มู่หนานจือ - บทที่ 8 ความคิด
“อะไรนะ?” เหมือนกับทำให้เจียงเซี่ยนตกใจมาก นางลุกขึ้นมานั่งทันที ไร้ซึ่งความอยากนอน “เจ้าว่าอะไรนะ?”
ฉิงเค่อเอ่ยเสียงเบาว่า “ไทฮองไทเฮาไม่ได้ห้ามเจ้าค่ะ ข้าฟังมาจากอิ้นเสียที่ยกชาเข้าไป ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยก็เจอบุรุษที่ชื่อหลี่เชียนนั่นแล้วด้วย แต่ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยต่างก็ไม่พอใจกับเรื่องแต่งงานนี้ ตอนที่ไทเฮาเอ่ยเรื่องนี้ ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยต่างก็แสร้งทำเป็นเหมือนไม่เข้าใจ หลังจากไทเฮากลับไปแล้ว ไทฮองไท่เฟยก็ร้องไห้ และยังบอกว่า ‘รูปงามแล้วจะมีประโยชน์อะไร ฐานะของตระกูลไม่เพียงแต่ต่ำ แถมยังต้องแต่งงานไปอยู่ที่ห่างไกล นี่ไทเฮาไม่เห็นจวนเป่ยติ้งโหวอยู่ในสายตา และดูถูกว่าหลายปีมานี้จวนเป่ยติ้งโหวไม่มีคนที่มีความสามารถเลยไม่ใช่หรือ? หากดีขนาดนี้จริง ทำไมไม่เลือกจากใน ‘ซานกง[1]’ แต่งไปสักคน…”
เจียงเซี่ยนไม่กะจิตกะใจฟังต่อไปแล้ว
นางถือผ้าเช็ดหน้าเดินไปมาในห้อง
เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
ชาติก่อนนางกับไป๋ซู่ต่างออกเรือนด้วยคำสั่งของบิดามารดา คำพูดของแม่สื่อ[2] ไม่เกี่ยวอะไรกับหลี่เชียนด้วยซ้ำ
ไม่ถูกต้อง!
เจียงเซี่ยนหยุดฝีเท้า
หลังจากนางกลับมาก็ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น เรื่องราวกำลังเดินไปตามเส้นทางในอดีตทุกอย่าง ชาติก่อนนางไม่เคยเจอหลี่เชียน ก็เป็นเพราะนางไม่เคยไปห้องชา ซึ่งไม่ได้หมายความว่าหลี่เชียนไม่เคยมาเข้าเฝ้าไทฮองไทเฮา และไม่ได้หมายความว่าเฉาไทเฮาไม่เคยมีความคิดแบบนี้
หากเป็นเช่นนี้ก็สามารถอธิบายเรื่องที่จู่ๆ หลี่เชียนก็ปรากฏตัวที่วังฉือหนิงได้แล้ว…เฉาไทเฮาก็รู้เช่นกันว่าเรื่องแต่งงานนี้ไม่เหมาะสม เพราะฐานะของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกัน ดังนั้นจึงให้เฉาเซวียนเรียกหลี่เชียนเข้าวัง พาหลี่เชียนมาให้ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยดู อยากให้ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยเห็นหน้าตาของหลี่เชียนและตกลงเรื่องแต่งงานนี้
จริงๆ เลย…
เจียงเซี่ยนด่าเบาๆ ในใจ
ไม่รู้ว่าหลี่เชียนรู้จุดประสงค์ที่ตนเองเข้าวังหรือเปล่า?
น่าจะรู้กระมัง?
เจ้าคนสารเลวนี่ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเข้าวังมาดูตัวอย่างเปิดเผย
แถมยังกล้าคิดวางแผนกับไป๋ซู่…
เจียงเซี่ยนม้วนผ้าเช็ดหน้าเป็นก้อนกลม แล้วโยนลงบนเตียงอุ่นและเหมือนยังไม่หายโกรธ จึงกวาดถ้วยชาและถาดรองชุดชาบนโต๊ะทั้งหมดลงพื้นเสียเลย
นางไม่รู้ว่าความเดือดดาลนี้ของตนเองมาจากไหน!
นางในและขันทีทั้งห้องตกใจจนคุกเข่ากันทั้งแถบ
ในใจของเจียงเซี่ยนยิ่งรู้สึกอึดอัด
นางยับยั้งอารมณ์ไว้และสั่งติงเซียง “ข้าอารมณ์ไม่ดี พวกเจ้าเก็บกวาดของพวกนี้ อย่าให้ไทฮองไทเฮาทราบ ส่วนทางกรมวังก็ให้เงินพวกเขาไปชดเชยของที่ข้าทำพัง”
ของทุกชิ้นในวังล้วนลงบันทึกไว้ในสมุดรายชื่อ วังไหนรับไป ใครรับไป ตอนเปลี่ยนฤดูพังแล้วหรือเสียแล้ว ทำไมถึงพังแล้วหรือเสียแล้วก็ต้องจดบันทึกไว้ทั้งหมด
ติงเซียงขานรับ “เจ้าค่ะ” อย่างหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก นางไม่กล้าถามมาก จึงพาเหล่านางในขั้นสองเก็บกวาดห้องอย่างระมัดระวังมาก
เจียงเซี่ยนจึงถือโอกาสออกไปข้างนอกเสียเลย
ฉิงเค่อช่วยนางสวมเสื้อคลุม และติดตามอยู่ข้างหลังนางอย่างเงียบๆ
ฝนยังไม่หยุด ใบของซีฝู่ไห่ถังหน้าขั้นบันไดนั้นเปียกฝนจนเขียวเป็นมันและชุ่มชื้น
มีนางในสองคนถือกระเช้าดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์ที่สานจากไผ่เขียวผ่านข้างระเบียงคดไป เสียงที่ดังกังวานและน่าฟังนั้นได้ยินชัดมากในลานกว้างที่เงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงใด
“หากฝนตกเช่นนี้ต่อไปจนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮา ดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์พวกนี้จะผูกเข้าไปอย่างไรล่ะ? ถึงเวลานั้นขันทีเฉิงจะต้องโมโหแน่ๆ แถมยังไม่แน่ว่าใครจะโดนด้วยนะเจ้าคะ!”
“เกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ? พวกเราเป็นคนของวังฉือหนิง ช่วยพวกเขาทำดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์ก็เท่ากับยอมอ่อนข้อให้แล้ว เทวดาอยากให้ฝนตกก็เกี่ยวกับพวกเราด้วยอย่างนั้นหรือ?”
เจียงเซี่ยนสีหน้าไร้อารมณ์
นัยน์ตาของฉิงเค่อฉายแววกังวล นางมองนางในสองคนที่ค่อยๆ เดินห่างออกไป แล้วมองเจียงเซี่ยนอีกครั้ง นางกัดริมฝีปากและก้าวเข้าไปจะต่อว่าเสียงดัง แต่กลับถูกเจียงเซี่ยนยกมือห้ามไว้
วันเกิดอายุสี่สิบเจ็ดปีของเฉาไทเฮา และเป็นปีที่สิบที่นางว่าราชการหลังม่านเช่นกัน พวกเฉิงเต๋อไห่อยากให้ดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่งในฤดูใบไม้ร่วง เลียนแบบอู่เจ๋อเทียน[3]ในราชวงศ์ก่อน เพื่อประจบประแจงเฉาไทเฮา จึงสั่งให้หัวหน้ากองพระภูษากับนางในแต่ละวังทำดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์เพื่อวันเกิดของเฉาไทเฮา โดยเตรียมจะประดับบนดอกไม้และต้นไม้ในคืนก่อนวันเกิดของเฉาไทเฮา…
ชาติก่อนหากนางได้ยินนางในกับขันทีข้างกายวิพากษ์วิจารณ์ความอดทนและการถอยหนีของวังฉือหนิงเช่นนี้ นางจะต้องต่อว่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นอย่างรุนแรงแน่นอน แล้วก็เพราะนางเป็นคนแบบนี้เช่นกัน จึงทำให้ทุกคนต่างไม่กล้าพูดจาไร้สาระเช่นนั้นต่อหน้านางอีก ถึงขนาดที่ว่ากว่านางจะรู้ว่าจ้าวอี้ผิดปกติ นางก็เป็นฮองเฮาแล้ว จะเสียใจก็สายไปแล้ว
นางจะไม่แต่งงานกับจ้าวอี้
ไป๋ซู่ก็จะไม่แต่งงานกับจิ้นอันโหวเช่นกัน
เช่นนั้นนางควรจะทำอย่างไรล่ะ?
เจียงเซี่ยนก้มหน้าลง
เฉาไทเฮาเป็นแม่สื่อให้หลี่เชียน พูดตามตรง ความจริงแล้วก็อยากดึงหลี่ฉางชิงพ่อของหลี่เชียนไปเป็นพวก
หลี่ฉางชิงก็เป็นคนที่เฉลียวฉลาดมากเช่นกัน
เขาไม่มีทางละทิ้งโอกาสแบบนี้อย่างแน่นอน
ชาติก่อนนางไม่เคยได้ยินเรื่องแต่งงานนี้เลย เป็นไปได้มากว่าเป็นเพราะไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้นกับเฉาไทเฮา ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยก็ไม่พอใจ พอไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานนี้ ก็ยิ่งไม่มีทางที่จะมีอะไรตามมาอีกแล้ว
ก็เหมือนกับชาติก่อนที่เฉาไทเฮาอยากให้นางแต่งงานกับเฉาเซวียนมากเหมือนกัน ตอนหลังพอเฉาไทเฮาตายไปก็ไม่มีใครเอ่ยถึงแล้วเช่นกัน!
เจียงเซี่ยนตั้งสติ
เส้นทางในภายภาคหน้าจะเดินอย่างไร ไม่ใช่ว่านางตะโกนเสียงดังง่ายๆ ไม่กี่คำก็ใช้ได้แล้ว
เรื่องนี้นางต้องไตร่ตรองให้ดี
เจียงเซี่ยนเงยหน้าขึ้น และยืดหลังตรง
ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากเปลี่ยนท่าทีของวังคุนหนิงเถอะ!
—
พอถึงตอนบ่าย ฮ่องเต้น้อยจ้าวอี้ก็มาแล้ว
เขามุดศีรษะเข้าไปในอ้อมกอดของไทฮองไทเฮา แล้วกอดเอวของไทฮองไทเฮาไว้ พลางออดอ้อน “เสด็จย่า กระหม่อมไม่ได้มาหาเสด็จย่าสองสามวันแล้ว เสด็จย่าก็ไม่ให้หลิวเสี่ยวหม่านไปเรียกกระหม่อม อาจารย์สยงทิ้งการบ้านกองใหญ่ไว้ให้กระหม่อมทุกวัน เสด็จย่าดูสิ มือของกระหม่อมด้านหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวอี้พูดไปก็ยื่นมือให้ไทฮองไทเฮาดู
นิ้วที่เรียวยาวและขาวนวลจนเหมือนหัวหอมนั้นสวยกว่าผู้หญิงเสียอีก ไม่ต้องพูดถึงด้าน แม้แต่รอยแดงสักรอยก็ไม่มี
เขามีใบหน้ารูปเมล็ดแตงโมที่ขาวผ่องและคางที่แหลมมาก ในดวงตาเรียวยาวที่หางตางอนขึ้นเล็กน้อยนั้นมีน้ำคลออยู่เต็มหน่วย
ไทฮองไทเฮาเห็นแล้วก็ชอบใจ หลังจากสั่งให้เมิ่งฟางหลิงไปยกขนมที่ทำใหม่มาจากห้องครัวเล็กแล้วก็กอดจ้าวอี้ พลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาท นี่ก็เป็นเพราะอาจารย์สยงหวังดีกับฝ่าบาทเช่นกัน ต่อไปฝ่าบาทต้องปกครองใต้หล้า หากไม่รู้อักษร จะควบคุมเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและบัณฑิตของสำนักราชเลขาธิการได้อย่างไร? พอผ่านชีวิตที่ลำบากเหล่านี้ไปได้ก็สบายแล้ว”
อาจารย์สยงชื่อสยงจวิ้นหรง มหาบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน อาจารย์ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนเลือกไว้ให้จ้าวอี้ก่อนตาย
จ้าวอี้พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่ปากกลับบ่นพึมพำว่า “มีไทเฮาอยู่ไม่ใช่หรือ? อย่างไรกระหม่อมเรียนหรือไม่เรียนก็เหมือนกันอยู่ดี”
ไทฮองไทเฮาหน้านิ่งไปเล็กน้อย และไม่นานก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง นางอมยิ้มพลางตำหนิว่า “พูดจาเหลวไหล! หากฝ่าบาทเรียนไม่เก่ง ไม่ต้องพูดถึงไทเฮาแล้ว แม้แต่ขุนนางทั้งราชสำนักก็ไม่กล้ามอบตราลัญจกรหยกของฮ่องเต้ให้ฝ่าบาทเช่นกัน!”
จ้าวอี้หัวเราะคิกคัก พอลุกขึ้นมายืนตรงหน้าไทฮองไทเฮาเรียบร้อย ก็เรียกชื่อเล่นของเจียงเซี่ยนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เป่าหนิง หลายวันนี้เจ้าทำอะไรอยู่หรือ? วันนั้นข้าให้เสี่ยวโต้วจึส่งน้ำหอมกลิ่นกุหลาบไปให้เจ้าขวดหนึ่ง เจ้าก็ไม่ตอบข้าสักคำ จนข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าชอบหรือไม่ชอบ? ได้น้ำหอมกลิ่นหอมหมื่นลี้มาขวดหนึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องส่งไปให้เจ้าหรือไม่…”
ก่อนเป็นฮองเฮา เจียงเซี่ยนยังชอบเล่นกับจ้าวอี้มาก
ไม่เพียงแต่เพราะในวังมีเด็กเล็กแค่สามคนอย่างนาง ไป๋ซู่ และจ้าวอี้ ทว่ายังเพราะจ้าวอี้ชอบเล่นกับนางด้วย จ้าวอี้เชื่อฟังนางมาก มีของอะไรดีๆ ก็ยินดีแบ่งปันกับนางและมอบให้นาง
ตอนนี้ดูเหมือนเจ้าเด็กจ้าวสี่กับจ้าวอี้พ่อของเขาจะเหมือนกันไม่มีผิด นางเลี้ยงจ้าวสี่มาสิบปี จ้าวสี่ส่งถ้วยยาพิษให้และฆ่านางอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว นางกับจ้าวอี้รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก หลังจากเขาแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮาแล้วก็ทำเหมือนนางเป็นของตกแต่งและทิ้งไว้ที่วังคุนหนิง
สายตาของนางช่างดีจริงๆ!
———————————
[1] ซานกง ตำแหน่งขุนนางขั้นสูงสุดที่ช่วยฮ่องเต้บริหารราชการแผ่นดิน 3 ตำแหน่ง ได้แก่ ไท่ซือ ไท่ฟู่ ไท่เป่า โดยมากเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์ของขุนนางใหญ่ แต่ไม่ได้มีอำนาจจริง
[2] คำสั่งของบิดามารดา คำพูดของแม่สื่อ หมายถึง คลุมถุงชน การแต่งงานเป็นไปตามคำสั่งของพ่อแม่และการชักนำของแม่สื่อ คู่บ่าวสาวไม่มีสิทธิตัดสินใจเลือกคู่ครองด้วยตนเอง
[3] อู่เจ๋อเทียน หรือ บูเช็กเทียน จักรพรรดินีองค์แรกและองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีน