ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่152 ที่ประชุมของพวกกุ้งปลา
ตอนที่152 ที่ประชุมของพวกกุ้งปลา
ทุกอย่างเป็นอย่างที่ฉีเล่ยคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด หัวหน้าคณะอาจารย์ซีชำเลืองมองทุกคนอีกครั้งและกล่าวว่า
“ผมว่าอาจารย์ซงคู่ควรกับสิทธิ์นี้ เขาเป็นอาจารย์อาวุโสที่สุดของสาขาแพทย์แผนจีน ด้วยประสบการณ์การสอนที่ยาวนานนับหลายสิบปี เขาค่อนข้างมีความรู้ภาคทฤษฎีค่อนข้างแน่น เขาจะเป็นหน้าเป็นตาให้แก่พวกเราได้ในที่ประชุม ทุกคนมีความเห็นยังไงบ้าง?”
ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างทราบดีว่า ตาแก่ซงกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซีนั้นเป็นญาติห่างๆกัน ตลอดที่ผ่านมาหัวหน้าคณะอาจารย์ซีดูแลตาแก่ซงค่อนข้างดี และอาศัยเส้นสายนี้กดขี่คนอื่น และตั้งตัวเป็นใหญ่ในสังคมอาจารย์แพทย์แผนจีน
และสถานการณ์ตอนนี้ก็ยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่ หัวหน้าคณะอาจารย์ซีแนะนำตาแก่ซงออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ ดังนั้นถ้ามีใครกล้าไม่เห็นด้วย มีหวังต้องโดนเพ่งเล็งอย่างเลี่ยงไม่ได้
ภายในสังคมอาจารย์แพทย์แผนจีน เสี่ยวติงเป็นคนที่ประจบสอพอคนเก่งที่สุดแล้ว เขาจึงรีบพูดเสริมขึ้นทันทีว่า
“ผมไม่มีข้อคัดค้านครับ ในฐานะที่เป็นอาจารย์ระดับอาวุโส อาวุโสซงค่อนข้างมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเข้าร่วมการประขุมมากที่สุดแล้ว”
“ผมเองก็ไม่มีปัญหาครับ อาจารย์ซงเคยมีผลงานวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับศาสตร์แพทย์แผนจีนมากมาย เขาน่าจะเอาองค์ความรู้เหล่านี้ไปเผยแพร่ในที่ประชุมได้เป็นอย่างดีแน่นอน”
อาจารย์ลี่ ผู้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับตาแก่ซงกล่าวสนับสนุนเขาอีกแรง
เฉินเทียนหลินซึ่งเป็นรองหัวหน้าคณะอาจารย์เองก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
“ให้อาวุโสซงไปนั่นแหละ พวกเราไม่มีอะไรจะคัดค้าน”
คนเป็นหัวหน้าออกตัวแรง ส่วนคนเป็นรองหัวหน้าก็ไม่มีข้อคัดค้าน เรื่องนี้ค่อนข้างเป็นที่ชัดเจนแล้ว และไม่มีอาจารย์คนไหนที่เห็นต่างเช่นกัน พวกเขาไม่ใช่คนโง่ที่ไร้หัวคิด ทำได้เพียงแค่เห็นด้วยตามมารยาท
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีค่องข้างพึงพอใจกับการแสดงออกของทุกคนเป็นอย่างมาก ระล่ำระลักพูดขึ้นทันที
“เอาล่ะ อาจารย์คนแรกที่ได้เข้าร่วมคืออาจารย์ซง แล้วอีกคนล่ะเป็นใครดี? ลองมาหารือกันดูดีกว่า”
“ผมขอแนะนำอาจารย์ลี่ นอกจากอาวุโสซงแล้ว ก็เป็นเขานี่แหละที่เป็นพี่ใหญ่ของสาขาเรา”
“ผมขอเสนออาจารย์ติงครับ เมื่อไม่นานมานี้ บทความของเขาเพิ่งได้ตีพิมพ์ในวารสารคณะแพทย์แห่งชาติไปไม่ใช่เหรอ? เขาน่าจะสามารถใช้เรื่องนี้ในการบรรยายได้”
“ผมขอเสนออาจารย์ฉางครับ หนังสือประวัติศาสตร์การแพทย์แผนจีนของเขาเคยได้รับคำชื่นชมจากรัฐมนตรีหง ผมเลยคิดว่าเขาค่อนข้างเหมาะสมมากเลยนะครับ”
“…”
ทุกคนต่างเสียงแตกแสดงความเห็นแปลกแยกออกไปคนละทิศคนละทาง ทำให้ยังไม่ชัดเจนว่าสิทธิ์ที่สองนี้ควรจะต้องตกไปอยู่ที่ใครแน่
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเหลือบมองรองหัวหน้าคณะอย่างเฉินเทียนหลินซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เพื่อรอให้เขาแสดงความเห็นเกี่ยวกับสิทธิ์เข้าร่วมของอาจารย์คนที่สองออกมา
เพราะสุดท้ายนี้ ในเมื่อหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเสนออาจารย์ซงไป อีกฝ่ายเองก็ให้การสนับสนุนอย่างชัดเจน ดังนั้นหากตอนนี้อีกฝ่ายอยากเสนอใครมา หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเองก็ย่อมต้องสนับสนุนกลับเช่นกัน
“มีใครอยากเสนอใครอีกไหม?”
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีกวาดสายตาเฝ้าสังเกตทุกคนอีกครั้งในขณะเอ่ยถาม
ฉีเล่ยที่ไม่ได้ปริปากพูดเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นจากจอมือถือและเอ่ยขึ้นว่า
“มีครับ”
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีขมวดคิ้วเล็กน้อย และรอฟังความคิดเห็นของอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ
จากใจตามตรง เขาไม่ชอบขี้หน้าฉีเล่ยเท่าไหร่เลย แต่อย่างไรเขาก็มีความสำคัญอย่างมากกับสาขาแพทย์แผนจีนแห่งนี้
ประเด็นหลักมันอยู่ที่ ชายหนุ่มคนนี้น่าจะมีความบกพร่องเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นหมู่คณะ ไม่เพียงจะพูดจาไม่ไว้หน้าใครแล้ว แต่ยังเป็นคนตระหนี่ขี้น้อยใจ กล่าวได้ว่าเขาไม่มีคุณสมบัติการเป็นผู้ใต้บัญชาที่ดีเลยแม้แต่น้อย
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“อาจารย์ฉีคิดว่ามีใครที่เหมาะสมอีกงั้นเหรอ?”
ฉีเล่ยพยักหน้าตอบว่า
“ใช่ครับ”
อีกฝ่ายเอ่ยถามน้ำเสียงหนักแน่นต่อว่า
“แล้วต้องการเสนอชื่อใครล่ะ?”
อันที่จริง ซีลู่เฉิงได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว ไม่ว่าฉีเล่ยจะเสนอใครก็ตาม เขาก็จะปฏิเสธทันที ไม่ว่าอย่างไร เขาจะไม่ยอมปล่อยให้ฉีเล่ยสามารถสร้างกลุ่มก๊วนขึ้นมาคานอำนาจเขาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้เด็ดขาด
ฉีเล่ยเอ่ยตอบน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า
“ผมขอเสนอตัวผมเองครับ”
โดยไม่ต้องรอให้คนอื่นสอบถามใดๆ ฉีเล่ยกล่าวอธิบายต่อในทันที
“ถึงรากฐานด้านทฤษฎีของอาจารย์ซงจะค่อนข้างดี แต่อาจารย์แพทย์โดยส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการประชุมก็มีองค์รความรู้ด้านทฤษฎีแข็งแกร่งพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะกล่าวบรรยายอะไรออกไปก็คงไม่สามารถสร้างความโดดเด่นอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้น ก็รู้อยู่แล้วว่าทุกคนเตรียมแต่เรื่องทฤษฎีออกไปพูด อย่าว่าแต่ไม่รู้จะมีคนฟังหรือเปล่า เผลอๆน่าจะมีคนแอบหลับด้วยซ้ำ แล้วหวังว่าจะไม่โลกสวยบอกผมว่า ไม่เคยมีใครแอบหลับนะครับ อินเตอร์เน็ตก็มีกันทุกคน ลองค้นหาดูก็น่าจะเจอได้ไม่ยาก ขนาดในสภายังมีคนแอบหลับเลย”
“แต่ตัวผมไม่เหมือนคนอื่น ผมเป็นอาจารย์ที่เก่งที่สุดในสาขาแพทย์แผนจีนของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่งแห่งนี้ ผมสามารถใช้โอกาสนี้นำเสนอสิ่งที่แตกต่างและน่าสนใจออกไปได้ ถ้าพวกคุณไว้วางใจที่จะมอบสิทธิ์นี้ให้ผม ผมก็จะทำเต็มที่ไม่ให้ทุกคนต้องผิดหวังแน่นอนครับ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของทางมหาวิทยาลัยเราทั้งสิ้น”
ทุกคนในห้องประชุมถึงกับตกตะลึง หันขวับมองหน้ากันไปมา
กล้าพูดออกมาได้ยังไงว่าตัวเองเก่งที่สุด? ไม่ไร้ยางอายเกินไปหน่อยเหรอ?
ทุกคนมีแต่จะยกย่องคนอื่น แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับพูดยกย่องชูหางตัวเอง
เมื่อเห็นว่าทุกคนกลับปิดปากเงียบไม่พูดหรือแสดงความเห็นออกมาใดๆ ฉีเล่ยจึงได้พูดต่อโดยปราศจากท่าทีเขินอายใดๆ
“ถ้าพวกคุณให้โอกาสผม ผมจะทำให้สาขาแพทย์แผนจีนของเรามีอำนาจต่อรองในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มากขึ้น พวกคุณมีความเห็นยังไงกันบ้างครับ?”
“ฉันไม่เห็นด้วย”
ตาแก่ซงเป็นคนแรกที่ร้องตะโกนคัดค้าน หัวหน้าคณะอาจารย์ซีอุตส่าห์มอบโอกาสทองแก่เขาให้เป็นตัวแทนในนามของมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง แล้วมีหรือที่จะยอมปล่อยให้ไอ้เด็กเหลือขอนี่เสนอหน้าแย่งซีนตัวเอง?
ตาแก่ซงกล่าวต่อว่า
“กล้าพูดมาได้ยังไงว่าตัวเองเก่งที่สุดในแผนกของเรา? เพิ่งจะเป็นอาจารย์ได้ไม่กี่วัน ทำเป็นอวดดี ฉันเคยได้ยินมาว่า เวลาแกสอนหนังสือเด็กๆ แกไม่เคยให้พวกเขาเปิดหนังสือเลยด้วยซ้ำ แล้วจะเอาอะไรไปพูดในที่ประชุม น่าตลกสิ้นดี!”
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีที่เห็นว่า ตาแก่ซงเริ่มจะเดือดดาลขึ้นอีกครั้ง เขาก็รีบก่นเสียงไอขัดจังหวะทันทีและพูดแทรกขึ้นว่า
“เราเน้นหลักประชาธิปไตยเป็นหลัก ทุกคนย่อมมีสิทธิ์เสนอใครออกไปก็ได้ ไม่มีผิดหรือถูก”
หัวหน้าคณะอาจารย์ซีเหลือบมองฉีเล่ยเล็กน้อยและกล่าวต่อว่า
“การที่อาจารย์ฉีเสนอชื่อตัวเองออกมาก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องผิดเช่นกัน เป็นปกติของคนหนุ่มสาวที่จะมีความมั่นใจในตัวเอง นี่ถือเป็นเรื่องดีมากเลยนะ แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราก็คงต้องลงคะแนนเพื่อคัดเลือกอาจารย์คนที่สองอยู่ดี”
เขาเคาะโต๊ะอีกครั้งและประกาศเสียงดัง
“เอาล่ะๆ ทุกคนเห็นกระดาษเปล่าที่วางอยู่ตรงหน้าตัวเองแล้วใช่ไหม? เขียนชื่อคนที่ต้องการจะให้เป็นตัวแทนของเราได้เลยนะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงซีลู่เฉิง ทุกคนก็เริ่มจับพู่กันเขียนชื่อลงใส่กระดาษทันที
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการนับคะแนนแล้ว ฉีเล่ยก็แพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
เขาได้รับเพียงหนึ่งเสียงเท่านั้น และนั่นมาจากตัวเขาที่ลงคะแนนให้ตัวเองไป
ซีลู่เฉิงเก็บบัตรคะแนนลงอย่างเงียบๆ ก่อนจะป่าวประกาศเสียงดัง
“พวกเรายึดหลักความเป็นประชาธิปไตย และได้เปิดโอกาสมอบความยุติธรรมให้กับทุกคนไปแล้ว ส่วนอาจารย์ที่ได้รับเลือกทั้งสองท่านกรุณาเตรียมตัวให้พร้อม หวังว่าพวกคุณจะกลับมาพร้อมกับการสร้างชื่อเสียงให้แก่มหาวิทยาลัยของเรา นอกจากนี้ อาจารย์คนไหนที่ไม่ได้รับสิทธิ์ก็อย่าเพิ่งท้อแท้นะครับ โอกาสหน้ายังมี”
หลังจากประชุมเสร็จสิ้น ฉีเล่ยก็เดินตามฝูงชนออกจากห้องไป
“อาจารย์ซงยินดีด้วยนะครับ คุณคือความหวังของพวกเราสาขาแพทย์แผนจีนทั้งหมด! ด้วยความเป็นอาวุโสและมากประสบการณ์ของคุณ การบรรยายครั้งนี้จะต้องโดดเด่นกว่ามหาวิทยาลัยอื่นแน่นอน!”
“ใช่ครับ! พวกเรากำลังรอผลงานชิ้นเอกของอาวุโสซงอยู่นะครับ สู้ๆ!”
ตาแก่ซงปรายหางตามองฉีเล่ยเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาพูดกับอาจารย์คนอื่นๆว่า
“อะไรที่ควรเป็นของฉันมันก็เป็นของฉัน ต่อให้ฉันไม่ต้องพยายามเพื่อมัน มันก็ยังเป็นของฉันอยู่ดี ไม่เหมือนใครบางคนที่ดิ้นรนแทบตาย สุดท้ายก็เป็นแค่ไอ้ขี้แพ้ในสายตาคนอื่น”
หลังจากพูดจบ เขาก็เหลือบมองไปทางฉีเล่ยอีกครั้งพลางคิดกับตัวเองว่า
‘หีหึ เด็กเหลือขอไร้มารยาทอย่างแกสมควรได้รับความอับอายแล้ว! ขอดูหน่อยสิว่าตอนนี้แกจะมีสีหน้ายังไง?!’
แช๊ะ!
แต่เมื่อตาแก่ซงหันไปมองกลับต้องรู้สึกผิดหวังอย่างแรง เพราะไม่เพียงแค่ฉีเล่ยจะไม่ได้รู้สึกเครียดหรือกดดันอะไรเลย แต่เขายังถ่ายเซลฟี่กับห้องประชุมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเพิ่งจะค้นพบว่า สิ่งที่เรียกว่าQQนี้สามารถอัปเดตชีวิตในแต่ละวันแชร์ให้คนอื่นๆเห็นได้อีกด้วย!
ตาแก่ซงถึงกับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นทันทีที่เห็นท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจของอีกฝ่าย ไม่รู้ตัวรึไงว่า ตัวเองกำลังถูกคนอื่นหัวเราะเยาะอยู่? โง่จริงๆ!
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ฉีเล่ยได่ยินและเข้าใจทุกอย่างดี แต่เขากลับไม่ได้ใส่ใจหรือให้ค่ากับสิ่งเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย
งานประชุมสภาแพทย์แผนจีนน่าจะเป็นงานใหญ่สำคัญเหล่าแพทย์แผนจีนทั่วประเทศจีน อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมบุคคลผู้มากความสามารถมาแบ่งปันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
แต่ดูจากวิธีการเสนอรายชื่อและคัดเลือกแล้ว มหาวิทยาลัยอื่นก็คงไม่น่าจะต่างกัน สรุปสุดท้ายก็คือว่า คงจะเป็นแค่การประชุมของเหล่ากุ้งปลาจากบ่อโคลนเน่าจากทุกแห่งหน เพื่อเกียรติยศอันไร้สาระเท่านั้น ที่ฉีเล่ยต้องการเข้าร่วมงานประชุมครั้งนี้ก็เพื่อรื้อระบบอันเน่าเฟะพวกนี้ทิ้งไปจากวงการแพทย์แผนจีนสักที แม้สิ่งที่เขาทำลงไปจะเป็นเพียงแค่รอยแตกเล็กๆเท่านั้น แต่นั่นก็ถือเป็นชัยชนะเบื้องต้นแล้ว
เขาหนีห่างออกจากหน่วยงานและระบบเส้นสายในโรงพยาบาลมาได้ทั้งที แต่กลับต้องมาเจอระบบอันเน่าเฟะภายในวงการการศึกษาอีก ฉีเล่ยจึงรู้สึกปวดหัวกับสังคมแบบนี้จริงๆ