ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 14 ติดต่อไม่ได้
ตอนที่ 1 4 ติดต่อไม่ได้
เช้าวันนี้ หลังจากแม่ยายของฉีเล่ยทำอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็ร้องเรียกลูกเขย และลูกสาวให้มาร่วมรับประทานอาหารกันอย่างพร้อมหน้า หลังจากนั้น เฉินอวี้หลัวก็ได้แต่งตัวออกไปทำงานตามปกติ
แม่ยายของฉีเล่ยนั้นมีชื่อเดิมว่าซูชางฉิน และเธอก็แต่งเข้าสกุลเฉินตั้งแต่อายุสิบแปดปี เริ่มตั้งท้องเฉินอวี้หลัวเมื่ออายุสิบเก้า
ใครๆที่เห็นลูกสาวของเธอต่างก็พากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ลูกสาวของเธอนั้นสวยงดงามเหมือนกับแม่ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะความสวยของเฉินอวี้หลัวนั้น ถอดแบบมาจากซูชางฉินผู้เป็นแม่ไม่มีผิด
เพียงแต่ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีหลังจากสามีของเธอเสียชีวิตลง ใบหน้าของซูชางฉินก็ไม่เคยมีรอยยิ้มอีกเลย ความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียสามี และความโกรธแค้นในตัวฉีเล่ย ทำให้ใบหน้าของซูชางฉินเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยมีเลยสักครั้ง ที่คิ้วทั้งสองข้างของเธอจะไม่ขมวดเข้าหากัน
แต่เวลานี้ นับตั้งแต่ที่ฉีเล่ยมีบุคลิกที่เปลี่ยนไป และกลายมาเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังได้กลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัวด้วย ทำให้คิ้วที่เคยขมวดเข้าหากันตลอดเวลานั้น ได้คลายออกจากกัน และเวลานี้ ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนผู้นี้ ก็ไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวเหมือนก่อนอีก
ชีวิตใหม่ที่สดใสราวกับฤดูใบไม้ผลินี้ ทำให้ซูชางฉินมีสีหน้าเบิกบาน เอิบอิ่ม และมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด จนเพื่อนบ้านที่ไม่รู้อะไร ต่างก็พากันคิดว่าหญิงวัยกลางคนผู้นี้พบรักใหม่อีกครั้ง ..
แต่เมื่อหลายวันก่อน อาวุโสหวู่ได้สั่งให้ลูกชายมาจัดการเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้านให้ ทำให้เพื่อนบ้านต่างก็เริ่มรู้ว่า ลูกเขยของเธอได้ทำให้สกุลเฉินกลับมามีหน้ามีตาอีกครั้ง
และเมื่อสองวันก่อนที่ซูชางฉินไปเล่นไพ่นกกระจอกกับเพื่อนบ้าน ทุกคนต่างก็พากันชื่นชมไม่ขาดปาก ทำให้หญิงวัยกลางคนมีความสุขอย่างมาก
หลังจากเก็บโต๊ะอาหาร และล้างถ้วยล้างชามเรียบร้อยแล้ว ซูชางฉินก็ได้เตรียมผลไม้มาให้ฉีเล่ย เธอยกจานผลไม้เข้าไปวางให้ลูกเขยที่โต๊ะ ก่อนจะเดินไปเล่นไพ่นกกระจอกกับเพื่อนบ้านเหมือนที่ทำเป็นประจำ
ฉีเล่ยนอนราบอยู่บนโซฟา พร้อมกับหยิบองุ่นในจานใส่ปาก ในขณะเดียวกันก็เล่นกับ ‘จิตวิญญาณ’ ของตัวเองไปด้วย
ฉีเล่ยค้นพบว่า ขีดจำกัดของการรับรู้ทางจิตวิญญาณของตนนั้น อยู่ในรัศมีไม่เกินห้าสิบเมตร ..
ยกตัวอย่างเช่นเวลานี้ เขาสามารถรับรู้ได้ว่า คู่สามีภรรยาข้างบ้านกำลังสอนการบ้านเด็กๆ ส่วนปู่ก็กำลังรดน้ำต้นไม้
แต่เมื่อไกลจากนั้นไป เขาก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลย ..
ด้วยเหตุนี้ ฉีเล่ยจึงได้คาดเดาเอาว่า หากเขาสามารถฝึกฝนจิตวิญญาณของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น ไม่แน่ว่า ความสามารถในการรับรู้ของเขา ก็อาจจะขยายรัศมีออกไปได้ไกลนับพันไมล์เลยก็เป็นได้
ฮ่าๆๆๆ
หลังจากที่คิดอะไรเช่นนั้น ฉีเล่ยก็อดที่จะหัวเราะขบขันกับความคิดของตนเองไม่ได้ !
‘นี่ฉันคิดบ้าอะไรเป็นตุเป็นตะกัน ? เรื่องแบบนั้นมีแต่ในเทพนิยายเท่านั้นล่ะ !’
และในระหว่างที่ฉีเล่ยกำลังครุ่นคิดอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
ท่านหมอครับ ไม่ทราบว่ากำลังยุ่งอยู่มั๊ยครับ ? สะดวกที่จะคุยสายกับผมหรือเปล่า ? เสียงของกวนไห่ผิงดังขึ้นจากปลายสาย
ฉีเล่ยตอบกลับไปในทันที ไม่เลยเถ้าแก่กวน คุณมีอะไรก็พูดมาได้เลย !
เสียงถอนหายใจของกวนไห่ผิงดังขึ้นจากปลายสาย พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลใจ ท่านหมอครับ คือว่า .. เช้านี้ผมตื่นขึ้นมา กลับมีอาการไม่สู้ดีนัก ผมก็เลยอยากจะโทรมาถามท่านหมอเรื่องอาการหน่อย
ฉีเล่ยทำการฝังเข็มครั้งแรกให้กับกวนไห่ผิงไปเมื่อวันก่อน ต่อให้วันนี้กวนไห่ผิงไม่โทรมา เขาก็ต้องเป็นฝ่ายโทรหากวนไห่ผิงเอง ฉีเล่ยไม่พูดอะไรมาก แต่บอกให้เถ้าแก่กวนมาพบเขาที่บ้านทันที
ผมอยู่ที่เฟิงจื่อการ์เด้น ล็อค C6 บ้านเลขที่ 502 คุณมาพบผมที่นี่ได้เลย !
ครับๆ ขอบคุณครับท่านหมอ ผมจะรีบไปพบท่านหมอเดี๋ยวนี้เลย !
หลังจากวางสายไปไม่ถึงยี่สิบนาที กวนไห่ผิงก็มากดออดประตูหน้าบ้าน และไม่จำเป็นต้องเดินออกไปดู ฉีเล่ยก็รับรู้ได้ว่าเป็นกวนไห่ผิงที่อยู่ด้านนอก
ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นกับความสามารถใหม่นี้ของตนเองเป็นอย่างมาก เพราะหากเป็นเช่นนี้ ในวันข้างหน้า เขาก็จะสะดวกในการระมัดระวังโจรผู้ร้ายได้ง่ายขึ้น
ฉีเล่ยเดินออกไปเปิดประตู และเมื่อเปิดออกไป เขาก็พบกวนไห่ผิงยืนรออยู่ ในมือหอบของมาด้วยมากมาย มีทั้งบุหรี่ ไวน์ อาหารเสริม แล้วก็เครื่องสำอาง แม้กระทั่งของเล่นเด็กก็ยังมี
กวนไห่ผิงฉีกยิ้มให้ฉีเล่ยพร้อมกับทักทายออกไป ท่านหมอ ผมไม่รู้ว่าที่บ้านท่านหมอจะมีใครอยู่บ้าง แล้วก็ไม่รู้ว่าท่านหมอมีภรรยาหรือยัง ? ผมก็เลยเตรียมของมาให้ทั้งคนสูงอายุ หญิงสาว แล้วก็เด็กๆด้วย ..
ฉีเล่ยยิ้มออกมา พร้อมกับยื่นมือไปรับของที่กวนไห่ผิงเตรียมมาให้อย่างเต็มใจ แล้วจึงบอกกับชายวัยกลางคนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
เถ้าแก่กวนครับ วันหลังไม่ต้องเกรงใจ ซื้อของมามากมายแบบนี้อีกนะครับ พวกเราสองคนต่างก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าแล้ว !
กวนไห่ผิงพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปทันที ครับๆ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาบ้านท่านหมอ ก็ต้องมีของติดไม้ติดมือมาบ้าง มันเป็นมารยาทน่ะครับ !
หลังจากเข้าไปในบ้าน และนำของฝากที่กวนไห่ผิงนำมาให้ไปเก็บแล้ว ฉีเล่ยก็ได้สั่งให้ชายวัยกลางคนถอดเสื้อออก พร้อมกับนอนราบลงบนโซฟา จากนั้น จึงเริ่มฝังเข็มให้กับเขาทันที และขั้นตอนการฝังเข็มก็ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่ฉีเล่ยเคยทำให้ไปเมื่อวันก่อน
หลังจากทำการฝังเข็มให้กับกวนไห่ผิงจนครบทุกขั้นตอนแล้ว ฉีเล่ยกลับรู้สึกว่า ครั้งนี้ตนเองไม่ได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหมือนครั้งแรก
และแทบไม่ต้องสงสัย นี่เป็นผลมาจากการที่เขาได้รับแก่นวิญญาณ ที่อยู่ภายในลูกทองแดงเข้าไปนั่นเอง !
หลังจากทำการฝังเข็มจนครบขั้นตอนแล้ว กวนไห่ผิงก็ลุกขึ้นยืน พร้อมกับยืดเส้นยืดสาย แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แตกต่างไปจากครั้งก่อน
ครั้งนี้ กวนไห่ผิงรู้สึกว่า ร่างกายของเขาเบาสบายกว่าครั้งก่อนมาก !
กวนไห่ผิงหันไปจ้องมองฉีเล่ยแน่นิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางเคารพนบนอบยิ่งกว่าเดิม
ท่านหมอ ผ่านไปเพียงแค่ สอง สามวัน ผมกลับรู้สึกว่า ทักษะทางการแพทย์ของท่านหมอล้ำลึกขึ้นกว่าเดิมมาก และความศรัทธาของผมที่มีต่อท่านหมอ ก็เพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม ด้วยครับ !
ฉีเล่ยได้ฟังคำเยินยอซึ่งหน้าแบบนี้ เขาก็ถึงกับเก้อเขินจนหน้าแดง และรีบตอบกลับไปว่า เถ้าแก่กวนชมผมจนเกินไป ! ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณเถ้าแก่กวน ที่มอบลูกทองแดงนั่นให้ผม !
ในเวลานั้น เป็นช่วยใกล้เที่ยงพอดี ความจริงฉีเล่ยอยากจะเอ่ยปากเชื้อเชิญกวนไห่ผิง ให้อยู่รับประทานอาหารเที่ยงกับเขาด้วย แต่เป็นเพราะแม่ยายของเขาเป็นคนทำอาหาร เขาจึงไม่กล้าที่จะชวนคนแปลกหน้าซึ่งเธอไม่คุ้นเคย ให้มาร่วมทานอาหารในบ้านด้วย และเกรงว่าเธออาจจะไม่พอใจได้
แม้ว่าตอนนี้ซูชางฉินจะเปลี่ยนไปมากแล้ว อีกทั้งยังมองเขาเปลี่ยนไปมากด้วย แต่เพราะสะสมความโกรธแค้นไว้ตลอดแปดปี ฉีเล่ยจึงไม่มั่นใจว่า เธออาจจะกลับไปเป็นอย่างเดิมเมื่อไรอีกก็ได้ ..
ด้วยเหตุนี้ ฉีเล่ยจึงได้โทรบอกซูชางฉินว่า เที่ยงนี้เขาจะไม่อยู่บ้าน จากนั้น จึงได้ชวนกวนไห่ผิงออกไปหาอะไรกินข้างนอกแทน
ทั้งคู่เดินออกไปนั่งกินอาหารที่ร้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในบริเวณนั้น พวกเขาสั่งอาหารมาสองสามอย่าง พร้อมกับสั่งเบียร์มาสองขวด จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งดื่มกิน และพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
แต่ในระหว่างนั้นเอง โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ ผู้ที่โทรมาก็คือรองประธานหวังของโรงพยาบาลประจำเมืองหนานหยาง ที่ภรรยาของเขาทำงานอยู่นั่นเอง
ทันทีที่ฉีเล่ยกดรับสาย เสียงของรองประธานหวังก็ดังขึ้นทันที ฉีเล่ย ! อวี้หลัวอยู่กับคุณมั๊ย ? ทำไมวันนี้เธอถึงไม่มาทำงาน ?
เอ่อ .. อย่าเพิ่งเข้าใจผมผิด ผมไม่ได้ตำหนิอะไรเธอ ! เพียงแต่ว่า บ่ายนี้เธอมีนัดต้องผ่าตัดคนไข้ แต่ตอนนี้ไม่เพียงเธอไม่มาทำงาน ยังไม่มีใครสามารถติดต่อเธอได้อีกด้วย !
อะไรกันครับ ? อวี้หลัวออกไปโรงพยาบาลตั้งแต่เช้าแล้วนะครับ !
แต่จนป่านนี้เธอยังมาไม่ถึงเลย ! และนี่การผ่าตัดก็กำลังจะเริ่มในอีกหนึ่งชั่วโมงนี่แล้ว ..
ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวผมจะช่วยโทรตามเธอให้นะครับ !
หลังจากวางสายไปแล้ว ฉีเล่ยก็ยังไม่โทรหาเฉินอวี้หลัวในทันที เขาเริ่มรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ
เฉินอวี้หลัวเป็นแพทย์กระดูกที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ โดยปกติ หญิงสาวเป็นคนที่มีความรับผิดชอบในหน้าที่เป็นอย่างดี เธอไม่เคยทิ้งคนไข้ที่นัดไว้ไปเฉยๆแบบนี้เลยสักครั้ง แต่นี่ไม่เพียงเธอไม่ไปทำงาน แต่ยังละทิ้งการผ่าตัดไปโดยไม่บอกล่าวใครในโรงพยาบาลไว้เลย
ที่ผ่านมา หากมีเรื่องไม่สบายใจอะไรมากจริงๆ หญิงสาวก็จะเขียนใบลาอย่างเป็นกิจลักษณะ เพราะฉะนั้น การที่เธอหายไปเฉยๆแบบนี้ จึงไม่ใช่ปกตินิสัยของเธอเลย
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ฉีเล่ยก็รีบโทรหาเฉินอวีหลัวทันที แต่กลับไม่สามารถติดต่อได้ และดูเหมือนว่าเธอจะปิดโทรศัพท์มือถือทิ้ง
ฉีเล่ยยิ่งมั่นใจว่า ต้องมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับเฉินอวี้หลัวอย่างแน่นอน !
ฉีเล่ยกระดกเบียร์ในแก้วเข้าปาก พร้อมกับเริ่มใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ว่า จะเกิดสิ่งใดขึ้นกับหญิงสาวได้บ้าง ?
กวนไห่ผิงที่สังเกตเห็นสีหน้าท่าทางเคร่งเครียดของฉีเล่ย จึงได้ร้องถามออกไปว่า ท่านหมอ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอครับ ?
ฉีเล่ยไม่ตอบ แต่กลับผลุนผันลุกขึ้นทันที พร้อมกับหันไปบอกกวนไห่ผิงว่า ตามผมมาเร็วเข้า !
หลังจากใคร่ครวญอยู่ในใจคนเดียวเงียบๆ ดูเหมือนฉีเล่ยจะพอคาดเดาอะไรบางอย่างได้ ..
แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างเช่นรถชนอย่างแน่นอน นั่นเพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง เธอจะต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แล้วทางโรงพยาบาลก็ต้องโทรแจ้งญาติ แต่จนถึงตอนนี้ ฉีเล่ยเองก็ยังไม่ได้รับโทรศัพท์แจ้งจากโรงพยาบาลเลย ..
แต่สิ่งที่ฉีเล่ยกังวลก็คือการลักพาตัว !
นั่นเพราะโดยปกติ เฉินอวี้หลัวจะเดินทางไปทำงานด้วยรถประจำทาง และเป็นไปได้ว่า ผู้ที่สะกดรอยตามเธอนั้น จะต้องรู้เส้นทางการเดินทางของเธอดี จึงสามารถดักรอเพื่อที่จะจับตัวได้ ..
และนี่เป็นสิ่งเดียวที่ฉีเล่ยคิดได้ในเวลานี้ ภรรยาของเขาต้องถูกลักพาตัวไปอย่างแน่นอน !
แต่เรื่องราวหลังจากนั้น ฉีเล่ยเองก็ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้อีก เขาไม่รู้ว่า เพราะเหตุใดโทรศัพท์มือถือของเฉินอวี้หลัวถึงไม่สามารถติดต่อได้ ?