มู่หนานจือ - บทที่ 98 ยอมอ่อนข้อให้
ถึงเวลานี้แล้ว ไทฮองไทเฮายังห่วงหน้าตาของจ้าวอี้อยู่ และไม่ป่าวร้องเรื่องที่จ้าวอี้ทำออกมา
ตอนเย็นเจียงเซี่ยนอยู่คุยเป็นเพื่อนไทฮองไทเฮาที่กินข้าวต้มไปไม่ถึงครึ่งถ้วยก็กินไม่ลงอีก
“เสด็จยาย ถึงเวลานี้แล้ว เสด็จยายถือตราประทับของฮองเฮาไว้จะยังมีประโยชน์อะไร?” นางเตือนไทฮองไทเฮา “เรื่องนี้แม้แต่เฉาไทเฮาก็ทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาท และยังช่วยจัดเตรียมคนปิดบังเรื่องอื้อฉาวไว้ให้ฝ่าบาทเรียบร้อยแล้วด้วย ทำไมเสด็จยายจะต้องเข้าไปยุ่งเรื่องนี้อีก? สุดท้ายก็จำเป็นต้องล่วงเกินทุกคน”
“เราจะเห็นการกระทำผิดในใต้หล้านี้และเพิกเฉยเพราะกลัวล่วงเกินคนไม่ได้” ไทฮองไทเฮาเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “เป่าหนิง หากให้ลูกชายของคนสกุลฟางเป็นลูกชายคนโตที่เกิดจากสนมของฝ่าบาท ข้าไปยมโลกแล้ว จะมีหน้าไปเจอเสด็จตาของเจ้าได้อย่างไร”
เจียงเซี่ยนได้ยินก็อดที่จะพึมพำในใจไม่ได้
ท่านอยากเจอเขา เขาอาจจะไม่อยากเจอท่านก็ได้นะ?
ตอนที่เขามีชีวิตอยู่ก็โปรดปรานคนสกุลอันที่สุด
หากไม่ใช่เพราะคนสกุลอันวางตัวอยู่ในกรอบ ก็เกรงว่าตำแหน่งของท่านในวังนี้คงจะเปลี่ยนคนไปตั้งนานแล้ว!
เจียงเซี่ยนคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็ถอนหายใจยาวเหยียดในใจอย่างแผ่วเบา
มีแต่นางหรือเปล่าที่ใจแคบแบบนี้ จนไม่อาจยอมให้คนอื่นขอโทษได้…
“แม้เฉาไทเฮาจะนิสัยร้ายกาจ แต่อย่างไรก็เป็นไทเฮาที่เคยสำเร็จราชการแทน” เจียงเซี่ยนเกลี้ยกล่อมให้ยายใช้ตราประทับด้วยเสียงอ่อนโยน
“หากเสด็จยายคิดว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสม ก็ลองส่งใครสักคนไปถามเฉาไทเฮาดูก็ได้ เฉาไทเฮาอาจจะไม่มีทางเลือกแล้วเหมือนกันถึงได้ตกลง อีกอย่างอ๋องเจี่ยนเป็นขุนนางเก่าแก่มาหลายสมัยแล้ว มีความรู้และประสบการณ์กว้างขวาง แทนที่เสด็จยายจะไว้จัดการฝ่าบาทไม่ได้แล้วค่อยให้อ๋องเจี่ยนออกหน้าไปเกลี้ยกล่อมฝ่าบาท สู้ลองปรึกษากับอ๋องเจี่ยนก่อนดีกว่า” สุดท้ายนางก็เตือนยายของตนเอง “สุภาษิตกล่าวไว้ดี ผู้อ่อนแอเอาชนะผู้แข็งแกร่งไม่ได้ เวลานี้ฝ่าบาทคือผู้แข็งแกร่ง”
ไทฮองไทเฮาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่เช้ามืดวันรุ่งขึ้นก็รีบเรียกอ๋องเจี่ยนเข้าวังทันที
เจียงเซี่ยนกับไป๋ซู่หลบมาทำงานเย็บปักถักร้อยอยู่ในตำหนักตงซาน
ทั้งสองคนต่างอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก เจียงเซี่ยนถือเข็มกับด้ายอยู่ก็เหม่อลอย
ชาติก่อนอ๋องเจี่ยนเคยบอกนางว่า เฉาไทเฮาสังหารทายาทของราชวงศ์ หากให้เฉาไทเฮาว่าราชการหลังม่านต่อไป เกรงว่าอำนาจในการปกครองแคว้นของตระกูลจ้าวในภายภาคหน้าก็ต้องสกุลเฉาแล้ว ทว่าตอนหลังที่เขาสนับสนุนนางมากมายก็เป็นเพราะนางทุ่มเทเลี้ยงจ้าวสี่อย่างสุดกำลัง
หวังว่าเขาจะทำเหมือนอย่างที่พูด
แต่ไป๋ซู่กลับกำลังเป็นห่วงซ่งเสียนอี๋ นางเอ่ยกับเจียงเซี่ยนเสียงเบามากว่า “เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เจ้าว่าเฉาไทเฮาจะจัดการซ่งเสียนอี๋อย่างไร?”
เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “อาจจะแต่งตั้งตำแหน่งต่ำๆ ให้นางสักตำแหน่ง และให้นางดูแลเด็กคนนั้นกระมัง?”
ไป๋ซู่ก็ถอนหายใจ และเอ่ยว่า “เจ้าว่านางทำอะไรไม่ดี ถึงต้องไปยุ่งกับฝ่าบาท…เมื่อก่อนข้ายังคิดว่านางเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ตอนนี้ก็ดูเหมือนจะเพียงแค่นี้! ในวังนี้ไม่มีคนที่ไม่อยากเป็นสนมของฝ่าบาทด้วยหรือ?”
“มีสิ!” เจียงเซี่ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากับข้าไง?”
“โอ๊ย!” ไป๋ซู่หยิบผ้าเช็ดหน้ามาฟาดเจียงเซี่ยนทีหนึ่ง และเอ่ยว่า “ทำไมตอนนี้เจ้าถึงพูดจาไม่มีขอบเขตเลย? กล้าพูดไปหมด!”
เจียงเซี่ยนหัวเราะกับนาง
ในที่สุดบรรยากาศในห้องก็ดีขึ้นแล้ว
หลังจากอ๋องเจี่ยนจากไป เจียงเซี่ยนก็ไปพบไทฮองไทเฮาทันที
ไทฮองไทเฮานอนตะแคงอยู่บนหมอนอิงของเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่างด้วยสีหน้าซีดเซียว
ผลของการปรึกษากับอ๋องเจี่ยนไม่ต้องเอ่ยก็รู้ได้แล้ว
เจียงเซี่ยนสงสารยายของตนเองเล็กน้อย นางรับถ้วยชาจากมือของนางในไปวางใกล้มือของไทฮองไทเฮาอย่างแผ่วเบา และปลอบใจไทฮองไทเฮาเสียงเบา “ฝ่าบาทอายุยังน้อย แค่มีลูกชายคนโตที่เกิดจากสนม และเลี้ยงเด็กคนนั้นในวังจะเป็นอะไรหรือเพคะ?”
ไทฮองไทเฮาหลับตาลงอย่างเสียใจ และเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ข้ามอบตราประทับของฮองเฮาให้ฟางหลิงนำไปภูเขาวั่นโซ่วแล้ว เรื่องนี้ข้าไม่ยุ่งแล้ว ปล่อยให้พวกเขาจัดการไปแล้วกัน! และข้าก็คิดได้แล้วว่า พวกเขาต่างกลัวล่วงเกินฝ่าบาท ข้ายืนหยัดอยู่ตรงนี้คนเดียวมีแต่จะทำให้คนอื่นเข้าใจว่าข้าคิดว่าตนเองอาวุโสกว่า ทุกคนจึงต้องยอมให้ และทำตัวไม่เหมาะสม!”
แม้จะพูดแบบนี้ ทว่าสองวันให้หลังในวังประกาศว่าซ่งเสียนอี๋ตั้งครรภ์โอรสของฮ่องเต้อย่างเป็นทางการ ตอนที่ย้ายเข้าไปในตำหนักอี๋อวิ๋นแล้วเห็นพวกสาส์นแสดงความยินดีอย่างนอบน้อมที่บรรดาฮูหยินซึ่งคิดว่าตนเองฉลาดเขียน ไทฮองไทเฮาก็ยังอดที่จะร้องไห้ไม่ได้
เจียงเซี่ยน ไป๋ซู่ และไทฮองไท่เฟยคิดหาทางปลอบใจไทฮองไทเฮาอยู่หลายวัน ไทฮองไทเฮาถึงจะค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น และนึกถึงที่เจียงเซี่ยนบอกว่าหิมะตกติดต่อกันหลายวัน เหล่าต้นเหมยโบราณอายุร้อยปีในอุทยานหลวงต่างออกดอกแล้ว จึงตัดสินใจเชิญเหล่าฮูหยินเข้ามาเป็นแขกในวัง และจัดงานเลี้ยงชมดอกเหมย แน่นอนว่าพวกเจียงเซี่ยนย่อมรู้สึกดีใจ จึงช่วยกันออกความเห็น กำหนดรายการอาหาร และเขียนสาส์นเชิญ ยุ่งแบบนี้ไปหลายวัน ไทฮองไทเฮาถึงจะไม่ไปคิดเรื่องนั้นจริงๆ และไปดูดอกเหมยที่อุทยานหลวงกับเจียงเซี่ยน ไป๋ซู่ และไทฮองไท่เฟย
ทว่าเวลานี้หลี่เชียนกลับนั่งตกปลาท่ามกลางหิมะที่หนาวเย็นเลียนแบบคนโบราณกับเฉาเซวียนอยู่ที่ตำหนักสาหร่ายของทะเลสาบคุนหมิง
“…ตอนนั้นที่เจิ้นกั๋วกงเรียกข้าไปคุยเรื่องนี้ ข้าก็คิดว่าดีเหมือนกัน” หลี่เชียนมองสายลมและหิมะ สองมือสอดไขว้กันในแขนเสื้อ หนาวมากจนตัวสั่นตลอด เขาช่วยขันทีที่ดูคันเบ็ดให้พวกเขาอยู่หยิบเหล้าจินหวาที่อุ่นอยู่บนเตาดินแดงเล็กข้างๆ ขึ้นมารินให้เฉาเซวียนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหนึ่งจอก และเอ่ยต่อว่า “ท่านพ่อบอกว่า หากทั้งราชสำนักจับตาดูไทเฮาอยู่ ไทเฮาก็ต้องรู้สึกอึดอัด และไม่ยอมอ่อนข้อให้ฝ่าบาท…ตอนที่ฝ่าบาทอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่ว ไทเฮาปฏิบัติกับฝ่าบาทอย่างไร เจ้าก็เห็นแล้ว เรื่องสำคัญที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วนในเวลานี้คือฟื้นฟูความสัมพันธ์กับฝ่าบาทและเหล่าราชเลขาธิการ ตราบใดที่ยังมีชีวิตก็ยังมีอนาคตและความหวัง ส่วนหลังจากนี้ค่อยว่ากัน”
เฉาเซวียนจะไม่รู้ได้อย่างไร?
ไม่อย่างนั้นหลี่ฉางชิงก็คงจะไม่ให้หลี่เชียนมาคุยเรื่องนี้กับเขาแล้ว
เขามองหิมะที่ยิ่งตกก็ยิ่งหนักข้างนอก สีหน้าฉายแววละอายใจ และเอ่ยเสียงเบาว่า “เดิมทีไทเฮาอยากพระราชทานงานสมรสให้เจ้ากับคุณหนูไป๋ซู่…”
“ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน!” หลี่เชียนท่าทางไม่ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง “ตอนนั้นไทเฮาสนับสนุนตระกูลหลี่ แน่นอนว่าให้ตระกูลหลี่แต่งงานกับตระกูลไป๋ก็ย่อมดีกว่า เวลานี้ตระกูลของข้าร่วมทุกข์ร่วมสุขกับไทเฮา ฝ่าบาทเห็นแก่ไทเฮา ไม่คิดบัญชีกับตระกูลหลี่ของพวกเราก็ดีแล้ว จะสนพระทัยตระกูลหลี่ได้อย่างไร? ตระกูลหลี่จะได้แต่งงานกับตระกูลไป๋ก็เพราะไทเฮาทรงโปรดปราน” เขาเอ่ยพลางยิ้มอย่างเย้าแหย่ว่า “เจ้าคงจะไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร!” เฉาเซวียนมองเขาอย่างไม่พอใจ และยกจอกเหล้าดื่มรวดเดียวหมด “ข้าเพียงแค่รู้สึกผิดต่อเจ้านิดหน่อยเท่านั้น!”
เป็นดังที่หลี่เชียนเอ่ย ก่อนหน้านี้ที่ตระกูลหลี่มีสิทธิแต่งงานกับตระกูลไป๋ เป็นเพราะป้าของเขาต้องการใช้งานตระกูลหลี่ในตำแหน่งสำคัญ เวลานี้ป้าของเขาตกอับแล้ว ในสายตาคนอื่นตระกูลหลี่ที่ติดตามป้าของเขาอยู่ก็กล่าวได้ว่าหมดอนาคตแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการแต่งงานกับตระกูลไป๋ แค่แต่งงานกับขุนนางระดับต่ำระดับห้าระดับหกสักคนในเมืองหลวง คนอื่นก็จะรู้สึกว่าตระกูลหลี่โชคดีแล้ว ดังนั้นคนอย่างเจียงเจิ้นหยวนเจิ้นกั๋วกงก็ยิ่งดูถูกตระกูลหลี่แล้ว
การแต่งงานกับชนชั้นสูงคนใหม่ในเวลานี้เป็นการแสดงว่าตระกูลเฉายอมอยู่ใต้อำนาจฮ่องเต้และขอสงบศึกกับสำนักราชเลขาธิการ
คนที่แต่งงานก็ต้องเป็นเขาที่เป็นตัวแทนของตระกูลเฉา
ตระกูลหลี่ไม่มีคุณสมบัติพอด้วยซ้ำ
หากผลักตระกูลหลี่ออกไป นั่นไม่ใช่การขอสงบศึก ทว่าเป็นการตบหน้าฮ่องเต้กับสำนักราชเลขาธิการ
ดังนั้นคนที่แต่งงานกับตระกูลไป๋จำเป็นต้องเป็นเขา
สำหรับเขา แต่งงานกับใครก็ได้
ขอเพียงทำให้ฮ่องเต้สบายใจ
เพียงแต่เพราะเจียงเจิ้นหยวนเจิ้นกั๋วกงเป็นคนเสนอตระกูลไป๋ เขาจึงยิ่งต้องระมัดระวังเท่านั้นเอง
———————-