มู่หนานจือ - บทที่ 44 ไม่ปล่อย
เจียงเจิ้นหยวนทำตามที่เจียงเซี่ยนสั่งจริงๆ โดยเปิดเพียงประตูข้างของจวนเจิ้นกั๋วกง และส่งพ่อบ้านมารับแขกหน้าประตู
ถึงจะเป็นเช่นนี้ ก็ทำให้คนที่ผ่านมาบางครั้งแปลกใจมากอยู่ดี…ประตูหลักทางด้านหน้าของจวนเจิ้นกั๋วกงจะเปิดเฉพาะเวลาที่รับเสด็จฮ่องเต้ วันตรุษจีน หรือกั๋วกงไม่ก็ซื่อจื่อแต่งงานเท่านั้น
เจียงเซี่ยนเงียบมาตลอดทาง นางกับท่านป้าฮูหยินเจิ้นกั๋วกงสกุลฝางผ่านประตูบานที่สองและอ้อมห้องโถงใหญ่ตรงกลางไปยังห้องหนังสือที่เรือนหลักของเจียงเจิ้นหยวนกับคนสกุลฝาง
นี่ก็หมายความว่าคนในครอบครัวคุยเรื่องในจวนกันแล้ว
เจียงเซี่ยนคารวะเจียงเจิ้นหยวน
ปีนี้เจียงเจิ้นหยวนอายุสี่สิบสอง เพราะอยู่ในตำแหน่งมานาน และดูแลร่างกายอย่างดี รูปร่างผอมแห้งสูงโปร่ง จึงดูเหมือนอายุเพียงสามสิบกว่าปี กลับกลายเป็นฮูหยินสกุลฝางของเขาที่ถึงแม้จะอายุน้อยกว่าเจียงเจิ้นหยวนสามปี ทว่ากลับดูเหมือนพี่สาวของเจียงเจิ้นหยวนแล้ว แต่พวกเขาสามีภรรยารักใคร่กันมาก ในครอบครัวของเจียงเจิ้นหยวนไม่มีอนุภรรยา แล้วก็ไม่มีเมียบ่าว หลังจากแต่งงานก็มีเจียงลวี่เป็นลูกชายเพียงคนเดียว
เขานั่งรับการคารวะของเจียงเซี่ยน
ตามกฎแล้วนั้น คนหนึ่งเป็นท่านหญิง อีกคนก็เป็นท่านกั๋วกง ยศเท่ากัน และตามกฎของตระกูล พวกเขานั้นคนหนึ่งเป็นผู้อาวุโส อีกคนเป็นผู้เยาว์ ไม่ว่าจะด้วยมารยาทของราชสำนักหรือมารยาทของตระกูลขุนนาง เจียงเจิ้นหยวนล้วนอยู่เหนือเจียงเซี่ยน
คนสกุลฝางยกชากับของว่างมาให้เจียงเซี่ยนด้วยตนเอง
เจียงเซี่ยนลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ และนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือข้างที่อยู่ต่ำกว่าเจียงเจิ้นหยวน
คนสกุลฝางไล่คนรับใช้ในห้องออกไปอย่างสุภาพอ่อนโยน และช่วยปิดประตูให้พวกเขา
บนใบหน้าที่สุขุมเยือกเย็นของเจียงเจิ้นหยวนถึงปรากฏความกังวลออกมาเล็กน้อย และแสดงความตรงไปตรงมาอย่างคนที่มาจากตระกูลทหารออกมาโดยไม่รู้ตัว “เจ้าออกจากวังครั้งหนึ่งก็ไม่ง่ายนัก มีเรื่องอะไรพวกเราก็พูดตรงเข้าประเด็นเลยแล้วกัน เจ้าเจอปัญหาอะไรในวังหรือเปล่า?”
เจียงเซี่ยนเงยหน้ามองลุงของตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ เขาก็เป็นคนที่นางเชื่อใจและพึ่งพาอาศัยได้ที่สุด
ทุกครั้งที่เกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าท่านลุงจะคิดอย่างไร ก็จะสนับสนุนนางอยู่เบื้องหลังเสมอ
นางวางถ้วยชาในมือลงอย่างแผ่วเบา แล้วหมุนปลอกเล็บทองคำฝังเพชรพลอยนานาชนิดที่สวมอยู่บนมือ พลางเอ่ยว่า “ท่านลุง ฝ่าบาทตรัสว่า ทรงอยากแต่งงานกับข้า ให้ข้าเป็นฮองเฮาของเขา”
เจียงเจิ้นหยวนตกใจ แล้วก็ขมวดคิ้ว
ทายาทของสกุลเจียงน้อยนิด
ตั้งแต่ก่อแคว้นมาจนถึงตอนนี้ สายตรงมีเพียงเจียงลวี่กับเจียงเซี่ยน คนที่ไม่เกินห้ารุ่น[1]มีเพียงเจียงหาน คนที่ไม่เกินเจ็ดรุ่น[2]มีเพียงเจียงจ้ง ตอนที่เจียงเจิ้นอิงอยากแต่งงานกับองค์หญิงหย่งอัน เขาก็ไม่เห็นด้วย แต่ตอนนั้นเป็นเวลาที่ฮ่องเต้เซี่ยวจงกำลังดึงตระกูลเจียงไปเป็นพวกพอดี เจียงเจิ้นอิงเป็นลูกชายคนเล็ก และตามมารดาเข้าวังตั้งแต่เด็ก เวลาสิบวันกลับอยู่กับฮ่องเต้อิงจงฮ่องเต้องค์ก่อนไปถึงเก้าวัน แน่นอนว่าก็รู้จักองค์หญิงหย่งอันด้วย ทั้งสองคนรักกันตั้งแต่อายุยังน้อย องค์หญิงหย่งอันโวยวายว่าจะแต่งงานกับเจียงเจิ้นอิงตั้งแต่ยังไม่ถึงวัยออกเรือน ส่วนเจียงเจิ้นอิงนั้นหากไม่แต่งงานกับองค์หญิงก็ไม่กินข้าว ฮ่องเต้เซี่ยวจงก็หวังว่าจะทำสำเร็จ ส่วนไทฮองไทเฮาก็หวังว่าเจียงเจิ้นอิงจะเป็นลูกเขยของตนเองได้ ตระกูลเจียงไม่มีทางเลือก จึงจำเป็นต้องตกลง
ปรากฏว่าเจียงเจิ้นอิงเสียชีวิตตั้งแต่ยังหนุ่ม องค์หญิงหย่งอันไม่ยอมที่จะมีชีวิตอยู่เพียงลำพังด้วยซ้ำ และทิ้งเจียงเซี่ยนลูกเพียงคนเดียวของพวกเขาเอาไว้ ทว่ากลับถูกไทฮองไทเฮาพาไปเลี้ยงในวังอีกจนได้ คนของตระกูลเจียงอย่างพวกเขานั้นนานมากกว่าจะได้เจอหน้าเจียงเซี่ยนสักครั้ง
เวลานี้ฮ่องเต้จะขอเจียงเซี่ยนแต่งงานเป็นการส่วนตัวอีก…
เขาไม่เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
เพียงแต่หลานสาวคนนี้ ถึงแม้ในใจเขาจะคิดถึงอยู่เสมอ ทว่าโตมาขนาดนี้กลับไม่ได้คุยกันสักเท่าไรนัก ทุกครั้งที่เจอหน้ากันก็เงียบมาก ดูท่าทางสุภาพและรู้ความ แต่จริงๆ แล้วนิสัยและความชอบเป็นอย่างไรกันแน่ นางอยู่ในวังฉือหนิง ถึงเขาจะอยากสืบข่าวก็กลัวคนอื่นเข้าใจผิด คิดว่าเขาอยากสอดแนมวังหลัง ทำให้เขาลำบากใจมาก
เวลานี้หลานสาวเพียงคนเดียวของเขาเอ่ยปากว่าจะแต่งงานกับฮ่องเต้ เขาอยากเตือนนาง ก็กลัวว่าตนเองบุ่มบ่ามเอ่ยปากจะทำให้เจียงเซี่ยนดื้อรั้นขึ้นมา เหมือนเจียงเจิ้นอิงในตอนนั้นที่เพียงแค่เอ่ยว่าไม่ให้เจียงเจิ้นอิงแต่งงานกับองค์หญิง เจียงเจิ้นอิงก็ยิ่งกำแหงจนทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
เจียงเจิ้นหยวนทำได้เพียงคิดทบทวนอยู่ในใจอย่างละเอียด และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีไปชั่วขณะ จึงทำได้เพียงยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มชา ในขณะที่หางตาก็จับจ้องอยู่ที่มือที่วางอยู่บนโต๊ะชาของเจียงเซี่ยน
มือนั้นขาวเนียนมาก เนียนกว่าใบหน้าของทารกที่เพิ่งเกิดเสียอีก ทว่ากลับสวมปลอกเล็บไว้บนนิ้วก้อย
ปลอกเล็บนั้นยาวหนึ่งนิ้วกว่าๆ เป็นสีทอง แกะสลักลายดอกฉาและว่านน้ำ ฝังพลอยไพฑูรย์ เพชร ทัวร์มาลีน โกเมน และหินโมราขนาดเท่าเม็ดงา…มีความหรูหราและงดงาม
แล้วมาดูที่การแต่งตัวของนาง
ด้านนอกสวมเสื้อคลุมยาวบุฝ้ายผ้าไหมหัง[3]เรียบๆ สีเหลืองอ่อนปนสีแดง เส้นผมสีดำสนิทเกล้าผมเรียบร้อย ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า นอกจากปลอกเล็บบนมือนั้นแล้วก็สวมแค่ที่คาดผมไข่มุกชิ้นหนึ่ง
เจียงเจิ้นหยวนลมหายใจติดอยู่ในลำคอ
หลานสาวที่อ้อนแอ้นบอบบางของเขา อยู่ในช่วงวัยรุ่น เดิมทีควรจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหราสีสันสดใสสวยงามที่ส่งเข้าวังไป ทว่ากลับถูกเลี้ยงให้กลายเป็นหญิงชรา แถมยังสวมปลอกเล็บและใส่ชุดธรรมดา
ดูสภาพสิ คนที่ไม่รู้ยังเข้าใจว่านางกำลังครองตัวเป็นหม้ายอยู่!
ตระกูลจ้าวของพวกเขาล้วนเป็นพวกแม่ม่าย แต่คนของตระกูลเจียงอย่างพวกเขายังมีชีวิตอยู่ดี!
เจียงเจิ้นหยวนแค้นใจขึ้นมาทันที เขาวางถ้วยชาลง เดี๋ยวอ้าปากเดี๋ยวหุบปากจะปฏิเสธเรื่องแต่งงานนี้ ทว่าชั่วพริบตากลับเห็นเจียงเซี่ยนยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มชา
เจียงเจิ้นหยวนพลันฉุกคิดได้
เป่าหนิง ใจเย็นเกินไปแล้ว
มือที่ยกถ้วยชานั้น นิ่งดุจขุนเขา ไม่สั่นแม้แต่นิดเดียว
ไทฮองไทเฮารักหลานสาวคนนี้ของเขามากมาโดยตลอด ทว่านางกลับมาบอกเรื่องนี้กับตนเอง เรื่องแต่งงานนี้หากเฉาไทเฮาไม่แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน ไทฮองไทเฮาก็ไม่ยินยอมเช่นกัน…เวลานี้เป็นเวลาที่นางควรจะกลุ้มใจ แล้วจะเยือกเย็นขนาดนี้ได้อย่างไร?
เจียงเจิ้นหยวนคิด แล้วลองหยั่งเชิงว่า “เป่าหนิง แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ? เจ้าอยากแต่งงานกับฝ่าบาทหรือไม่?”
เวลานี้เจียงเซี่ยนถึงถอนหายใจออกมา
นางอายุยังน้อย ตอนที่บิดาของนางยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นคนที่นิสัยเหมือนเด็ก ท่านลุงจึงเป็นเสาหลักในตระกูล และเป็นคนตัดสินใจเรื่องภายในตระกูลจนชินแล้ว จึงอาจจะไม่ฟังคำพูดของนางก็ได้ นางถึงคิดว่าจะเอ่ยปากก็ต้องทำให้อีกฝ่ายคาดไม่ถึง ทำให้ท่านลุงมองนางต่างไปจากเดิม…และเรื่องราวหลังจากนี้ก็ง่ายแล้ว
“ท่านลุงก็รู้ว่าข้าเติบโตในวังตั้งแต่เด็ก จะให้มาอยู่ข้างนอก เห็นพวกฮูหยินโหวและฮูหยินป๋อที่ดูแลเรื่องอาหารการกินภายในบ้านแล้ว ข้าคิดบัญชีและบริหารเงินไม่เป็น ดูแลจวนและคบหาคนไม่เป็น เย็บปักถักร้อยและทำอาหารก็ไม่เป็น ดังนั้นอยู่ในวังดีกว่า” คำพูดที่ชาติก่อนเจียงเซี่ยนไม่มีโอกาสบอกคนในครอบครัว ชาตินี้นางอาศัยโอกาสครั้งนี้พูดออกมาแล้ว “ตอนที่ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ ข้าก็รู้สึกว่าไม่เลวเช่นกัน แต่งงานกับฝ่าบาท ก็เพียงแค่ย้ายจากวังฉือหนิงไปวังคุนหนิง แถมยังสามารถอยู่เป็นเพื่อนเสด็จยายไทฮองไทเฮาได้ด้วย ฝ่าบาทกับข้าก็เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ความชอบและนิสัยต่างก็คล้ายกันเช่นกัน”
เจียงเจิ้นหยวนได้ยินแล้วแทบจะกระอักเลือดออกมา
ตระกูลจ้าวช่างร้ายกาจจริงๆ
ฮ่องเต้หลายรุ่นทำกับคนของตระกูลเจียงเหมือนต้มกบในน้ำอุ่น และในที่สุดก็ต้มจนสุกทั้งตัวแล้ว
เขาอยากเอ่ยปากเตือน เจียงเซี่ยนก็เอ่ยแล้วว่า “แต่ข้าก็คิดว่า ในเมื่อข้าจะแต่งงานกับฝ่าบาท อย่างไรก็คงต้องสืบเรื่องราวของฝ่าบาทให้รู้แน่ชัดกระมัง? ถึงเวลานั้นจะได้ไม่เสียใจ และแม้แต่จะหย่าก็หย่าไม่ได้”
เจียงเจิ้นหยวนนั้นตั้งแต่หลานสาวเข้ามาในห้องนี้ นี่เป็นคำพูดที่นางพูดแล้วทำให้เขาสบายใจที่สุด เขาพยักหน้า พลางเอ่ยว่า “เจ้าคิดเช่นนี้ก็ดี ตระกูลเจียงห้ารุ่นของพวกเรา มีเจ้าเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว ใต้หล้านี้ไม่มีบุรุษที่เจ้าไม่คู่ควร แม้จะไม่แต่งงานกับฝ่าบาท ก็มีผู้ชายดีๆ มากมายรอให้เจ้าเลือกอยู่”
เจียงเซี่ยนอดที่จะหัวเราะไม่ได้
หลังจากนางว่าราชการหลังม่าน คนสกุลฝางท่านป้าของนางเห็นนางชอบดูงิ้ว ก็เคยถามนางเป็นนัยว่าจะหาพวกลูกหลานตระกูลขุนนางที่เก่งด้านดนตรีเข้าวังมารับใช้หรือไม่?
ท่านป้าของนางเป็นคนมีคุณธรรม อ่อนน้อมถ่อมตน และทำตามคำสั่งของสามีอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด จึงไม่มีทางพูดจาเช่นนี้ออกมา
เกรงว่านี่คงจะเป็นความคิดของลุงนาง
———————————-
[1] ห้ารุ่น นับตั้งแต่เทียด ทวด ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ จนถึงตนเอง
[2] เจ็ดรุ่น นับตั้งแต่เทียด ทวด ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ตนเอง ลูก จนถึงหลาน
[3] ผ้าไหมหัง ผ้าไหมที่ผลิตที่เมืองหังโจว