ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่107 โรงงานต้องสงสัย
ตอนที่107 โรงงานต้องสงสัย
หลินซูวโม่ที่นั่งตรงข้ามคลี่ยิ้มกว้างใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขใจ
“ตามนั้นครับ”
ฉีเล่ยกล่าวตอบอย่างไร้ความรู้สึก
เขาไม่รู้หลักการทำธุรกิจก็จริง แต่ใช่ว่าฉีเล่ยจะเป็นคนโง่เช่นกัน สิ่งหนึ่งที่ทราบได้อย่างแน่ชัดคือ หากยาผงสีดำชนิดนี้สามารถนำไปแปรรูปและจัดจำหน่ายได้ออกเป็นวงกว้าง ผลกำไรจากยาผงตัวนี้จะต้องทะลักเข้ามาอย่างมหาศาล
ขนาดยาทาแก้ปวดเมื่อยทั่วไปยังมีมูลค่าในตลาดกว่าหลายหมื่นล้าน แล้วสำหรับยาผงของฉีเล่ยซึ่งไม่เพียงจะมีสรรพคุณแค่แก้ปวด แก้อักเสบ แต่ยังช่วยทำให้รอยแผลเป็นหายเป็นปกติอีกด้วย หากยาผงชนิดนี้ถูกผลิตออกมาได้ในปริมาณมาก นี่จะต้องเป็นสินค้าขายดีราวกับเทน้ำเทท่าอย่างไม่ต้องสงสัย
สรวงสวรรค์ประทานหัวใจให้มนุษย์ทุกคนรู้จักรักสวยรักงาม แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะเกิดมาพร้อมกับใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ ตราบใดที่ผู้คนบนโลกยังมีปัญหาเรื่องรอยแผลเป็นในบริเวณต่างๆของร่างกาย กระแสความนิยมของยาคางคกเย็นก็ย่อมไม่มีวันแผ่ว
แม้ว่าหลินชูวโม่จะได้รับส่วนแบ่งแค่30% แต่ถ้าตีเป็นจำนวนเงินก็ยังคงเป็นมูลค่าที่สูงจนน่าตกใจ แน่นอนว่าเธอเข้าใจในประเด็นนี้อย่างแจ่มแจ้ง ไม่เช่นนั้นเธอคงจะไม่เต็มใจเสนอส่วนแบ่งนี้ให้กับฉีเล่ยแน่
“โอเค โอเค โอเค สุดท้ายพวกเราก็หน้าเงินทั้งคู่นั่นแหละ นี่นายไม่คิดเหรอว่า สิ่งนี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรักระหว่างเรา?”
หลินชูวโม่ปั้นสีหน้าขี้เล่นใส่ พร้อมคลี่ยิ้มกว้างอันทรงเสน่ห์
ฉีเล่ยส่ายหัว
“คุณก็ควรทราบนะครับ ที่ผมยอมร่วมมือกับคุณเป็นเพราะสาเหตุใด? มันไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความรักหรอกครับ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของคนที่กำลังจะรวย”
“ฉันชอบประโยคนี้แฮะ”
หลินชูวโม่ยกถ้วยชาของเธอขึ้นมา พลางยกอีกแก้วส่งไปทางฉีเล่ย
“หวังว่าการร่วมมือระหว่างเราครั้งนี้จะสำเร็จไปได้ด้วยดี ที่นี่ไม่มีไวน์ ใช้น้ำชาชนแก้วไปแทนก่อนแล้วกัน ครั้งหน้าเดี๋ยวฉันจะพานายไปดินเนอร์แบบเป็นทางการ”
“ขอให้สำเร็จด้วยดีครับ”
ฉีเล่ยยกแก้วชาขึ้นชนกับเธอเบาๆ ทั้งสองดื่มชาร่วมแสดงความยินดีแทนไวน์
หลินชูวโม่กล่าวต่อว่า
“ตั้งแต่ที่ค้นพบว่า แผลที่หัวเข่าฉันหายดีเป็นปลิดทิ้ง ฉันก็วางแผนที่จะหาทางร่วมมือกับนายอยู่แล้ว รู้ไหมว่า อุตสาหกรรมด้านความสวยความงามของประเทศเรามันมีตลาดใหญ่โตแค่ไหน? ถ้าประเมินในภาพรวม จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนสะพัดต่อวันถึง30,000ล้านหยวน”
“นี่เคยศึกษามาก่อนหรือแค่พูดขึ้นมามั่วๆกันครับ?”
“ฉันก็ต้องศึกษาหาข้อมูลมาสิ!”
หลินชูวโม่ส่งสายตาค้อนให้กับฉีเล่ยไปหนึ่งครั้ง
“ตัวเลขนี้มาจากสถิติที่ทางรัฐบาลประเมินมาล่าสุดเลยนะ”
หลินชูวโม่วางแก้วชาลงและอธิบายต่อว่า
“ถ้าครีมบำรุงผิวชูวโม่ของเราสามารถตีตลาดได้ ฉันมั่นใจอย่างมากว่า ภายในหนึ่งปี พวกเราจะสามารถครอบครองส่วนแบ่งทางการตลาดของอุตสาหกรรมนี้ได้ราว3-5%ในทันที”
“เดี๋ยวก่อน มีอะไรแปลกๆรึเปล่า? ชื่อครีมอะไรนะ?”
“ครีมบำรุงผิวชูวโม่ ชื่อนี้นายคิดว่าไง?”
“ควรเรียกว่า ครีมคางคกเย็นดีกว่านะ”
“โอ้โห! ตั้งชื่อแบบนั้นใครจะกล้ามาซื้อ? เอาชื่อนี้แหละ! คางคกเย็นที่ว่ามาจากไหน?”
“ชื่อสายพันธุ์คางคกที่เติบโตในแถบไซบีเรีย ซึ่งเป็นคางคกเพียงไม่กี่ชนิดที่หายากมาก”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฉีเล่ยก็ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้และกล่าวต่อว่า
“แล้วนี่ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดอีกด้วย ก็เพราะความหายากของมันนี่แหละ จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมการจะผลิตผงยาชนิดนี้ในปริมาณมากๆจึงเป็นเรื่องยาก”
คิ้วเรียวสวยดั่งคันธนูของหลินชูวโม่พลันย่นเข้ามาแทบแนบชิด เธอเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า
“ใช้วัตถุดิบอื่นทดแทนได้ไหม?”
ฉีเล่ยกล่าวตอบไปว่า
“ได้ แต่ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมาก”
หลินชูวโม่ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะกล่าวว่า
“เอาเป็นว่า ใช้วัตถุดิบทดแทนนั่นแหละ ถือเป็นการดีด้วย ถ้าประสิทธิภาพลดลง แสดงว่าผู้บริโภคจะต้องซื้อใช้อย่างต่อเนื่อง นี่ถือได้ว่าเป็นโอกาสของเราด้วยซ้ำ คาดการณ์ได้เลยว่า ครีมชนิดนี้น่าจะขายได้กว่าหลายร้อยล้านชิ้นภายในหนึ่งปี”
“….”
ฉีเล่ยเข้าใจดีถึงสิ่งที่เธอกำลังหมายถึง ในฐานะเจ้าของธุรกิจ ตราบใดที่ไม่ได้กระทำสิ่งผิดกฎหมาย อะไรที่ทำแล้วได้เงินมากขึ้น นักธุรกิจพวกนี้ล้วนทำหมดนั่นแหละ จริงไหม?
เจ้าของธุรกิจผู้ซื่อสัตย์ที่ยังสามารถครองตำแหน่งเจ้าตลาดอยู่ได้ล้วนไม่มีอยู่จริง
เมื่อเห็นฉีเล่ยไม่ได้เอ่ยปากค้านอะไรและเพียงริมจิบชาอย่างใจเย็น หลินชูวโม่ก็หัวเราะเสียงเบา ยกขาขึ้นมานั่งท่าไขว้ห้างและเอ่ยถามขึ้นว่า
“นี่ถ้ารวยแล้ว นายอยากจะเอาเงินก้อนนั้นมาทำอะไรมากที่สุด?”
“ลงทุนกับการสอน”
“….”
“นี่นายเข้าใจคำถามของฉันจริงๆใช่ไหม? มีเงินมากมายขนาดนั้นแล้ว นายยังคิดจะสอนหนังสือให้เหนื่อยเปล่าอยู่อีกเหรอ?”
ริมฝีปากสีสวยของหลินชูวโม่เม้มเข้าหากันทันที
“นอกเหนือจากนั้นล่ะ?”
“ก็สอนหนังสือต่อ”
“นายนี่มันดื้อจริงๆนะ”
หลังจากปฏิเสธคำเชิญชวนให้มาร่วมรับประทานอาหารเที่ยงของหลินชูวโม่ ฉีเล่ยก็นั่งแท็กซี่กลับไปยังมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งทันที มีแนวโน้มว่าในช่วงเวลานี้หลี่ถงซีอาจจะกำลังรอเขาอยู่ที่หน้าประตูรั้วมหาวิทยาลัยอยู่
แต่เมื่อแท็กซี่จอดเทียบหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัย ฉีเล่ยกลับไม่พบBMWของหลี่ถงซี ทว่ากลับไปเห็นหานหมิงต้าและซูเสี่ยวหยานกำลังยืนเถียงกันอยู่
ดวงตาคู่สวยของซูเสี่ยวหยานเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา เธอพยายามฉุดรั้งไม่ให้หานหมิงต้าออกไปไหนทั้งสิ้น แต่อีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีรังเกียจอย่างชัดเจน เขาสะบัดแขนใส่อย่างแรงจนซูเสี่ยวหยานเกือบล้ม ก่อนจะรีบตรงเข้าไปในMercedes-Benz สีดำคันสวยที่จอดอยู่ข้างๆ และบึ่งรถออกไปจากบริเวณนั้นทันที
ฉีเล่ยที่เห็นแบบนั้น เขาก็เปลี่ยนความตั้งใจในทันที
“พี่แท็กซี่ ไล่ตามเบนซ์สีดำคันนั้นไป”
“โถ่น้องชาย ดูจากรถแล้วน่าจะเป็นคนใหญ่คนโตนะ พี่ไม่อยากมีปัญหา…”
ฉีเล่ยไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่ยัดเงินจำนวน200หยวนใส่มือคนขับทันที
“ฮ่าฮ่า! ไม่ต้องห่วงไอ้น้อง! เดี๋ยวพี่ขับจี้เลย!”
หลังจากคนขับรับเงินไป ทัศนคติท่าทางของเขาพลันเปลี่ยนไปทันทีราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ก่อนจะเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งไล่ตามไปติดๆ
ฉีเล่ยยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับถนนหนทางในเมืองหลวงสักเท่าไหร่ แต่เขามีความจำที่ดีเลิศ ระหว่างทางเขาจำได้หมดว่า ข้ามผ่านกี่แยก สะพานลอยกี่แห่ง แถวนั้นมีสัญญลักษณ์อะไรโดดเด่น เมื่อรถเบนซ์สีดำคันนั้นขับเข้าไปในโรงงานแถวเขตชานเมืองปักกิ่ง เขาก็สั่งให้แท็กซี่จอดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป
บริษัท OC24 เมดิแค็ล อินสตรูเมนท์ จำกัด มหาชน
รถเบนซ์สีดำของหานหมิงต้าหยุดอยู่หน้าประตูโรงงานพร้อมบีบแตร่สั่ง ไม่นานประตูโรงงานบานใหญ่ก็ค่อยๆเปิดขึ้น หลังจากรถขับเข้าไปข้างในเรียบร้อย ประตูบานนั้นจึงค่อยๆเลื่อนปิดลงมาอีกครั้ง
ฉีเล่ยรู้สึกประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงโรงงานจะเป็นสถานที่ส่วนบุคคลที่ห้ามคนนอกเข้าก็ตาม แต่จะมาปิดประตูโรงงานตอนกลางวันแสกๆแบบนี้เพื่ออะไร?
โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่แถบชานเมือง และยังอยูในบริเวณที่ลับตาคน ผนวกกับท่าทางลับๆล่อๆแบบนี้อีก ใครเห็นก็อดสงสัยไม่ได้กันทั้งนั้น
เขาหลบอยู่หลังกำแพงเฝ้าดักมองทุกอากัปกิริยาการเคลื่อนไหวของหานหมิงต้าอยู่สักครู่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นจากที่ไม่ไกลนัก
“พี่สาม สรุปให้ส่งล็อตนี้ไปที่นั่นใช่ไหม?”
เป็นสุ้มเสียงของชายหนุ่มที่ดังขึ้น
“ใช่ ที่นั่นแหละ”
แต่สุ้มเสียงที่ตอบกลับของอีกคนกลับแหบแห้งอย่างยิ่ง แถมยังมีอาการไอเล็กน้อยปะปน ฉีเล่ยที่ได้ยินเพียงแค่นั้นก็สามารถวินิจฉัยได้ทันทีว่า เขาคนนี้น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับปอด เนื่องจากสูบบุหรี่เยอะ
“เฮ้ออ…ซวยอะไรแบบนี้ บอกผมทีสิว่า ที่ไม่ยอมซื้อวัตถุดิบมาผลิตใหม่เพราะเงินทุนหมดแล้ว? ถึงพยายามยัดเหยียดผลิตภัณฑ์ที่มีปัญหาล็อตนี้ออกไปให้ได้?”
“หุบปาก! นี่แกอยากตายรึไงกัน? ทำหน้าที่ของแกให้ดีไปเถอะ! ทำไมคุณธรรมมันค้ำยันจิตใจแกขึ้นมารึไงกัน?”
“โถ่พี่สาม ผมแค่ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ก็เลยอยากระบายให้พี่ฟัง ผมไม่ปากโป้งเอาเรื่องแบบนี้ไปบอกใครหรอกน่า”
“เออ งั้นก็เงียบไว้เลย แล้วต่อไประวังปากให้มากกว่านี้ด้วย ไม่อย่างนั้นแกอาจถูกซ้อมจนตาย! ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่า พวกระดับหัวหน้าในโรงงานในนี้ล้วนแต่เป็นเครือญาติของประธานทั้งนั้น ถ้าหลุดถึงหูพวกเขาเมื่อไหร่ เราตายกันหมดแน่!”
“เข้าใจแล้วพี่สาม ไปหาอะไรกินกันเถอะ ได้เวลาพักพอดี”
“ขอดูดบุหรี่มวนนี้ให้หมดก่อน”
ผ่านไปหนึ่งถึงสองนาที เสียงฝีเท้าก็ค่อยๆดังห่างไกลออกไป
ฉีเล่ยได้ยินทุกอย่างที่ทั้งสองคนนั้นสนทนากันอย่างชัดเจนระหว่างที่ดักฟัง นี่เป็นคำยืนยันชั้นดีแล้วว่า ต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับโรงงานแห่งนี้
ฉีเล่ยสำรวจสายตามองไปโดยรอบโรงงานอันเงียบสงัด สถานที่แห่งนี้อย่างกับสวนหลังบ้าน ที่มีคนอยู่แค่ไม่กี่สิบคน มันเงียบเกินไปหากเปรียบเทียบกับโรงงานอื่นๆ
ฉีเล่ยค่อยๆกระโดด ข้ามประตูรั้วเข้าไป ขณะที่ปลายเท้าทั้งสองแตะลงบนพื้นเขาก็ถ่ายน้ำหนักออกไปให้ได้มากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง
จากนั้นเขาก็เดินย่องติดกำแพงเข้าไปภายในโรงงานทางด้านซ้ายมือ