มู่หนานจือ - บทที่ 99 เรื่องแต่งงาน
“หากตอนนั้นก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นไทเฮาช่วยให้เจ้าได้หมั้นกับคนที่ดีหน่อยก็คงจะดี” เฉาเซวียนพึมพำอย่างรู้สึกผิดต่อหลี่เชียน
เขาจะได้แต่งงานกับคนอย่างคุณหนูไป๋ซู่ก็เพราะเป็นตัวแทนของตระกูลเฉา ตระกูลหลี่พึ่งพาอาศัยตระกูลเฉา หากแต่งงานจะมีตัวเลือกที่ดีได้อย่างไร
เงาของเจียงเซี่ยนพลันฉายวาบผ่านไปในความทรงจำของหลี่เชียนในทันใด
เขาตกใจมาก
และอยากเก็บเงานี้ไว้ในก้นบึ้งของหัวใจโดยไม่รู้ตัว
ทว่าพอคิดว่าตนเองอยากเก็บเงานี้ไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ เขาก็รู้สึกวุ่นวายใจอย่างบอกไม่ถูก ความเยือกเย็นและสติปัญญาที่เคยภาคภูมิใจมาโดยตลอดละลายเหมือนน้ำแข็งและหิมะที่เจออากาศร้อนในทันใด “ข้าอยากแต่งงานกับคนที่ตนเองชอบ…”
หลี่เชียนเอ่ยอย่างกะทันหัน
ตอนที่เฉาเซวียนรู้สึกหดหู่ที่ตนเองกำลังจะแต่งงาน เขากลับเอ่ยคำพูดราวกับสาดเกลือลงบนแผลของเฉาเซวียนอย่างจังออกมา…
หลี่เชียนเองรู้สึกว่าสมองของตนเองเหมือนถูกสุนัขกินไปแล้ว
เขาอดที่จะเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมาไม่ได้ อยากอธิบายอะไรบ้าง ก็รู้สึกตนเองคิดแบบนี้จริงๆ หากอธิบายก็เท่ากับปิดบังความจริง…ส่วนทำไมถึงไม่อยากปิดบังนั้น สัญชาตญาณของหลี่เชียนทำให้เขาไม่กล้าไปคิดลึก
เฉาเซวียนรู้สึกว่าคำพูดของหลี่เชียนมีเหตุผล
คนในใต้หล้านี้ คนไม่สมปรารถนามีแปดเก้าส่วน ทว่าอย่างไรก็ต้องมีหนึ่งหรือสองคนที่สมปรารถนาใช่หรือไม่? ในเมื่อไม่มีทางได้แต่งงานกับหญิงสาวฐานะร่ำรวยและได้รับการอบรมมาอย่างดี อย่างนั้นก็แต่งงานกับคนที่ตนเองชอบดีกว่า
เขาตบบ่าหลี่เชียนอย่างไม่ใส่ใจ และเอ่ยว่า “เจ้าพูดมีเหตุผล เห็นข้าเป็นแบบนี้แล้ว เจ้าเองก็หาผู้หญิงที่ตนเองชอบเถอะ! ชีวิตยังอีกยาวไกล อย่างไรก็ต้องมีของที่ชอบสักอย่างสองอย่าง” น้ำเสียงท้อแท้สิ้นหวังยิ่งนัก
หลี่เชียนยังคิดฟุ้งซ่านอยู่เล็กน้อย และกำลังอยากเปลี่ยนเรื่องพอดี พอได้ยินเฉาเซวียนเอ่ยเช่นนี้ แน่นอนว่าก็ต้องเปลี่ยนเรื่องไปตามคำพูดของเขา “ถึงข้าจะเคยเจอคุณหนูไป๋ซู่แค่สองสามครั้ง แต่ข้าก็รู้สึกว่าคุณหนูไป๋ซู่เป็นคนที่ไม่เลวทีเดียว ถึงแม้จะเป็นการคลุมถุงชน ทว่านั่นก็เป็นภรรยาที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณีของเจ้าและเป็นแม่ของลูกเจ้าในอนาคตเช่นกัน แม้จะรักใคร่กันอย่างลึกซึ้งไม่ได้ ก็ต้องให้เกียรติกันและกัน ดังนั้นก็เลิกบ่นได้แล้ว…คนอื่นได้ยินเข้าจะไม่ดี”
เฉาเซวียนถอนหายใจอย่างแรง และเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้ว!” แล้วลุกขึ้นให้คนม้วนม่านไม้ไผ่ที่บังอยู่หน้าศาลาริมน้ำ พลางบิดขี้เกียจยาวๆ แล้วหันกลับมาเอ่ยกับหลี่เชียนด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเราไปตกปลากันเถอะ?”
ฤดูนี้ตกปลากับผีน่ะสิ!
หลี่เชียนบ่นอยู่ในใจ แต่กลับไม่แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย เขายิ้มและมุ่งหน้าไปริมทะเลสาบกับเฉาเซวียน ทว่าในใจกลับคิดถึงการละเล่นบนน้ำแข็งที่ทะเลสาบสือช่า
หิมะตกแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานทะเลสาบสือช่าก็น่าจะเป็นน้ำแข็งแล้วกระมัง?
ไม่รู้ว่าเจียงลวี่จะพาเจียงเซี่ยนไปเมื่อไร?
หากสองสามวันนั้นเขาลางาน ไม่รู้จะได้เจอหรือไม่?
ยังมีของที่วันนั้นเขาสัญญาว่าจะซื้อให้เจียงเซี่ยน…จะส่งถึงมือของเจียงเซี่ยนได้อย่างไร?
ตอนนี้เขาเป็นองครักษ์ของภูเขาวั่นโซ่วแล้ว เฉาไทเฮากับฮ่องเต้ผิดใจกัน พวกเขาที่เป็นองครักษ์ก็หาข้ออ้างเข้าวังไม่ได้ด้วยซ้ำ หรือต่อให้หาข้ออ้างได้แล้ว ในความคิดของพวกคนในวัง พวกเขาก็เหมือนคนที่ถูกเนรเทศไปชายแดนและเป็นโรคที่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ หากไม่หลบเลี่ยงไปไกลๆ ก็ต้องระวังตัว เดินไปไหนก็จะมีคนคอยจับตามอง เขาจะมีโอกาสคุยกับเจียงเซี่ยนที่ไหนกัน
เรื่องนี้จะทำอย่างไรดี?
เป็นครั้งแรกที่หลี่เชียนรู้สึกว่าตอนนั้นตนเองเขลาเล็กน้อยที่เคยดีใจที่ได้อยู่ภูเขาวั่นโซ่ว!
เขาส่งใครสักคนไปดูทะเลสาบสือช่าหน่อยดีกว่า
หากทะเลสาบสือช่าเป็นน้ำแข็งแล้ว อย่างน้อยตอนที่เจียงเซี่ยนไปดูการละเล่นบนน้ำแข็ง เขาก็คงมีโอกาสได้พบนาง
หิมะตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
พระราชวังต้องห้ามขาวโพลนไปหมด เหมือนพระราชวังที่เหล่าเทพเซียนอาศัยอยู่ในนิทานเรื่องเล่า
ในห้องอุ่นตะวันออกของวังฉือหนิง เจียงเซี่ยนกำลังคุยกับไทฮองไทเฮา “ก็จัดงานเลี้ยงที่ศาลาข้างต้นหอมหมื่นลี้ ใต้ศาลานั้นมีเตาไฟ ถึงเวลานั้นให้คนจุดเตาไว้ก่อน และติดม่านผ้าฝ้ายรอบด้าน ตอนที่ชมดอกเหมยก็ม้วนขึ้น ตอนที่ดื่มเหล้าก็ปล่อยลง ไม่หนาว”
ชาติก่อน นางก็เคยลอง
ไทฮองไทเฮาพยักหน้าอย่างมีความสุข และเอ่ยพลางถอนหายใจอย่างใจหายว่า “เป่าหนิงของพวกเราโตมากแล้วสินะ รู้ว่าจะจัดงานเลี้ยงในบ้านอย่างไรแล้ว”
ไทฮองไท่เฟยยิ้มตามอย่างเห็นด้วย และเอ่ยว่า “แม้แต่ข้ายังไม่รู้เลยว่าศาลานั้นสามารถจุดเตาไฟใต้ศาลาคลายหนาวได้ แต่เป่าหนิงกลับรู้ จะเห็นได้ว่าเป่าหนิงใช้ความคิดกับเรื่องนี้ไปไม่น้อยเลยทีเดียว”
ไทฮองไทเฮาได้ยินก็หัวเราะอย่างมีความสุข
เจียงเซี่ยนทำได้เพียงเม้มปากยิ้ม
ไป๋ซู่ก็อ่านรายการอาหารอยู่ข้างๆ
ไทฮองไทเฮาตั้งใจฟัง แล้วก็ชมไป๋ซู่เช่นกัน และถามถึงรายชื่อแขกที่เชิญมางานเลี้ยง
เมิ่งฟางหลิงค้อมศีรษะและไปหา
มีนางในฝ่าหิมะมาเลิกม่านขึ้นและเข้ามารายงานว่า “ไทฮองไทเฮา ไทฮองไท่เฟย ท่านหญิงทั้งสอง ฮูหยินเป่ยติ้งโหวส่งสาส์นเข้ามาว่าอยากเข้าวังมาคารวะไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยเพคะ” พอเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็มองไป๋ซู่ครั้งหนึ่ง และเอ่ยอย่างลังเลว่า “ฮูหยินเป่ยติ้งโหวยังบอกอีกว่า หากพรุ่งนี้สามารถอนุญาตให้นางเข้าวังได้แต่เช้า นางจะซาบซึ้งอย่างหาสุดมิได้เพคะ”
ส่วนใหญ่คำพูดนี้เป็นคำพูดที่เหล่าขันทีที่รับผิดชอบส่งสาส์นมาวังฉือหนิงเอ่ย
เวลานี้ฮ่องเต้ว่าราชการด้วยตนเอง ไทฮองไทเฮาควบคุมวังทั้งหก ฐานะของเจียงเซี่ยนและไป๋ซู่ก็พลันสูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน ขันทีเหล่านั้นต้องไม่กล้าล่วงเกินไป๋ซู่อย่างแน่นอน แล้วก็ไม่กล้าตัดสินใจ ถึงได้ขอให้นางในคนนี้พูด ‘ความจริง’
ทุกคนต่างแปลกใจเป็นอย่างมาก ไทฮองไทเฮาเอ่ยว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ก็ให้นางเข้าวังแต่เช้าแล้วกัน!”
นางในโล่งอก นางขานรับอย่างนอบน้อมและออกไปถ่ายทอดคำสั่ง
ทว่าสายตาของไทฮองไทเฮากลับฉายแววงุนงง และพึมพำว่า “ช่วงนี้ก็ไม่ได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นนี่นา?” พอเอ่ยจบ นางก็เอ่ยกับไป๋ซู่ที่หน้าตาฉายแววไม่สบายใจเล็กน้อยว่า “หากเจ้าไม่วางใจ ก็ให้หลิวเสี่ยวหม่านไปตำหนักเฉียนชิง”
ก็คือให้ไปสืบข่าวให้ไป๋ซู่
ไป๋ซู่กับไทฮองไท่เฟยต่างซาบซึ้งอย่างหาสุดมิได้ และไป๋ซู่ก็เอ่ยว่า “บิดามารดาของหม่อมฉันต่างเป็นคนระมัดระวังมากเกินไป บางทีนี่อาจจะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ได้”
นางกำลังพูดอยู่ก็มีนางในเข้ามารายงานว่า “ขันทีหลิวกลับมาแล้วเพคะ”
หลายวันก่อนเขาถูกเจียงเซี่ยนส่งไปหาบ้านที่มีน้ำพุร้อนที่ภูเขาเสี่ยวทัง
ทุกคนในห้องต่างร่าเริงขึ้น และรีบให้นางในคนนั้นพาหลิวตงเยว่เข้ามา
เห็นได้ชัดว่าหลิวตงเยว่กลับไปแต่งตัวที่ห้องมาแล้ว เขาดูหน้าตาซีดเซียว เข้ามาคารวะทั้งสี่คนแล้วก็เอ่ยกับเจียงเซี่ยนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มว่า “ยินดีด้วยขอรับ” พลางประจบเจียงเซี่ยนอย่างเยือกเย็นว่า “ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าท่านหญิงของพวกเราโชคดีได้อย่างไร! ท่านหญิงส่งข้าออกจากวังได้ถูกเวลาพอดี พอข้าไปถึงภูเขาเสี่ยวทังก็ได้ยินว่าราชเลขาธิการเหยียนจะเกษียณและกลับเฉียนถังแล้ว และอยากขายบ้านหลังหนึ่งที่มีน้ำพุร้อนที่ภูเขาเสี่ยวทัง พอข้าได้ยินก็ดีใจแทบแย่ นี่มันคิดสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นไม่ใช่หรือ? ข้าไม่กล้าชักช้าแม้แต่นิดเดียว และไปที่บ้านของราชเลขาธิการเหยียนที่ตั้งอยู่ทางใต้ของภูเขาเสี่ยวทังทันที ท่านทายว่าเป็นอย่างไร? พวกเราไปช้าไปแล้ว บ้านหลังนั้นขายออกไปแล้ว”
เขาอธิบายอย่างสมจริงมาก ไทฮองไทเฮาได้ยินแล้วก็เอ่ยว่า “โธ่เอ๋ย” และเริ่มร้อนใจ
หลิวตงเยว่รีบเอ่ยว่า “ไทฮองไทเฮาอย่าเพิ่งร้อนพระทัยไปพ่ะย่ะค่ะ มิฉะนั้นจะเรียกว่าเรื่องบังเอิญได้อย่างไร! ตอนนั้นกระหม่อมร้อนใจกว่าไทฮองไทเฮาเสียอีก สุดท้ายคิดว่าเป็นอย่างไร? ตอนนั้นหิมะตกหนักเกินไป กระหม่อมกลับไม่ได้ เห็นว่าห่างจากบ้านของราชเลขาธิการเหยียนไปไม่ไกลมีบ้านหลังใหญ่อยู่หลังหนึ่ง ดูโอ่อ่ากว่าบ้านของราชเลขาธิการเหยียนเสียอีก จึงไปอาศัยค้างคืน ไทฮองไทเฮาก็ทรงทราบดีว่า กระหม่อมเป็นคนชอบพูด ก็คุยกับผู้เฒ่าของบ้านหลังนั้นไปหลายคำ ใครจะรู้ว่าพอผู้เฒ่าได้ยินว่าพวกเราไปเพื่อซื้อบ้านของราชเลขาธิการเหยียน ก็เอ่ยทันทีว่า ‘ในเมื่อพวกเจ้าอยากซื้อบ้าน แทนที่จะซื้อของราชเลขาธิการเหยียน สู้ซื้อของนายท่านของพวกเราดีกว่า’”
“ยังมีเรื่องบังเอิญแบบนี้ด้วยหรือ?”
——————–