหน้าเล็กน้อยจะรายงานเสียงเบา ทว่าหลี่เชียนกลับเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรที่แม่นางผู้นี้ฟังไม่ได้”
ผู้หญิงคนนั้นเหมือนทนไม่ไหว จึงเงยหน้าขึ้นมาปรายตามองเจียงเซี่ยนอย่างเร็วมาก แล้วถอยหลังไปเล็กน้อย ยืนอยู่ระหว่างทั้งสองคน และเอ่ยเสียงเบาว่า “พวกเราเข้าไปในเรือนด้านใน มีผู้หญิงที่อายุราวยี่สิบห้ายี่สิบหกปีหนึ่งคน สาวใช้สองคน แม่บ้านที่จุดไฟหนึ่งคน แม่บ้านที่ทำงานบ้านหนึ่งคน และเวรยามสี่คนอาศัยอยู่ในเรือนด้านใน…” พอเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็ชะงักไปและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยต่อว่า “คนเฝ้ายามสี่คนนั้นฝีมือดีมาก ตอนที่พวกเราเข้าไปใช้ยาสลบแล้ว หนึ่งในนั้นเหมือนจะรู้สึกตัว ก่อนหน้านี้ท่านสั่งว่าต้องไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ ข้าเกรงว่า…หากเขาลองคิดดูดีๆ แล้วจะรู้ว่ามีคนเข้าไปในเรือนด้านใน”
หลี่เชียนได้ยินผู้หญิงคนนี้ตอบเช่นนี้ก็แปลกใจมาก และเอ่ยว่า “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“แน่ใจเจ้าค่ะ!” ผู้หญิงตอบอย่างเด็ดขาด แล้วเอ่ยว่า “ข้าสงสัยว่าในยามสี่คนนั้นมีคนหนึ่งเป็นคนของสำนักปัญจธาตุหลิ่งหนาน” แล้วนางก็เผยสีหน้างุนงงออกมา “แต่สำนักปัญจธาตุหลิ่งหนานคุยโวโอ้อวดว่าเป็นสำนักธรรมะมาโดยตลอด แล้วจะมาเป็นคนเฝ้ายามให้คนอื่นได้อย่างไร และยาสลบนั้นของข้าก็เป็นสูตรลับที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ต่อให้เป็นคนของสำนักปัญจธาตุ ไม่ใช่คนระดับปรมาจารย์ก็ไม่มีทางรู้ได้…”
ถึงแม้เจียงเซี่ยนจะไม่เข้าใจเรื่องสำนักปัญจธาตุ แต่นางฟังออกว่าคนที่เฝ้าบ้านของคนสกุลฟางสี่คนนั้นเก่งมาก
ผู้หญิงคนนี้รู้สึกแปลกใจ ทว่านางกลับยิ่งมั่นใจมากขึ้นแล้ว
เรียนทั้งบุ๋นและบู๊มาก็เท่านั้น สุดท้ายก็ต้องอุทิศให้ฮ่องเต้และออกแรงเพื่อราชสำนัก
คนทั่วหล้าล้วนถูกราชวงศ์ใช้งาน
จ้าวอี้อยากปกป้องคน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องคุยโวโอ้อวดว่าเป็นสำนักธรรมะ ต่อให้คุยโวโอ้อวดว่าเป็นสำนักเทียนอีของผู้นำลัทธิเต๋าก็ต้องยอมศิโรราบเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
เห็นได้ชัดว่าหลี่เชียนก็รู้แล้วเช่นกัน เขาข้ามเรื่องนี้ไปและเข้าประเด็นหลักทันทีว่า “พวกเจ้าหาผู้หญิงท้องเจอหรือไม่?”
ผู้หญิงคนนั้นแปลกใจมาก และเอ่ยว่า “ผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นก็คือผู้หญิงท้องคนนั้นไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” เจียงเซี่ยนเหมือนเห็นผี นางมองผู้หญิงคนนั้นตาโต ใบหน้าราวกับชุดไว้ทุกข์ นางลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน และเอ่ยเสียงเฉียบขาดว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
ผู้หญิงคนนั้นมองหลี่เชียนอย่างไม่เข้าใจ แล้วถึงเห็นว่าหลี่เชียนก็สีหน้าเปลี่ยนไปมากเช่นกัน
นี่เป็นอะไรไปกัน?
ผู้หญิงคนนั้นนึกสิ่งที่อวิ๋นหลินต้องการก่อนเข้าไปในเรือนด้านในขึ้นมาได้ จึงรีบเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ แม่นาง ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาขาวเกลี้ยงเกลา รูปร่างปานกลาง อกโตสะโพกใหญ่ แต่หน้าตาสวยมาก ตอนที่ยิ้มขึ้นมาคิ้วเรียวยาวทั้งสองข้างโค้งเหมือนใบหลิว มุมปากยังมีลักยิ้มอย่างเบาบางด้วย ดูท่าทางตั้งครรภ์ได้ประมาณห้าหกเดือนแล้ว…”
แม่นมฟางตั้งท้องหรือ?
เจียงเซี่ยนรู้สึกเหมือนหายใจติดขัด
นางมองไปทางหลี่เชียนอย่างงุนงง
ในแสงที่ส่องผ่านลายฉลุหน้าต่างที่ติดกระดาษเกาหลีเข้ามานั้น สีหน้าของหลี่เชียนคลุมเครือและยากที่จะเข้าใจได้
แบบนี้ก็เป็นเรื่องจริงน่ะสิ!
เจียงเซี่ยนในสมองว่างเปล่า ทว่าในใจกลับพึมพำเหมือนยังไม่ยอมเลิกล้มว่า “หัวคิ้วข้างซ้ายของผู้หญิงคนนั้นมีไฝขนาดเท่าเมล็ดข้าวหรือไม่?”
———————————