ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่111 เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้
ตอนที่111 เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้
ในช่วงระหว่างการรักษาที่ผ่านมา หลังจากฝังเข็มเสร็จก็มีบ้างที่ฉีเล่ยจะอยู่ดื่มชากับหลี่ถงซี ระเบียงห้องนอนของเธอจึงกลายเป็นที่พักสำหรับจิบชาพลางชื่นชมแสงจันทร์ในยามค่ำคืน
พรุ่งนี้จะเป็นวันที่พระจันทร์ขึ้นเต็มดวง สายลมเย็นพัดโชยอ่อน กลิ่นชาสนุนไพรหอมพร้อมไออุ่นให้ริมจิบ เคียงข้างพร้อมกับสาวงามบนระเบียงในยามราตรี ช่างเป็นวันเบาๆที่สุดแสนจะสบาย
ฉีเล่ยเป็นคนจีนทางตอนใต้ หนานหยางถูกขนานนามว่าเมืองแห่งชา ดังนั้นกระบวนการดื่มชาของผู้คนแถบนี้จึงค่อนข้างพิถีพิถันกว่าคนอื่นๆ ไม่เหมือนกับคนจีนทางตอนเหนือที่ต้มน้ำและยกขึ้นเทใส่กาโดยตรง และเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนทางตอนใต้แบบฉีเล่ย หลี่ถงซีจึงออกไปเดินห้างเพื่อซื้อชุดชาราคาแพง และมักจะชอบให้ฉีเล่ยสอนทักษะการชงชาที่ถูกต้องให้ด้วย นี่จึงถือเป็นกิจกรรมก่อนเข้านอนอีกอย่างที่ทำให้เธอมีความสุขมาก
“ปู่ฉันออกไปโรงพยาบาลอีกแล้ว สงสัยวันนี้จะนอนค้างที่นั่น”
หลี่ถงซีเอ่ยกล่าวขึ้น
ฉีเล่ยหัวเราะ
“จู่ๆก็ได้ตำแหน่งหัวเรือใหญ่กลับมาแบบนี้ ต่อให้ไม่เต็มใจก็ต้องไปคุมอยู่ดีนั่นแหละ แต่ดูเหมือนว่าปู่ของคุณจะมีความสุขนะที่ได้กลับมามีงานยุ่งอีกครั้ง”
ฉีเล่ยเข้าใจความรู้สึกของหลี่ฮั่วเฉินดี ในมุมหนึ่ง โรงพยาบาลแห่งนี้ก็เปรียบเสมือนหลานคนที่สองของชายชรา ย่อมมีความรักและผูกผันเป็นธรรมดา ก่อนหน้านี้เจ้าตัวถูกบีบบังคับให้ต้องสละตำแหน่ง ทำให้กลุ่มคนของฝ่ายโห่วเซินกัวก้าวขึ้นมามีบทบาทในโรงพยาบาลมากยิ่งขึ้น แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่า จู่ๆเรื่องโรงงานนรกที่ร่วมมือกับหานหมิงต้าจะแดงขึ้นมาแบบนี้ จนทำให้โห่วเซินกัวต้องถูกปลดฟ้าผ่า เหล่าโจรที่ไร้ซึ่งหัวหน้าก็ไม่ต่างอะไรกับคนไร้หัว ย่อมถูกหลี่ฮั่วเฉินไล่กวาดล้างเป็นธรรมดา
หลี่ฮั่วเฉินกลับมาขึ้นครองบังเหียนอีกครั้ง นี่อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในโรงพยายบาลครั้งใหญ่
อย่างน้อยที่สุดพวกเลือดเสียคงถูกชำระล้างออกไปกว่าครึ่งแน่นอน
“ขอบคุณนะ”
หลี่ถงซีวางแก้วชาพร้อมกลับหันมากล่าวของคุณกับฉีเล่ย
“ทำไมถึงต้องขอบคุณผม?”
ฉีเล่ยเหลือบมองเธอด้วยความสงสัย
หลี่ถงซีกล่าวว่า
“อำนาจและอิทธิพลของหานหมิงต้าภายในเมืองหลวงค่อนข้างซับซ้อนและแข็งแกร่งมาก ส่วนโห่วเซินกัวก็มีคนใหญ่คนโตคอยหนุนหลังอยู่มากมาย การที่จู่ๆตำรวจจะส่งทีมเข้าไปบุกทลายรังของพวกมันแบบนั้นโดยปราศจากหลักฐานใดๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ประชาชนทั่วไปจะสามารถทำได้ ใช่ว่าจะสามารถเดินไปแจ้งความแล้วตำรวจจะบุกจับเลย”
“คุณพยายามจะบอกอะไรผมกันแน่?”
“คุณอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด”
“ผมนี่นะ?”
ฉีเล่ยยกนิ้วถูกถูจมูกเล็กน้อยและกล่าวเสริมว่า
“ผมว่าคุณคิดมากเกินไปแล้ว ลำพังแค่ผมคนเดียวจะมีอำนาจบารมีขนาดนั้นได้ยังไง?”
มุมปากของหลี่ถงซีกระตุกขึ้นพร้อมเอ่ยตอบทันที
“ฉันรู้นะ มีลูกศิษย์ของคุณคนหนึ่งเป็นลูกสาวของนายพลใหญ่ในกรมทหาร”
ฉีเล่ยผงะเล็กน้อยด้วยความตกใจ
“นี่คุณรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
หลี่ถงซีพยักหน้า
“ตอนนี้ข่าวคราวเรื่องที่เกิดขึ้นในKTVค่อนข้างโด่งดังอย่างมาก ทุกคนในมหาวิทยาลัยต่างรู้เรื่องเรื่องกันหมดแล้ว”
ฉีเล่ยยกมือเกาหัว
“เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้เหอจื่อเลยครับ ผมแค่นัดเธอมาพบเพื่อว่าจะดูว่าเธอจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า เด็กสาวตัวเล็กๆแบบนั้นจะมีอำนาจอิทธิพลมหาศาลได้ขนาดนี้”
จู่ๆหลี่ถงซีก็ยืนขึ้นและกล่าวว่า
“ฉันมีบางอย่างจะให้”
ฉีเล่ยเอ่ยถามขึ้นว่า
“อะไรเหรอครับ?”
“แล็ปท็อป”
พูดจบหลี่ถงซีก็เดินไปหยิบกระเป๋าแล็ปท็อปใบหนึ่งในห้องออกมา
“นี่เป็นรุ่นเดียวกับที่ฉันใช้ประจำ ยังไงระหว่างคลาสสอนก็ต้องใช้สักวัน ฉันเพิ่งนึกได้ก็เลยแวะไปห้างซื้อให้คุณ”
“ขอบคุณมากครับ”
ฉีเล่ยกำลังต้องการอยู่พอดี เพราะภายในห้องพักอาจารย์ของเขามีคอมพิวเตอร์อยู่แค่สองเครื่อง แถมยังเก่ามาก นอกจากนี้เวลากลับเข้าบ้าน ภายในห้องนอนของเขาก็ยังไม่มีคอมพิวเตอร์เลยสักตัว เขาต้องการหาข้อมูลเพื่อใช้สำหรับเตรียมการเรียนการสอนให้พวกนักศึกษานคาบต่อๆไปเช่นกัน ได้แล็ปท็อปมาใช้แบบนี้ก็ทำให้ชีวิตของเขาสะดวกขึ้นมาก ฉีเล่ยจึงรีบเอ่ยขอบคุณหลี่ถงซีด้วยความดีใจ
“ฉันจะนอนแล้ว”
“ครับ ฝันดีนะครับพี่หลี่”
พูดจบ ฉีเล่ยก็เดินถือกระเป๋าแล็ปท็อปเครื่องใหม่ออกจากห้องไปทันที
หลี่ถงซีตกใจไม่น้อยเลยที่จู่ๆอีกฝ่ายก็เรียกเธอว่า‘พี่หลี่’
ทั้งท่าทางการวางตัวและวิธีการพูดของฉีเล่ยนั้น ดูสงบแล้วก็เป็นผู้ใหญ่อย่างมาก จนทำให้หลี่ถงซีลืมความจริงข้อหนึ่งไปเสียสนิท อีกฝ่ายอายุน้อยกว่าเธอสองถึงปีไม่ใช่เหรอ?
พอเห็นฉีเล่ยค่อยๆปิดประตูลงอย่างเบามือ พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินห่างออกไป หลี่ถงซีก็พึมพำกับตัวเองเบาๆว่า
“ปีนี้ฉันก็อายุ28แล้ว…”
วิธีการสอนของฉีเล่ยแตกต่างจากอาจารย์คนอื่นโดยสิ้นเชิง เขาไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือหรือตำราเรียนใดๆเข้ามาเสริมประกอบ เพียงสอนในวิถีทางของตัวเองเท่านั้น
หนังสือเรียนหนึ่งเล่มบัญญัติคำศัพท์อย่างมากก็ไม่เกินแสนคำ ความรู้โดยส่วนใหญ่ก็เป็นความรู้ทั่วไปหาได้จากหนังสือทุกเล่ม แต่สำหรับแพทย์แผนจีนแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น
ฉีเล่ยกล่าวไว้ในคาบเรียนแรกว่า เขาจะต้องทำให้ทุกคนกลายมาเป็นนักศึกษาแพทย์แผนจีนที่โดดเด่นระดับประเทศให้จงได้ และเขาก็ยังคงไม่ละทิ้งปณิธานอันแน่วแน่นี้ไป
“ผมรู้นะครับว่ามันยากที่จะจดจำสูตรยาสมุนไพรพวกนี้ ตอนที่ผมเรียนยังต้องใช้เวลานานมากกว่าจะจำได้”
เพื่อให้กำลังใจแก่เหล่านักศึกษา ฉีเล่ยจึงจำใจต้องพูดโกหกออกไปแบบนั้น
“แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้พวกคุณขี้เกียจ เพราะถ้าแม้แต่ปรุงยาสมุนไพรไม่ได้ ก็คงรักษาผู้ป่วยให้หายจากความทรมานไม่ได้เช่นกัน หวังว่าพวกคุณทุกคนจะกลับไปทบทวนบทเรียนของวันนี้ให้มากยิ่งขึ้น เอาล่ะ เลิกคลาสเรียนได้”
ขณะที่ฉีเล่ยเดินออกจากห้องเรียนไป จู่ๆก็มีเสียงถอนหายใจดังออกมาจากข้างใน
ฉีเล่ยอดยิ้มขื่นไม่ได้ แต่อย่างไรเขาก็เข้าใจหัวอกของนักศึกษาเหล่านี้ดี เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การต้องมานั่งเรียนทฤษฎีต่างๆและหลักการของแพทย์แผนจีนตั้งแต่หนึ่งคงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก โชคดีที่ภายในห้วงสมองของเขามีมรดกอันล้ำค่าของบรรพบุรุษสลักจารึกไว้อยู่ เมื่อใดที่จำเป็นต้องใช้ ข้อมูลเหล่านี้มักจะปรากฏขึ้นภายในใจทันที จึงทำให้ฉีเล่ยสามารถหยิบขึ้นมาใช้ได้ตามต้องการ ไม่จำเป็นต้องเหน็ดเหนื่อยกลับการไปพลิกหน้าหนังสือ
ซึ่งเขาเองก็รู้ดีว่า การนั่งท่องจำหนังสือแพทย์แผนจีนมันน่าเบื่อขนาดไหน แต่นี่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเช่นกัน นอกจากคนที่โชคดีอย่างฉีเล่ย ถ้าใครอยากจะประสบความสำเร็จ ก็จำเป็นต้องฝ่าฟันความทุกข์ทรมานเหล่านี้ไปให้ได้
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่กับตัวเองภายในใจ จู่ๆมือถือในกระเป๋ากางเกงของเขาก็สั่นและดังขึ้นมา
ปรากฏว่าเป็นข้อความWechatจากหลี่ถงซี : ฉันรอคุณอยู่ด้านนอกเหมือนเดิม
ฉีเล่ยพิมพ์ตอบไปว่า : เข้าใจแล้ว กำลังออกไป
จากนั้นฉีเล่ยก็รีบเดินไปทางประตูรั้วด้านหลังมหาวิทยาลัย เพราะในขณะนี้หลี่ถงซีกำลังรอเขาอยู่นอกประตูรั้วนั้น และถ้านัดเจอกันในมหาวิทยาลัย ก็คงหนีไม่พ้นเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆอีกแน่นอน
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวออกจากประตูรั้วมหาวิทยาลัย จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อตนเองดังขึ้นจากด้านหลัง
“ฉีเล่ย”
ฉีเล่ยเหลียวหน้าไปมองก่อนจะพบว่าเป็นหลินชูวโม่
“อาจารย์หลิน มีอะไรรึเปล่าครับ?”
ฉีเล่ยเหลือบมองไปที่BMWที่จอดเทียบข้างอยู่อีกฟากด้านนอกมหาวิทยาลัย ก่อนจะตัดสลับหันมามองหลินชูวโม่ที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาตนเอง
เขารีบใช้ความคิดอย่างหนักทันทีว่า ควรทำอย่างไรถึงจะหลีกเลี่ยงการตอบโต้กับหลินชูวโม่ได้
“อาจารย์หลินมีอะไรรึเปล่าครับ?”
หลินชูวโม่สวนกลับทันควัน
“ถ้าไม่มีอะไรฉันก็มาหาไม่ได้ใช่ไหม? ฉันไม่มีธุระอะไรหรอก แค่คิดถึงนาย”
ขณะเอ่ยกล่าวไป เธอก็เคลื่อนขยับเข้ามาใกล้ฉีเล่ย และต้องการจะคว้าแขนของอีกฝ่ายมากอด
“เดี๋ยวก่อน! ผู้หญิงกับผู้ชายไม่ควรทำตัวสนิทสนมกันขนาดนี้นะครับ”
ฉีเล่ยรีบถอยหนีสร้างระยะห่างทันที
“ฮ่าฮ่า…”
หลินชูวโม่กลั้นขำต่อไปอีกไม่ไหวจนต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
“ผู้หญิงกับผู้ชายไม่ควรทำตัวสนิทสนมงั้นเหรอ? รู้ตัวไหมว่านายน่ารักมากเลย ไปดินเนอร์กับพี่สาวคนนี้สักมื้อสิจ๊ะ วันนี้จะได้ดูผลลัพธ์หลังการรักษาของเซียวเซียวด้วย เพราะฉะนั้นนายไม่ควรปฏิเสธนะ”
“แต่ผมไม่ว่างจริงๆ”
น้ำเสียงที่เอ่ยตอบออกมาจากปากฉีเล่ยทั้งชัดเจนและเย็นชา
ทว่าฉีเล่ยกลับไม่รู้ตัวว่า ตอนนี้หลี่ถงซีได้เปิดประตูลงจากรถและเดินมายืนอยู่ด้านหลังของตนแล้ว
ดูท่าคำกล่าวที่ว่า เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้นั้นจะเป็นจริงทุกประการ โดยเฉพาะแม่เสือสาวสองตัวนี้
เดิมทีความสนอกสนใจทั้งหมดของหลินชูวโม่อยู่ที่ฉีเล่ยเสมอมา จนไม่ได้สังเกตเลยว่า หลี่ถงซีกำลังเดินเข้ามาใกล้ ขณะที่เธอกำลังจะเอ่ยปากตอบฉีเล่ยกลับไป ก็ดันไปสังเกตเห็นแววตาอันสุดแสนจะเย็นชาของหลี่ถงซีจากด้านหลังของฉีเล่ยเข้า
สองเทพธิดาผู้งดงามที่สุดแห่งมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งกำลังเผชิญหน้ากัน เสมือนน้ำแข็งกับเปลวเพลิง ทันใดนั้นประดุจจิตวิญญาณแห่งนักสู้ของหลินชูวโม่ก็ถูกปลุกขึ้นมาจากภายใน
“มองอะไร? เธอกับเขาเป็นอะไรกัน?”
“ครอบครัว”
“อะห๊ะ แล้วยังไง?”
“หลินชูวโม่กลอกตามองบนใส่อีกฝ่าย ราวกับพยายามจะสื่อว่า ‘แล้วเธอมาจุ้นจ้านอะไรแถวนี้?’
หลี่ถงซีกล่าวตอบเสียงเย็นว่า
“เขาต้องไปทานอาหารเย็นกับฉัน”
หลินซูวโม่หัวเราะใส่
“เสียใจด้วยนะ ฉันชวนเขาก่อน”
หลี่ถงซีตอบโต้กลับทันที
“งั้นเขาก็ต้องปฏิเสธเธอ”
“ตลกไปหน่อยมั๊ง?”
หลินชูวโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เธอมีสิทธิ์อะไรไปสั่งเขาให้ปฏิเสธฉัน?”
“เพราะฉันมาก่อน!”
ในระหว่างที่พูด หลี่ถงซีก็ได้หยิบมือถือของเธอขึ้นมาและเปิดข้อความในWechatให้หลินชูวโม่ดู เห็นได้ชัดว่าฉีเล่ยตอบตกลงกับหลี่ถงซีก่อนที่หลินชูโม่วจะเอ่ยชวนจริงๆ