มู่หนานจือ - บทที่ 41 เข้าใจผิด
ตอนที่หลี่เชียนลงจากรถม้านั้นบนหน้าไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย ทำให้หญิงรับใช้ที่เจอเขาระหว่างทางต่างก็ประหม่า ตอนที่คารวะเขาจึงนอบน้อมมากขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย
เซี่ยหยวนซีก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาทำหน้าไม่สบอารมณ์ตามหลี่เชียนเข้าไปในห้องหนังสือ รอปิงเหอยกชากับของว่างเข้ามาก็ไล่คนรับใช้ออกไปแล้วปิดประตู
“เกิดอะไรขึ้นขอรับ?” เขาเอ่ยอย่างกังวล “ข้าเห็นพวกท่านไม่ได้ไปฝ่ายซักล้าง แต่กลับไปตรอกใต้เท้าเจิ้งแทน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ขอรับ?”
ก่อนที่หลี่เชียนจะไปเจอเจียงเซี่ยนก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ จึงแน่นอนว่าต้องเหลือทางหนีทีไล่ไว้
เซี่ยหยวนซีเป็นทางหนีทีไล่ของเขา ดังนั้นเขากับเจียงเซี่ยนทำอะไรไปบ้าง อีกฝ่ายก็รู้ดี ทว่าไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบาง
หลี่เชียนยิ้มไม่ออกอีกแล้ว เขาไปห้องลับที่ชั้นลอยของห้องหนังสือกับเซี่ยหยวนซี และเอ่ยเสียงเบาว่า “หากเดาไม่ผิด ฝ่าบาทคิดจะลอบวางแผนว่าราชการด้วยพระองค์เอง และอาจจะเป็นช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของเฉาไทเฮา…”
เซี่ยหยวนซีตกใจจนหน้าซีดเผือด
ตระกูลหลี่เพิ่งจะแสดงความจงรักภักดีต่อเฉาไทเฮาไปเอง
หากเฉาไทเฮาสูญเสียอำนาจ จากนี้ไปตระกูลหลี่อาจจะไม่มีวันลุกขึ้นมาได้อีกแล้ว หากฮ่องเต้สูญเสียอำนาจ…เว้นแต่ว่าเฉาไทเฮาจะตัดสินใจฆ่าลูกชายของตนเองได้อย่างเด็ดขาด และตั้งฮ่องเต้ที่ยังเยาว์วัยขึ้นมาใหม่ ไม่อย่างนั้นตระกูลหลี่ที่เป็นผู้ติดตามเฉาไทเฮาก็ต้องถูกคิดบัญชีสักวัน
ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง ตระกูลหลี่ก็จะใช้ชีวิตอย่างลำบาก เหล่าผู้ช่วยอย่างพวกเขาก็จะหมดความหมายไปด้วย
เขารีบเอ่ยว่า “ท่านหญิงเจียหนานเป็นคนบอกท่านหรือ?”
หลี่เชียนเงียบอยู่นาน
ภาพที่เจียงเซี่ยนนั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้นอย่างสงบปรากฏขึ้นในความทรงจำ
โดดเดี่ยวและอ้างว้างอย่างที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้
ทำให้เขานึกถึงแล้วรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเล็กน้อย
“คนที่ฉลาดล้ำลึกอย่างนาง จะเอ่ยออกมาตรงๆ ได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นเรื่องนี้ยังเกี่ยวพันถึงตระกูลเจียงจวนเจิ้นกั๋วกงและตระกูลหวังจวนชินเอินป๋อ” หลี่เชียนเอ่ยเสียงทุ้มลึก “แต่นางบอกสิ่งที่สามารถบอกได้กับข้าหมดแล้ว…” เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้เซี่ยหยวนซีฟังอย่างละเอียด “ทางเฉาไทเฮานั้นแน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงแล้ว เหล่าขุนนางจากสำนักราชเลขาธิการที่ช่วยฝ่าบาทบริหารราชการแผ่นดิน เสนาบดีกรมขุนนาง และพวกแม่ทัพจากต้าถง เมืองเซวียน และเมืองจี้ ล้วนเป็นคนของนาง ทางฝ่าบาทนี้ดูเหมือนจะมีไทฮองไทเฮากับอ๋องเจี่ยน แต่ไทฮองไทเฮาเก็บตัวอยู่ในวังหลัง สุดท้ายก็ทำได้เพียงออกพระราชเสาวนีย์แสดงระบบการสืบสันตติวงศ์ของราชวงศ์หลังจากทำสำเร็จแล้ว อ๋องเจี่ยนเป็นอาของฮ่องเต้พระองค์ก่อน คุมกรมวัง มีความสัมพันธ์อันดีกับขุนนางทั้งราชสำนักและพระญาติทางฝ่ายไทฮองไทเฮาที่สร้างความดีความชอบให้แคว้นอย่างใหญ่หลวง ทว่าเขาไม่มีอำนาจทางการทหารอยู่ในมือ ถึงจะอยากช่วยสนับสนุนฝ่าบาทแต่ก็ไม่มีความสามารถพออยู่ดี ส่วนจวนชินเอินป๋อที่เป็นพระญาติทางฝ่ายไทฮองไทเฮานั้น ไม่มีอะไร ก็มองข้ามไปได้เลย”
“มีแต่จวนเจิ้นกั๋วกงเท่านั้น ตอนที่ราชวงศ์นี้ก่อตั้งแคว้นใหม่ ตระกูลเจียงก็เป็นหนึ่งในสิบกั๋วกง อำนาจของฮ่องเต้ในราชสำนักเกิดการสับเปลี่ยน หนึ่งในสิบกั๋วกงเหลือเพียงสามตระกูล ซึ่งอีกสองตระกูลนั้นตกอับไปตั้งนานแล้ว โดยไม่เพียงแต่ไม่มีลูกหลานที่มีความสามารถ แม้แต่คุณสมบัติในการเข้ากองบัญชาการห้าทัพก็ไม่มี มีเพียงตระกูลเจียงที่ภายนอกถ่อมตนและอดทน แต่ภายในกลับเอาตนเองเป็นศูนย์กลางและดื้อรั้น และยังคงมีนิสัยซื่อสัตย์และทะนงของกั๋วกงที่ก่อตั้งแคว้นใหม่อยู่ แถมยังมีกองทัพที่ทรงพลังอยู่ในมือ และตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นใหม่มาก็ผ่านการรับตำแหน่งสำคัญหลายแห่งที่ชานเมืองหลวงวงแหวนที่ห้า[1]มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นค่ายทหารภูเขาตะวันตกหรือกองบัญชาการปัญจทิศรักษานคร กระทั่งฐานที่มั่นเทียนจิน ก็สามารถค้นหาความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเจียงได้เช่นกัน เป็นตระกูลที่เป็นของจริง หากฝ่าบาทอยากว่าราชการด้วยพระองค์เอง ก็จำเป็นต้องคุมขังเฉาไทเฮา ขอเพียงได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเจียง งานก็สำเร็จไปเกินครึ่งแล้ว”
“แน่นอน ก็ไม่ใช่ว่าราชวงศ์นี้นอกจากตระกูลเจียงก็ไม่มีคนที่เหมาะสมกว่าแล้ว แต่ใครใช้ให้ตระกูลเจียงอยู่เมืองหลวง แถมยังมีท่านหญิงคนหนึ่งที่เติบโตที่วังฉือหนิงและอยู่ในวัยออกเรือนเล่า!”
“เจ้าว่า…หากเจ้าเป็นฝ่าบาท จะทำอย่างไร?”
เซี่ยหยวนซีพึมพำว่า “แน่นอนว่าต้องเกี่ยวดองกับท่านหญิงเจียหนานอยู่แล้ว!”
ทว่าตามข่าวที่พวกเราได้รับ เฉาไทเฮาไม่อยากให้ฮ่องเต้แต่งงานด้วยซ้ำ แถมยังอยากให้เฉาเซวียนเฉิงเอินกงชักนำท่านหญิงเจียหนานให้มาอยู่ในกำมือ
หลี่เชียนพยักหน้า สีหน้ายิ่งดูแย่มากขึ้น และเอ่ยว่า “สุดท้ายกลายเป็นว่าท่านหญิงเจียหนานกลับแอบจับชู้ของฝ่าบาท นี่หมายความว่าอะไร?”
“เป็นเพราะฝ่าบาทแสดงท่าทีพิรุธหรือ?” สีหน้าของเซี่ยหยวนซีก็ไม่ได้ดีไปกว่าหลี่เชียนเช่นกัน พลางเอ่ยว่า “ท่านหญิงเจียหนานยังอายุไม่ครบสิบห้าปีเต็ม จึงยังไม่ถึงวัยออกเรือน ถึงนางจะชอบฝ่าบาทแค่ไหน ไม่มีการแนะนำจากแม่สื่อ เรื่องบางเรื่องก็ทำได้เพียงซ่อนไว้ในใจเช่นกัน และฝ่าบาทจะมากรักเท่าไร ก็ไม่เกี่ยวกับนางเช่นกัน แต่จู่ๆ นางกลับเริ่มก้าวก่ายความรักของฝ่าบาท นางต้องได้ยินข่าวว่าทั้งสองตระกูลจะเกี่ยวดองกันมาแน่ๆ ทุกคนต่างรู้ว่าเฉาไทเฮามีจิตใจทะเยอทะยาน ดังนั้นการเกี่ยวดองกับตระกูลเจียงจึงดำเนินการอย่างเป็นความลับ…แล้วก็ต้องกำจัดเฉาไทเฮาอย่างไม่ต้องสงสัย…โอกาสที่ดีที่สุดก็คือตอนที่เฉาไทเฮาจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา งานเลี้ยงใหญ่โต ผู้คนมากมาย ทว่าเวลาที่สำคัญขนาดนี้ เจียงลวี่กลับไม่รู้อยู่ที่ไหน และหวังจ้านก็ไม่อยู่จวนเช่นกัน…”
เซี่ยหยวนซีพูดไปก็เหงื่อตกเต็มหลัง
เขาปรึกษาหลี่เชียน “หากลงมือวันงานเฉลิมพระชนมพรรษาของเฉาไทเฮาจริง พวกเราจะทำอย่างไร? จะเลือกทางใหม่หรือเลือกทางเดิม? หากเลือกทางใหม่ ด้วยเวลาสั้นขนาดนี้ และใต้เท้าก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากเฉาไทเฮาถึงได้มีสิทธิเข้าเมืองหลวงมาอวยพรวันเกิด ฝ่าบาทจะทรงเชื่อใจพวกเราหรือ? และถึงฝ่าบาทจะทรงเชื่อพวกเรา หลังจากจบเรื่องแล้วจะไม่แตกคอกันหรือ? หากเลือกทางเดิม มีตระกูลเจียงเข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้ เฉาไทเฮาก็ตกที่นั่งลำบาก และหากเฉาไทเฮาหมดอำนาจ พวกเราจะทำอย่างไร?” เขาถามในท้ายที่สุด “ท่านหญิงเจียหนานว่าอย่างไร?”
“นั่นน่ะสิ!” หลี่เชียนถอนหายใจ พลางเอ่ยว่า “ซ้ายก็ยาก ขวาก็ยาก แล้วยังท่านพ่อ ข้าไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรดี? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาอาจจะไม่เชื่อข้า แต่จะรอให้เขาสืบได้ประมาณหนึ่ง ก็เกรงว่าทางฝ่าบาทจะลงมือไปก่อนแล้ว”
เกี่ยวพันถึงหลี่ฉางชิง เซี่ยหยวนซีก็ไม่อาจพูดอะไรได้
หลี่เชียนนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น ทว่าในใจกลับคิดถึงเจียงเซี่ยน
นางคงหวังว่าข้าจะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับตระกูลเจียงได้กระมัง?
เขาเริ่มหวนคิดถึงสีหน้าและน้ำเสียงตอนที่เจียงเซี่ยนเอ่ยเรื่องพวกนี้
แล้วหลี่เชียนก็ลุกขึ้นยืน พลางเอ่ยอย่างใจร้อนว่า “ทำไมข้าถึงโง่ขนาดนี้? ด้วยนิสัยของนาง จะต้องก่อกวนฝ่าบาทจนถึงที่สุดอย่างแน่นอน แต่หากตระกูลเจียงลงเรือลำเดียวกับฝ่าบาทแล้ว ถึงนางจะก่อความวุ่นวายอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะทรยศตอนนี้ ทว่าที่ฝ่าบาทอยากเกี่ยวดองกับตระกูลเจียงนั้นคงเป็นไปไม่ได้แล้ว หลายปีนี้เฉาไทเฮากดดันตระกูลเจียงมากเกินไป ถึงเวลานี้ตระกูลเจียงจะไม่ทรยศ แต่อยากเจอโอกาสดีๆ แบบนี้อีกก็ไม่ง่ายแล้วเช่นกัน เรื่องราวจะกลายเป็นอย่างไร คาดว่าตัวนางเองก็บอกได้ไม่ชัดเจนเช่นกัน”
“การแลกเปลี่ยน”
“ข้ายอมช่วยนาง นางก็มีของขวัญแทนคำขอบคุณให้”
“นางบอกเรื่องพวกนี้กับข้า ไม่ได้อยากให้ข้าไปพึ่งพาอาศัยใคร แต่อยากให้ข้ารู้ว่า เมืองหลวงนี้กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญแล้ว นางถึงได้ถามข้าว่า ‘ตระกูลหลี่อยากกลับซานซีใช่หรือไม่’ เป็นประโยคแรก และไม่ถามข้าว่าตระกูลหลี่เข้าเมืองหลวงมาทำอะไร…นางหวังว่าตระกูลหลี่จะคิดหาทางรอดได้ในช่วงเวลาที่วุ่นวายนี้ และไม่ต้องเป็นหมากที่ถูกทิ้งของเฉาไทเฮาแล้ว…”
หลี่เชียนพูดอยู่ก็เริ่มเดินไปเดินมาในห้องอย่างใจร้อน และเอ่ยว่า “หยวนซี เรื่องนี้พวกเราต้องปรึกษาหารือกันดีๆ ตระกูลหลี่จะเป็นหรือตาย อาจจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ทำในครั้งนี้แล้ว”
เซี่ยหยวนซีอึ้งกับข้อสรุปของหลี่เชียน และเอ่ยอย่างลังเลว่า “ข้าว่าท่านหญิงคงหวังว่าพวกเราจะยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับตระกูลเจียงกระมัง…”
“ไม่ ไม่ ไม่” หลี่เชียนเอ่ยพลางส่ายหน้า “เจ้าไม่เคยเจอนาง นางใจเย็น ควบคุมตนเอง มองเรื่องราวได้ทะลุปรุโปร่ง พูดจาตรงไปตรงมา และแบ่งแยกผิดชอบชั่วดีอย่างชัดเจน…แต่ยังมีความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสาเหมือนเด็กเล็กน้อย” เขาพูดอยู่ เสียงก็ค่อยๆ เบาลง สีหน้าก็ค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น “เจ้าให้ลูกอมข้าเม็ดหนึ่ง ข้าต้องตอบแทนเจ้าด้วยขนมอบ ของขวัญตอบแทนจะต้องจริงใจกว่าคนอื่น แบบนี้ถึงจะถือว่าไม่ติดค้างกันแล้ว…”
เซี่ยหยวนซีมองรอยยิ้มที่ล้นออกมาจากในดวงตาของหลี่เชียนเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกแปลกใจ
ท่านหญิงเจียหนานนั่นเติบโตในวัง จะไร้เดียงสาขนาดนั้นได้อย่างไร?
แล้วหลี่เชียนกลายเป็นคนเชื่อคนง่ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
———————————-
[1] ในสมัยโบราณพื้นที่ชานเมืองหลวง หมายถึง พื้นที่ภายในระยะ 5,000 ลี้รอบเมืองหลวง จากวงแหวนชั้นในสุดถึงวงแหวนชั้นนอกสุด ทุก 500 ลี้นับเป็น 1 วงแหวน ซึ่งมีทั้งหมด 9 วงแหวน ได้แก่ โหว เตี้ยน หนาน ไฉ่ เว่ย หมาน อี๋ เจิ้น และฟาน โดยเป็นที่ดินของชนชั้นสูงแต่ละระดับและที่อยู่อาศัยของชาวต่างถิ่น