มู่หนานจือ - บทที่ 61 ความคิด
แม้จะคิดเช่นนี้ หลี่เชียนก็รู้สึกว่าเจียงเซี่ยนไม่ใช่คนแบบที่จะทำให้คนอื่นกลัวตนเองด้วยการเชือดไก่ให้ลิงดูเพื่อความแค้นส่วนตัว
เช่นนั้นที่นางทำแบบนี้ต้องมีจุดประสงค์ของนางเองอย่างแน่นอน
ทำเพื่อดันให้เรื่องที่ตระกูลหลี่จงรักภักดีต่อเฉาไทเฮาเด่นขึ้นงั้นหรือ?
ไม่ว่าจะคิดมาดีแค่ไหน วางแผนมาสมบูรณ์แบบแค่ไหน มีเรื่องหนึ่งที่หลี่เชียนจำเป็นต้องยอมรับ
เบื้องหลังของตระกูลหลี่…ไม่สิ จะเรียกว่าเบื้องหลังก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ น่าจะบอกว่าตระกูลหลี่ทำให้ครอบครัวร่ำรวยขึ้นช้าเกินไป แม้ว่าจะอยากเข้าใกล้เฉาไทเฮาก็แลดูกะทันหันและจงใจเกินไป ถึงเฉาไทเฮาจะไม่มีแรงใจแรงกายไปคิดเรื่องการมาพึ่งพาอาศัยของตระกูลหลี่ไปชั่วขณะเพราะตัวนางมีอันตราย ทว่าหลังจากเฉาไทเฮาฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์ แล้วคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นอย่างละเอียด ก็เกรงว่าจะสงสัยที่ตระกูลหลี่มาพึ่งพาอาศัยอย่างกะทันหัน
แต่เวลานี้พอเจียงเซี่ยนโยนคนและเขาก็คุกเข่าเช่นนี้ เรื่องบางเรื่องก็สมเหตุสมผลอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ตระกูลหลี่อยากก้าวหน้า ทว่ากลับไม่อาจกลายเป็นคนสนิทของตระกูลเจียงได้ เพราะหลี่เชียนล่วงเกินเจียงเซี่ยนโดยไม่ได้ตั้งใจ แทนที่จะเป็นแบบนี้ สู้คิดหาทางอื่นดีกว่าอย่างเช่นไปพึ่งพาอาศัยไทเฮา กระโจนเข้าไปคว้าอนาคต โดยที่ตัดทางหนีทีไล่ไปก่อน จะได้ทำให้มุ่งมั่นจนได้มาซึ่งความสำเร็จ
นี่ก็เป็นลูกไม้ที่คนที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่และทะเยอะทะยานเป็นอย่างยิ่งมากมายมักจะใช้เช่นกัน
เทียบกับความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้และความรักต่อแคว้นแล้วสามารถทำให้เฉาไทเฮาไว้ใจได้มากกว่า
เทียบกับการผูกมิตรด้วยความสัมพันธ์แล้วเห็นได้ชัดว่าผูกมิตรด้วยผลประโยชน์จะมั่นคงมากกว่า
เจียงเซี่ยน คิดแบบนี้หรือ?
ตามหลักการแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้
ต่อให้เจียงเซี่ยนเก่งแค่ไหน ก็เป็นเพียงเด็กสาวที่ยังอายุไม่ครบสิบห้าปีเต็มเท่านั้น
ทว่าดูที่นางลอบสืบเรื่องของฮ่องเต้สิ หลี่เชียนก็รู้สึกว่านี่ต่างหากที่เป็นสิ่งที่เจียงเซี่ยนสามารถทำได้
และไม่เหมือนพวกสตรีทั่วไปที่วันๆ รู้แต่เรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวันของครอบครัวและเหล่าเพื่อนบ้าน วิจารณ์กันมั่วซั่ว และชอบเอาชนะ
แต่เรื่องราวประจวบเหมาะขนาดนี้…ไม่น่าจะจัดฉากขึ้นมาได้กระมัง?
กล่าวอีกแบบคือ เจียงเซี่ยนอาศัยเรื่องบางเรื่องเป็นข้ออ้างไปทำเรื่องอื่น!
หลี่เชียนลองคิดดูแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นจนรู้สึกร้อนไปทั้งตัว
หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นท่านหญิงเจียหนาน…ไม่ใช่คนที่เก่งและมีสติปัญญาเฉียบแหลมที่สุดในแคว้นอย่างนั้นหรือ?
เขาเงยหน้าขึ้นมา สายตาจับจ้องอยู่ที่หัวของเรือมังกร สายตาฉายแววงุนงงเล็กน้อย
ไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง?
นางติดตามอยู่ข้างกายไทฮองไทเฮาทั้งวัน ว่ากันว่าอายุสิบสามถึงจะอ่านหนังสือคัมภีร์สามอักษรจบ แถมลายมือก็แย่เหมือนหมาคลาน หากมีความสามารถเช่นนั้นจริง อย่างไรก็ต้องอ่านบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งยี่สิบสี่เล่มจบรอบหนึ่งแล้วกระมัง?
ไม่อย่างนั้นทุกครั้งที่ท่านฝูอวี้เอ่ยถึงหวังไหวอิ๋นต่อหน้าบิดาเขาก็คงจะไม่บอกบิดาเขาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจว่าหวังไหวอิ๋นอ่านบันทึกประวัติศาสตร์อะไรไปบ้างแล้ว
คงจะเจอโดยบังเอิญกระมัง?
หลี่เชียนคิดอย่างกังวลและหวาดกลัว
นัยน์ตาที่เหมือนสะท้อนดวงดาวทั้งท้องฟ้ากลับหัวของเจียงเซี่ยนปรากฏขึ้นในความทรงจำของเขาอีกครั้ง
นางจะเป็นสตรีแบบที่บังเอิญเจอโดยไม่คาดคิดได้อย่างไร?
ในสมองของหลี่เชียนเสียงดังเซ็งแซ่
นางน่าจะมีความสามารถแบบนี้ถึงจะถูก! เพียงแต่ไม่มีช่องทางให้นางได้แสดงฝีมือ แล้วก็ไม่มีใครตั้งใจไปฝึกฝนนาง…ก็เหมือนที่คนใต้หล้ามักจะพูดว่า คนที่มีความสามารถโดดเด่นมีมากมาย ทว่าคนที่ค้นพบผู้ที่มีความสามารถนั้นกลับมีน้อยมาก
ท่านหญิงเจียหนานไม่ใช่สตรีธรรมดา
นางเฉลียวฉลาด หลักแหลม สุขุม สุภาพ เยือกเย็น ไม่วู่วาม มีสติปัญญา ใจเย็น มีไหวพริบ คาดเดาเหตุการณ์และวางแผนเก่ง สามารถพลิกแพลงไปตามสถานการณ์ได้…
ความดีงามทั้งหมดที่หลี่เชียนสามารถคิดได้นั้น เขารู้สึกว่ามีอยู่ในตัวเจียงเซี่ยนหมดแล้ว
ดังนั้นตอนที่เซี่ยหยวนซีเห็นว่าคนรอบข้างต่างเริ่มยุ่งอยู่กับการช่วยเจียงเซี่ยนลงจากเรือ และไม่มีใครสนใจหลี่เชียนอีกแล้ว เขาจึงส่งสายตาให้หลี่เชียน ส่งสัญญาณให้หลี่เชียนลอบจากไปอย่างเงียบๆ เสียเลย แต่หลี่เชียนก็ส่ายหน้าให้เซี่ยหยวนซี และบอกว่าตนเองจะคุกเข่าต่อไปอย่างไร้เสียง จนกว่าจะมีขุนนางที่มีระดับสูงพอออกหน้าช่วยพูดกับท่านหญิงเจียหนานให้เขา
แบบนี้ก็เติมเต็มความหวังดีของเจียงเซี่ยนแล้ว
ต่อไปเหล่าคนเก่าแก่ที่มีสิทธิพูดในราชสำนักเอ่ยถึงเรื่องภูเขาวั่นโซ่วขึ้นมา ก็มีเหตุผลมาอธิบายแล้วว่าทำไมตระกูลหลี่ถึงตัดสินใจติดตามเฉาไทเฮาอย่างแน่วแน่
เซี่ยหยวนซีร้อนใจมาก
แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นผู้ช่วยของหลี่เชียน และค่อนข้างรู้ใจกับหลี่เชียนดี เขาคิดอยู่ชั่วครู่ก็เข้าใจเจตนาของหลี่เชียน
เขาให้อวิ๋นหลินคอยปกป้องความปลอดภัยของหลี่เชียนอยู่ที่นี่ และออกจากท่าเรือวารีเคียงพฤกษาไปอย่างเงียบเชียบ ไปหาเฉากั๋วจู้ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยองครักษ์ในเวลานี้
หลี่เชียนคุกเข่าอยู่ตรงนั้น แผ่นหลังยืดตรง สีหน้าสงบนิ่งและเยือกเย็น
ไม่เหมือนกำลังรับการลงโทษ เหมือนกำลังสักการะเทพเจ้าและพระพุทธเจ้า
เจียงเซี่ยนออกมาจากห้องโดยสารบนเรือ มองแวบเดียวก็เห็นหลี่เชียนแล้ว
นางอดที่จะพยักหน้าเล็กน้อยไม่ได้
ท่าทางถ่อมตนและเยือกเย็น สุขุมลุ่มลึก ไม่ทำให้ความคิดชั่ววูบของนางผิดหวังจริงๆ
นางคิดไม่ถึงว่าหลี่เชียนตอนอายุสิบแปดปีก็มีจิตใจ ความคิด และเล่ห์เหลี่ยมแบบนี้แล้ว
มิน่าเล่า พออายุยี่สิบสามเขาก็คุมตระกูลหลี่แล้ว
เสือต่อให้ตกลงสู่ที่ราบก็ยังเป็นเสืออยู่ดี!
เจียงเซี่ยนถอนหายใจเล็กน้อยในใจ
นางลงจากเรือด้วยสีหน้าจริงจัง ฉิงเค่อพยุงนางขึ้นเกี้ยวที่มีคนหามสี่คนซึ่งรออยู่ข้างๆ แล้วปล่อยม่านลง ออกจากท่าเรือวารีเคียงพฤกษา
ฝูงชนค่อยๆ แยกย้ายกันไป
ใครบางคนไปดึงหลี่เชียน “ท่านหญิงไปแล้ว ท่านยังคุกเข่าอยู่ที่นี่ทำไม?”
หลี่เชียนยังคงรักษาท่าทางเมื่อครู่ไว้เช่นเดิม และปฏิเสธความหวังดีของคนนั้น “ขันทีหมิ่นเป็นคนรับใช้ข้างกายไทเฮา ท่านหญิงเจียหนานคุยกันไม่ถูกคอก็สามารถโยนคนลงไปในทะเลสาบได้ แล้วนับไม่ประสาอะไรกับองครักษ์ที่ฐานะต่ำต้อยอย่างข้า? ท่านไม่จำเป็นต้องมาเกลี้ยกล่อมข้าอีก ระวังจะทำให้ตัวท่านเองทำผิดไปด้วย ถึงอย่างไรข้าก็เป็นองครักษ์ของวังคุนหนิง ใต้เท้าเฉาคงจะไม่ดูข้าถูกกลั่นแกล้งโดยไม่ทำอะไรเลยหรอก!”
คนๆ นั้นฝืนยิ้มออกมา
องครักษ์ระดับเจ็ดตัวเล็กๆ อย่างเจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกัน?
ไทเฮายังจะไปตำหนิท่านหญิงเจียหนานที่รับเงินเดือนชินอ๋องเพื่อเจ้างั้นหรือ?
เจ้าไม่เห็นว่าเวลาเฉิงเอินกงหลานชายแท้ๆ ของไทเฮาเจอท่านหญิงเจียหนานก็ยังต้องเดินทางอ้อม…
ทว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องของคนอื่น และเขากับหลี่เชียนก็ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว
คนๆ นั้นส่ายหน้าและจากไป
คนอื่นเห็นแล้วต่างก็ทำเหมือนหลี่เชียนไม่มีตัวตน คนที่ใจดีก็อ้อมผ่านไป ส่วนพวกคนที่เจตนาไม่ดีก็ตั้งใจเดินผ่านตรงหน้าหลี่เชียน มองไปไกลๆ เหมือนหลี่เชียนกำลังคุกเข่าให้พวกเขา
อวิ๋นหลินเห็นแล้วก็โกรธจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
แต่หลี่เชียนกลับเหมือนไม่ใส่ใจแม้แต่นิดเดียว เขาคุกเข่าอยู่ตรงนั้นพลางคิดถึงสิ่งที่ตนเองคิด
หัวหน้าหน่วยองครักษ์ในเวลานี้คือเฉากั๋วจู้
ว่ากันว่าเป็นมีศักดิ์เป็นน้องชายของเฉาไทเฮา
ทว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาคนในวังก็ไม่เคยได้ยินเฉาเซวียนเรียกเขาว่า ‘ท่านลุง’ หรือ ‘ท่านอา’ เลย
หลี่เชียนลงแรงไปมากเพื่อติดสินบนเฉากั๋วจู้ ถึงได้งานเข้าเวรที่ตำหนักหยวนหล่างในวันเกิดของไทเฮามา
เพื่อที่ถึงเวลานั้นจะได้ร่วมมือกันวางแผนกับเจียงเจิ้นหยวนง่ายขึ้น
ตำหนักหยวนหล่างมีคนอาศัยอยู่สองคน
คนหนึ่งคือจ้าวเซี่ยวซื่อจื่อจิ้งไห่โหว
อีกคนคือจ้าวอี้อ๋องเหลียวลูกชายคนโตที่เกิดจากสนมของฮ่องเต้องค์ก่อน ซึ่งจ้าวอี้อ๋องเหลียวนั้นก็เกือบจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว
เขาไม่เคยพบอ๋องเหลียว แต่จ้าวเซี่ยวซื่อจื่อจิ้งไห่โหวนั้นได้เจอกันตลอด
ทั้งสองคนอายุไล่เลี่ยกัน บิดาของคนหนี่งรักษาการณ์อยู่ที่ฝูเจี้ยน บิดาของอีกคนก็ควบคุมภาคตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นรุ่นที่ชอบฝึกวรยุทธ์กันทั้งนั้น จึงเจอกันในโอกาสต่างๆ บ่อย ว่ากันตามหลักการแล้ว ทั้งสองคนน่าจะสนิทกัน แต่ความจริงแล้วพวกเขาก็เหมือนดวงชงกันโดยธรรมชาติ ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่คิดที่จะไปมาหาสู่กับอีกฝ่าย แม้จะรู้จักกันมาสิบกว่าปี ทว่าที่ผ่านมาพอเจอหน้าก็เพียงแค่พยักหน้าทักทายกันเท่านั้น
แต่ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลจะซับซ้อน จ้าวเซี่ยวก็มีชื่อเสียงด้านกลยุทธ์ในการทำสงคราม ดังนั้นไม่มีทางที่หลี่เชียนจะไม่ระวังอีกฝ่าย ส่วนการวางตัวและท่าทีในการทำงานของจ้าวเซี่ยวนั้น ถึงจะไม่บอกว่ารู้อย่างทะลุปรุโปร่ง เขาก็สามารถเดาได้เกือบทั้งหมด
หลี่เชียนลูบคางของตนเองเบาๆ
ในยามที่เจอสถานการณ์ฉุกเฉินและต้องการความช่วยเหลือ ญาติห่างๆ ก็สู้เพื่อนบ้านที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ทันเวลาไม่ได้
คนอื่นไม่รู้ ทว่าตระกูลหลี่รู้ ว่าตั้งแต่จิ้งไห่โหวอาศัยโอกาสที่ต่อต้านโจรสลัดญี่ปุ่นมากุมอำนาจทางการทหารนั้น ราชสำนักก็ระวังเขามาก ขันทีที่ส่งไปคุมกองทัพมักจะจงใจหาเรื่องตำหนิติเตียนอยู่เสมอ ทำให้เขาปวดหัวเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเคยทำให้การศึกเกิดความล่าช้า
ซึ่งนี่ก็ทำให้แม่ทัพและทหารที่อยู่ใต้บัญชาของจิ้งไห่โหวไม่พอใจเช่นกัน
————————-
Related