มู่หนานจือ - บทที่ 97 เปิดเผย
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่คุยกันเรื่องสถานการณ์ภายในครอบครัวในรถม้า ได้รู้ว่าคนของทั้งสองตระกูลต่างปลอดภัยและราบรื่น ก็ถึงวังฉือหนิงแล้ว
ไทฮองไทเฮาจะให้พวกนางอยู่กินโจ๊กให้ได้
กว่าจะกลับถึงตำหนักของตนเองก็เลยยามเว่ยไปแล้ว
เจียงเซี่ยนมีนิสัยพักผ่อนตอนกลางวัน วันนี้วิ่งวุ่นไปมา ยังไม่ได้นอนกลางวัน จึงรู้สึกว่าร่างกายเหนื่อยล้ามาก หลังจากหวีผม ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า และล้างเครื่องสำอางแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง
แต่นางเพิ่งจะนอนได้ครู่หนึ่งก็ถูกฉิงเค่อปลุก
ฉิงเค่อสีหน้าตื่นตระหนก และเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านหญิงรีบไปดูเถอะเจ้าค่ะ ไทฮองไทเฮาพิโรธจนเป็นลมไปแล้ว”
เจียงเซี่ยนได้ยินก็ตกใจเป็นอย่างมาก เลิกผ้าห่มออกและเหยียบส้นรองเท้าวิ่งออกไปข้างนอก ฉิงเค่อเห็นว่าไม่เรียบร้อยจึงดึงนางกลับมา พลางเรียกนางในเข้ามาเอาเสื้อนอกที่อบอยู่บนเตาอั้งโล่ลงมาให้นาง และหยิบเสื้อสองชั้นตัวหนึ่งหน้าเตียงคลุมตัวเจียงเซี่ยนไปด้วย แล้วเอ่ยว่า “ท่านหญิงระวังหน่อยเจ้าค่ะ หากท่านเป็นหวัด ไทฮองไทเฮาทรงทราบก็จะคอยเฝ้าท่านจนไม่เสวยอะไรอีก…”
นางพยักหน้า มือไม้อ่อนแรง ปล่อยให้ฉิงเค่อกับเหล่านางในช่วยสวมเสื้อผ้าให้นาง นานมากกว่าจะตั้งสติได้ และเอ่ยว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฉิงเค่อช่วยผูกสายรัดเอวให้นาง และเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ไทฮองไทเฮากำลังเล่นหมากกระดานกับไทฮองไท่เฟย ขันทีซุนซุนเต๋อกงจากวังเฉียนชิงมาหา ขันทีหลิวก็พาขันทีซุนเข้าไป เพียงไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ในห้องอุ่นก็เกิดความวุ่นวายขึ้น ไทฮองไท่เฟยเดินหน้าซีดออกมาเอง และให้คนไปเชิญหมอหลวงเถียนมาจากสำนักหมอหลวง แถมยังให้นางในมาเรียกท่านไป…”
เจียงเซี่ยนขมวดคิ้วแน่น เห็นสายรัดเอวผูกแล้วก็ปิดเสื้ออย่างลวกๆ และเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว เดินไปก็ถามฉิงเค่อไป “ตอนนี้ใครรับใช้อยู่ข้างพระวรกายไทฮองไทเฮา?”
ฉิงเค่อเดินตามหลังเจียงเซี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และเอ่ยว่า “ไทฮองไท่เฟยกับแม่นมเมิ่งอยู่กันทั้งคู่ แล้วก็ให้คนไปเชิญท่านหญิงชิงฮุ่ยแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงเซี่ยนพยักหน้า สมองส่งเสียงวิ้งๆ นางพยายามระลึกถึงเรื่องราวในชาติก่อนอยู่ก็เจอไป๋ซู่ที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย สีหน้าเคร่งขรึม และรีบมาเช่นกันตรงหัวโค้ง
ทั้งสองคนไม่มีอารมณ์ทักทายกันแล้ว พวกนางพยักหน้า และวิ่งเหยาะๆ ไปห้องอุ่นตะวันออกด้วยกัน
ไทฮองไทเฮาได้สติแล้ว พวกหลิวเสี่ยวหม่านกับซุนเต๋อกงต่างล้อมอยู่ข้างกายไทฮองไทเฮา ไทฮองไทเฮานอนตะแคงอยู่ในอ้อมแขนของไทฮองไท่เฟย โดยเมิ่งฟางหลิงคอยป้อนชาร้อน
พอเห็นเจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่ก็เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “พวกเจ้าก็จริงๆ เลย หลานยังเล็ก หากทำให้พวกนางตกใจจะทำอย่างไร?” แล้วรีบเอ่ยกับเจียงเซี่ยนและไป๋ซู่ว่า “ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร แค่หายใจไม่ทันเท่านั้น หายดีแล้ว…”
แค่เรื่องหายใจ!
เจียงเซี่ยนรับถ้วยเล็กมาจากเมิ่งฟางหลิง อยากป้อนน้ำให้ไทฮองไทเฮา
แต่นางไม่เคยทำงานของคนรับใช้จริงๆ ไทฮองไทเฮาจึงดื่มลำบากเล็กน้อย
ไทฮองไท่เฟยอดที่จะหัวเราะไม่ได้ และเอ่ยว่า “เป่าหนิง ให้ฟางหลิงทำดีกว่า! เจ้าให้ฉิงเค่อช่วยเจ้าจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยหน่อย ลมจะได้ไม่พัดเข้าไปในเสื้อผ้าแล้วเป็นหวัด”
เจียงเซี่ยนคืนถ้วยเล็กให้เมิ่งฟางหลิงอีกครั้งอย่างผิดหวัง และยืนให้ฉิงเค่อช่วยนางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยอยู่ข้างๆ
ไทฮองไทเฮาฝืนยิ้มไว้และเอ่ยกับเจียงเซี่ยนว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ากตัญญู แต่ความกตัญญูก็อาจจะไม่ใช่การนำชามาและรินน้ำให้เสมอไป เจ้าสบายดี ยายวางใจ ก็เป็นความกตัญญูเหมือนกัน”
ตาของเจียงเซี่ยนแดงหมดแล้ว
หมอหลวงเถียนวิ่งเข้ามาพร้อมกับขันทีสองคนที่ถือกล่องปฐมพยาบาล ทุกคนรีบลุกขึ้นหลีกทางให้ หมอหลวงเถียนเอ่ยว่า “หลีกไป” แล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิงข้างๆ อย่างไม่เกรงใจ และจับชีพจรบนข้อมือที่คลุมผ้าเช็ดหน้าสีขาวของไทฮองไทเฮา
ทุกคนต่างมองหมอหลวงเถียนอย่างกระวนกระวาย
นานมาก พอจับชีพจรทั้งมือซ้ายและมือขวาแล้วหมอหลวงเถียนก็สีหน้าผ่อนคลายลง และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไทฮองไทเฮาเพียงแค่ความโกรธกระทบกระเทือนหัวใจ กินยาเม็ดคลายเส้นสักหน่อยก็หายแล้ว ยาต้มก็ไม่ต้อง”
บรรยากาศในห้องผ่อนคลายขึ้น
ไทฮองไทเฮาได้ยินก็ยิ้มและเอ่ยว่า “ข้าบอกว่าข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าก็จะเชิญหมอหลวงเถียนมาให้ได้ พอดีเลย เป่าหนิงเพิ่งกลับมาจากจวนเจิ้นกั๋วกง เจ้าตรวจชีพจรปกติให้นางหน่อย”
ท่านยายไม่วางใจอาหารข้างนอกวัง
หมอหลวงเถียนยิ้มพลางขานว่า “พ่ะย่ะค่ะ” และไม่เพียงแต่ตรวจชีพจรให้เจียงเซี่ยน ทว่ายังตรวจชีพจรให้ไป๋ซู่กับไทฮองไท่เฟยด้วย
เจียงเซี่ยนยังคงเป็นโรคเดิม เลือดลมไม่พอ ไป๋ซู่นั้นแค่สั่งยากำจัดความร้อนและลดไฟในร่างกายให้เล็กน้อย ส่วนไทฮองไทเฮาเป็นใบสั่งยาบำรุงเลือดลม
ทุกคนต่างโล่งใจมาก
หลิวเสี่ยวหม่านส่งหมอหลวงเถียนออกไปข้างนอกอย่างขยันขันแข็ง
ซุนเต๋อกงถึงเดินออกมาจากในมุมกำแพง และยิ้มประจบไทฮองไทเฮาอย่างอ่อนน้อม พลางเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮา เช่นนั้นกระหม่อมกลับไปวังเฉียนชิงก่อน…”
ไทฮองไทเฮาตอบแค่ “อืม” อย่างเย็นชา โดยไม่ชายตามองเขาแม้แต่นิดเดียว
ซุนเต๋อกงวิ่งอย่างเร็วเหมือนกระต่าย
เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างแปลกใจว่า “เขาเป็นอะไรไปหรือ?”
ไทฮองไท่เฟยมองไทฮองไทเฮาครั้งหนึ่ง และไม่เอ่ยสิ่งใด
แต่ไทฮองไทเฮากลับครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และเรียกเจียงเซี่ยนมาตรงหน้า พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ซุนเต๋อกงมาธุระแทนฝ่าบาทน่ะสิ! บอกว่าก่อนหน้านี้ฝ่าบาทกลัวคนสกุลเฉาต่อว่า หลับนอนกับซ่งเสียนอี๋แล้วก็ไม่กล้าให้ฝ่ายขันทีและนางในเขียนลงใน ‘บันทึกพระราชดำรัสและพระจริยวัตรของฮ่องเต้ในวัง’ เวลานี้ซ่งเสียนอี๋เข้าเวรอยู่ที่ตำหนักของคนสกุลเฉา ตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว ถูกคนสกุลเฉาจับได้ จึงให้ข้ามอบตราประทับของฮองเฮาให้คนของฝ่ายขันทีและนางใน ฝ่ายขันทีและนางในจะได้เติมลงไปใน ‘บันทึกพระราชดำรัสและพระจริยวัตรของฮ่องเต้ในวัง’…”
ตอนนั้นเฉาไทเฮาคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าตนเองจะอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วต่อ ตราประทับแทนตัวฮองเฮาจึงยังอยู่ในวัง
ในที่สุดเฉาไทเฮาก็เดินมาถึงขั้นนี้
เจียงเซี่ยนโล่งอก
แต่ไทฮองไท่เฟยกลับหน้าซีด
นางไม่รู้ว่าแม่นมฟางตั้งท้องลูกของจ้าวอี้อยู่
ทว่าหลังจากเกิดเรื่องขึ้นไทฮองไทเฮาก็ยังอดไม่ได้ที่จะบอกไทฮองไท่เฟยที่อยู่กับตนเองมาเกือบห้าสิบปี
แต่ก่อนหน้านี้ซ่งเสียนอี๋ถูกเจียงเซี่ยนรั้งไว้ที่วังฉือหนิงตลอด อายุครรภ์น้อยยังบอกได้ว่าดูไม่ออก ทว่าเวลานี้เด็กเจ็ดเดือนกว่าแล้ว ไม่มีทางที่จะดูไม่ออก
นั่นก็หมายความว่า เด็กคนนี้เป็นลูกของคนสกุลฟาง
แต่ตอนนี้กลับถูกเฉาไทเฮาบอกว่าเป็นลูกของซ่งเสียนอี๋ไปแล้ว
เด็กเป็นลูกของคนสกุลฟางก็คลอดออกมาไม่ได้ ต่อให้คลอดออกมาแล้วก็ต้องปิดบังชาติกำเนิดอย่างมิดชิด และบันทึกชื่อลงในบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำราชวงศ์ไม่ได้เช่นกัน
เด็กเป็นลูกของซ่งเสียนอี๋ก็จะกลายเป็นลูกชายคนโตที่เกิดจากสนมของฮ่องเต้ หากฮองเฮาไม่มีลูก เขาจะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์
นี่เฉาไทเฮาคิดจะทำอะไร?
ตอนที่ซุนเต๋อกงขอตราประทับของฮองเฮาจากไทฮองไทเฮา นางยังไม่ทันได้คิด…ทว่าเวลานี้กลับเข้าใจเจตนาของเฉาไทเฮาอย่างสิ้นเชิงแล้ว
นี่จะไม่ทำให้สายเลือดของราชวงศ์มั่วไปหมดหรือ?
ผ้าเช็ดหน้าพันปลายนิ้วของไทฮองไท่เฟยรอบแล้วรอบเล่า
มีแต่ไป๋ซู่ที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จึงแอบกระซิบกับเจียงเซี่ยนเสียงเบามากว่า “ซ่งเสียนอี๋ตั้งท้องลูกของฝ่าบาทหรือ? ทำไมถึงดูไม่ออกแม้แต่นิดเดียว? ก็ไม่เห็นว่านางจะอาเจียน แล้วก็ไม่เห็นว่าท้องนางใหญ่ขึ้นด้วยนี่นา!”
เจียงเซี่ยนอยากบอกนางมากว่า ท้องสามเดือนแรกต่างหากที่จะอาเจียนและดูออก
ทว่าเวลานี้นางเป็นเด็กสาวที่ยังไม่ออกเรือน และยังไม่รู้เรื่องพวกนี้ เหมือนกับไป๋ซู่
นางถามไทฮองไทเฮา “เสด็จยายจะประทับตราให้ซ่งเสียนอี๋หรือเพคะ?”
“ข้าไม่มีทางประทับตราหรอก” ไทฮองไทเฮาสีหน้าซีดเซียว เหมือนแก่ไปสิบปีในทันใด และเอ่ยอย่างเหงาหงอยว่า “ฝ่าบาทจะบันทึกชื่อลูกของซ่งเสียนอี๋กับฝ่าบาทลงในบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายประจำราชวงศ์ให้ได้ ข้าก็จำเป็นต้องขอให้อ๋องเจี่ยนออกมาตัดสินแล้ว”
—————–