ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่ 17 ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์ (2)
ตอนที่ 1 7 ใจแกร่งดั่งพยัคฆ์ ( 2 )
และก็เป็นดังเช่นฉีเล่ยคิดจริงๆ เฉินอวี้หลัวไม่ได้อยู่ในรถมินิแวนคันนั้น ..
ทันทีที่ประตูรถมินิแวนเปิดออก ก็มีท่อนแขนแข็งแกร่งกำยำคู่หนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว และลากร่างของฉีเล่ยเข้าไปในรถทันที จากนั้น โจรลักพาตัวทั้งสี่คนด้านล่าง ก็รีบผลักร่างของฉีเล่ยไปตรงกลาง ในขณะเดียวกัน พวกมันก็รีบตามขึ้นไป พร้อมกับปิดประตูรถทันที
นี่พวกแกทำอะไรกัน ? พวกแกคิดจะทำอะไรกันแน่ ?
ฉีเล่ยแกล้งทำเป็นร้องตะโกนออกไปด้วยความตระหนกตกใจ แต่ความจริงแล้ว ภายในใจของเขานั้นกลับสงบนิ่งอย่างที่สุด ในขณะที่ภายนอกแสดงสีหน้าท่าทางหวาดผวา แต่ภายในกลับนึกเย้ยหยัน
หลังจากขึ้นไปบนรถแล้ว ฉีเล่ยจึงได้เห็นว่า โจรลักพาตัวมีอยู่ทั้งหมดหกคน และทุกคนล้วนแล้วแต่สวมผ้าปิดบังใบหน้าที่แท้จริงไว้ แต่ด้วยความสามารถพิเศษในการรับรู้ของชายหนุ่ม ทำให้เขาสามารถมองเห็นใบหน้าที่อยู่ภายใต้ผ้ากำบังได้อย่างชัดเจน
แต่น่าแปลก ที่ทั้งหกคนนั้น กลับไม่มีหลิวไห่หยางอยู่ด้วย ..
ฉีเล่ยยังคงเชื่อว่า เรื่องนี้น่าจะเป็นแผนการของหลิวไห่ผิง และเขาน่าจะเป็นคนที่อยู่กับเฉินอวี้หลัวในตอนนี้
หลังจากที่ฉีเล่ยถูกลากเข้าไปในรถแล้ว หนึ่งในนั้นก็ได้ใช้เชือกป่านมัดมือของชายหนุ่มไพล่หลังไว้ ในระหว่างนั้น ฉีเล่ยก็แกล้งทำเป็นดิ้นรนไม่หยุด จนกระทั่งรู้สึกเย็นวาบที่ลำคอขึ้นมา และเวลานี้ ปลายมีดสั้นเล่มหนึ่งก็กำลังจี้อยู่ที่ลำคอของเขา
ฉีเล่ยจึงได้หยุดดิ้นทันที ทำให้โจรที่อยู่ด้านหลังสามารถมัดแขนของเขาได้ง่ายขึ้น หลังจากที่ผูกมือของฉีเล่ยเรียบร้อยแล้ว โจรที่อยู่ด้านหน้า ก็ได้คว้าซองเช็คออกมาจากกระเป๋าเสื้อของชายหนุ่ม แล้วหยิบเอาเช็คด้านในออกมาดู
เช็คฉบับนี้เป็นเช็คจริง และมีตราประทับของธนาคารจริง มิหนำซ้ำด้านล่างยังมีลายเซ็นของฉีเล่ยอีกด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น เช็คที่มีตราประทับของทางธนาคาร และมีลายเซ็นของเจ้าของบัญชี ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากอะไร จะกรอกตัวเลขลงไปสักเท่าไหร่ก็ได้ ..
เพียงแต่ว่า .. ท้ายที่สุดจะสามารถนำไปขึ้นเงินได้หรือไม่เท่านั้นเอง ขึ้นอยู่กับว่าในบัญชีนั้น มีจำนวนเงินมากพอที่จะจ่ายให้ตามจำนวนเงินในเช็คหรือไม่ก็อีกเรื่อง
โจรคนนั้นก้มลงมองเช็คในมืออีกครั้ง ก่อนจะถามขึ้นว่า แล้วพวกเราจะมั่นใจได้ยังไงว่า เช็คนี่จะไม่เด้ง ..
ฉีเล่ยที่ตอนนี้ถูกจับมัดมือไพล่หลังแน่นจนรู้สึกเจ็บแปลบที่ไหล่ทั้งสองข้าง ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับเนื้อขยับตัว จึงได้แต่ตอบกลับไปนิ่งๆ
พรุ่งนี้ธนาคารเปิด พวกแกก็เอาเช็คนี้ไปขึ้นเงินดูสิ จะได้รู้ว่ามันเด้ง หรือไม่เด้ง ?
โจรคนนั้นพยักหน้าเห็นด้วยกับคำแนะนำของฉีเล่ย ..
ท่ามกลางความเป็นความตายเช่นนี้ ใครกันจะกล้าล้อเล่นกับชีวิตของตัวเอง เพราะต่อให้มีเงินทองมากมายแค่ไหน แต่หากไร้ซึ่งชีวิต เงินทองเหล่านั้นก็เปล่าประโยชน์ และถ้าพรุ่งนี้ไม่สามารถนำเช็คไปขึ้นเงินได้ แน่นอนว่า ผู้ชายคนนี้ก็จะต้องตายด้วยเช่นกัน !
แต่ถึงแม้เช็คฉบับนี้จะขึ้นเงินได้ ชายหนุ่มก็ยังต้องตายอยู่ดี !
ฉีเล่ยขยับเนื้อขยับตัวให้อยู่ในท่าที่เจ็บปวดไหล่ และแขนทั้งสองข้างน้อยกว่าเดิม จากนั้น จึงพูดกับโจรในรถว่า
นี่ .. พวกแกทำแบบนี้ทำไมกัน ? ในเมื่อฉันยอมจ่ายเงินเรียกค่าไถ่ให้แล้ว ทำไมยังต้องจับตัวฉันมาด้วย ? รู้มั๊ยว่าฉันเป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วก็เป็นคนเดียวในบ้านที่หาเงินเลี้ยงดูทุกคน ..
หุบปากได้แล้ว !
โจรที่ถือมีดจี้คอฉีเล่ยเมื่อครู่ ชกเข้าที่ใบหน้าของเขา พร้อมกับตวาดเสียงดัง พวกฉันกำลังจะพาแกไปพบภรรยา แกควรต้องขอบคุณพวกฉันถึงจะถูก !
หลังจากหมอนั่นพูดจบ ภาพที่ฉีเล่ยเห็นก็พลันเหลือเพียงแค่ความมืดมิด นั่นเพราะเวลานี้ ศรีษะของเขาถูกคลุมไว้ด้วยถุงผ้าสีดำ ..
จากนั้น เสียงสตาร์ทรถก็ดังขึ้น แล้วรถมินิแวนก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปในทันที ..
หลังจากถูกต่อยหน้าเข้าไปหนึ่งหมัด ฉีเล่ยก็เริ่มรู้สึกว่า ใบหน้าของเขาชาไปครึ่งซีก และดูเหมือนตามไรฟันของเขา จะมีเลือดไหลออกมาด้วย
แต่นับว่าโชคดี เพราะนี่เป็นบาดแผลเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว เลือดก็หยุดไหลแล้ว เพียงแต่ เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อย เพราะต้องคอยทำตัวสั่นอยู่ตลอดเวลา
ความจริงแล้ว หากอาการสั่นสะท้านของร่างกาย เกิดจากความหนาว หรือว่าความกลัวนั้น ก็คงจะไม่ได้สร้างความเหน็ดเหนื่อยอะไรให้กับคนผู้นั้นมากนัก แต่การที่ต้องแกล้งทำเป็นสั่นนั้น กลับทำให้ร่างกายเหน็ดเหนื่อยมากกว่า
และเวลานี้ ฉีเล่ยก็กำลังเหน็ดเหนื่อยเพราะสิ่งนั้น !
แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก และจำเป็นต้องแกล้งทำเป็นหวาดกลัวจนตัวสั่นต่อไป เพราะหลังจากถูกจับมัดมือไพล่หลัง และเอาถุงดำคลุมหัวแล้ว หากเขายังสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ ก็จะสร้างความระแวงสงสัยให้กับโจรกลุ่มนี้ได้
โจรทั้งหกคนที่อยู่ในรถ ดูเหมือนจะพออกพอใจกับผลงานของตนเองในครั้งนี้มาก พวกมันจึงไม่ได้สนใจฉีเล่ยนัก แล้วคนที่ถือเช็คไว้ในมือก็พูดขึ้นว่า
แกทำดีมาก ที่ไม่แจ้งตำรวจ และถ้าแกทำตัวเชื่อฟั ง ว่านอนสอนง่ายแบบนี้ พวกเราก็จะไม่ให้แกต้องเจ็บตัวมาก ..
คำพูดประโยคสุดท้ายของโจรผู้นั้น เป็นการบอกนัยๆว่า พวกมันไม่ได้คิดที่จะไว้ชีวิตเขา ฉีเล่ยจึงแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ และถามออกไปด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
พี่ชาย ! แล้วเมื่อไหร่ถึงจะปล่อยฉันกับภรรยาไปล่ะ ? พวกเราต่างก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน มิหนำซ้ำยังไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ อีกอย่าง ฉันเองก็นำเงินมาให้ตามสัญญาแล้ว ..
ชายที่ถือมีดสั้นหันไปแสยะยิ้มให้กับเพื่อน ก่อนจะตอบฉีเล่ยกลับไปว่า ไม่ต้องห่วง ! พวกเราไม่ได้คิดที่จะฆ่าใครอยู่แล้ว และที่เมื่อครู่พวกเราต้องลากแกขึ้นมาบนรถ ก็เพราะกลัวว่าจะมีตำรวจแอบดักซุ่มอยู่ต่างหาก ..
ไม่ๆ รับรองว่าไม่มีตำรวจแน่ๆ !
ฉีเล่ยแกล้งทำเป็นร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา ฉันไม่ได้แจ้งตำรวจจริงๆนะ ! ชีวิตของภรรยาฉันอยู่ในกำมือของพวกแก ฉันจะกล้าขัดคำสั่งได้ยังไงล่ะ แล้วฉันก็ยินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ..
ก็ดี ! ถ้าอย่างนั้นก็ให้ความร่วมมือกับพวกเราต่อไปก็แล้วกัน ทำตัวให้ว่านอนสอนง่ายล่ะเด็กน้อย และที่สำคัญ แกช่วยหุบปากได้แล้ว ! ชายที่ถือมีดสั้นหันไปตวาดใส่ฉีเล่ยด้วยความรำคาญ
ฉีเล่ยจึงได้แต่นิ่งเงียบ และไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย !
แน่นอนว่า มีสิ่งหนึ่งที่โจรทั้งหกคนไม่รู้ก็คือ ถุงผ้าสีดำที่คลุมศรีษะของเขาอยู่เวลานี้ ไม่สามารถปิดบังการรับรู้ของฉีเล่ยได้ !
นั่นเพราะความจริงแล้ว เวลานี้ ฉีเล่ยสามารถมองเห็นทุกอย่างภายนอกรถมินิแวนได้อย่างชัดเจน มิหนำซ้ำ ยังมีครอบคลุมรัศมีได้ไกลถึงห้าสิบเมตรอีกด้วย
หลังจากที่ได้ดูดซับเอาแก่นวิญญาณจากลูกทองแดงเข้าไปแล้ว การรับรู้ที่เหนือคนทั่วไปของฉีเล่ยนั้น ก็ได้สร้างความสะดวกสบายให้กับตัวเขามาก เขาเคยอ่านเจอแต่ในนิยาย แต่เวลานี้ สิ่งที่อัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง นั่นเพราะทักษะพิเศษที่เขาได้รับมาในเวลานี้ ทำให้เขาสามารถรับรู้ภาพต่างๆได้โดยไม่ต้องใช้สายตา
ฉีเล่ยรับรู้ภาพของถนนเส้นที่รถวิ่งผ่น และบริเวณรอบๆ พร้อมกับบันทึกมันไว้ในความจำ แต่ไม่ใช่เพื่อนำไปบอกตำรวจ เขาจดจำไว้เพื่อหาหนทางกลับบ้านต่างหาก เพราะการต้องหลงทางในเวลากลางคืน นับเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไม่น้อยทีเดียว ..
รถมินิแวนยังคงมุ่งหน้าไปตามถนนอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง และทั้งหมดก็เกือบจะออกนอกใจกลางเมืองหนานหยางอยู่แล้ว แต่ในที่สุดรถมินิแวนก็ไปหยุดอยู่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง
ฉีเล่ยที่เริ่มรู้สึกง่วง และเบื่อหน่ายเนื่องจากนั่งรถมานานเกินไป จึงได้แก้เบื่อด้วยการมองดูสีกางเกงชั้นในของโจรทั้งหกคนเล่น ..
‘โอ้โห .. หมอนี่ใส่สีแดงแป๊ดเชียว ! ’
‘หืมม .. โจรอะไรใส่กางเกงชั้นในสีชมพูด ! ’
‘ห๊ะ ?! เดี๋ยวๆ นั่นมัน .. หมอนั่นไม่ใส่กางเกงในเหรอนี่ ? ’
‘ถึงแม้นกเขาของหมอนี่จะไม่ได้สั้นนัก แต่ก็ผอมเล็กเกินไป ใช้ประโยชน์ได้ไม่ดี .. ’
รถมินิแวนเลี้ยวแล้วเลี้ยวอีกอยู่หลายครั้ง ฉีเล่ยคำนวณอยู่ในใจว่า จากบ้านของเขามาถึงบริเวณนี้ ก็น่าจะราวเจ็ดสิบกิโลเมตรได้ และในที่สุด รถมินิแวนก็ค่อยๆชะลอ เป็นการบ่งบอกว่ามาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
ด้านหน้าของเขาเวลานี้เป็นป่าไม้หนาทึบ และดูเหมือนจะขับรถเข้าไปไม่ได้ พวกมันจึงต้องจอดรถไว้ข้างทาง หลังจากนั้น โจรทั้งหกก็ได้ลงจากรถ พร้อมกับคุมตัวฉีเล่ยลงมาด้วย จากนั้น ก็ได้พาตัวเขาเดินเลาะไปตามชายป่า
ทั้งหมดเดินเข้าไปในป่าค่อนข้างลึก และในที่สุดฉีเล่ยก็ได้พบว่า กลางป่าแห่งนี้เป็นพื้นที่โล่ง และมีแม่น้ำไหลผ่าน บนพื้นผิวน้ำมีเรือเก่าๆจอดอยู่ลำหนึ่ง สีกระดำกระด่าง และมีตะไคร่น้ำขึ้นอยู่รอบลำ
แต่ถึงแม้จะเก่า แต่เรือลำนี้ก็ค่อนข้างใหญ่โตทีเดียว และมีถึงสองชั้น ดูเหมือนจะเป็นเรือท่องเที่ยวที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
ฉีเล่ยอดที่จะยอมรับไม่ได้ว่า โจรลักพาตัวกลุ่มนี้ช่างหาสถานที่ซ่อนตัวได้ลึกลับมากจริงๆ เวลานี้เป็นช่วยปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศจึงค่อนข้างเย็น ในสภาพอากาศเช่นนี้ มีน้อยคนนักทีคิดจะมาเที่ยวเล่นริมฝั่งแม่น้ำที่เงียบเหงาเช่นนี้ ส่วนใหญ่จะเลือกไปเที่ยวสถานที่ที่มีผู้คนคึกคักเสียมากกว่า
ฉีเล่ยสังเกตเห็นว่า ภายในห้องโดยสารของเรือลำนั้น ได้มีการดัดแปลงเป็นห้องนอน และห้องเก็บสัมภาระต่างๆ อีกทั้งบางส่วนยังถูกดัดแปลงเป็นห้องครัว ที่เวลานี้มีถังแก๊สซึ่งด้านบนมีกาต้มน้ำที่กำลังเดือดตั้งอยู่
ทั้งหมดนี้บ่งบอกว่า โจรกลุ่มนี้ดูเหมือนจะหลบมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ได้สักระยะแล้ว เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า พวกมันเป็นอาชญากรที่กำลังหลบหนีการจับกุมจากทางตำรวจอยู่
และภายในห้องเก็บของมืดสนิทที่อยู่ภายในห้องโดยสาร ฉีเล่ยก็รับรู้ได้ว่า เฉินอวี้หลัวถูกขังอยู่ด้านใน !