ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่161 ดินเนอร์ใต้แสงเทียน
ตอนที่161 ดินเนอร์ใต้แสงเทียน
สาวน้อยใบหน้ารูปไข่กลัวว่าเพื่อนตัวเองจะมีปัญหาหากทำแบบนี้ จึงรีบร้องห้ามไว้ทันที
“ซินซิน! ใจเย็นก่อน!”
ซินซินตะคอกสวนกลับไปด้วยสีหน้าท่าทางเกรี้ยวกราดทันที
“ก็ดูหมอนี่สิ! คิดว่าตัวเองเป็นใครห๊ะ! ถึงได้กล้าพูดจาแบบนี้กับฉัน! เธอเชื่อไหมว่าฉันกล้าขับรถชนมันให้ตายจริงๆ!”
“เชื่อสิ! ฉันเชื่อว่าแกกล้าชนแน่! ก็เลยต้องห้ามอยู่นี่ไงล่ะ!! อย่ามีเรื่องกับคนแปลกหน้าเลยจะดีกว่า หายใจเข้าลึกๆก่อนนะ อย่าลืมสิ กุลสตรีที่ไหนจะแสดงกิริยาแบบนี้”
หลังจากได้ฟังคำเตือนของเพื่อนสาวสวยแล้ว ซินซินก็เริ่มได้สติและรู้ตัวว่า ในเวลาแบบนี้เธอไม่ควรที่จะมีเรื่องกับคนอื่นจริงๆ
ซินซินชะโงกออกไปพร้อมกับร้องตะโกนลั่นอีกครั้งว่า
“นับว่าวันนี้แกโชคดีไปนะ! ถ้าคราวหน้าฉันยังเจอแกมาก่อกวนแบบนี้อีกล่ะก็ ฉันนี่ล่ะจะจัดการแกด้วยตัวเอง!”
ฉีเล่ยกล่าวเหน็บแนมตอบกลับไปทันที
“โอ๊ย ผมกลัวจังเลยครับ กลัวจนก้าวเท้าออกไปไหนไม่ได้เลย สงสัยต้องโดนรถชนเน้นๆสักรอบถึงจะเดินได้!”
ความประทับใจแรกของฉีเล่ยที่มีต่อหญิงสาวคนนี้ค่อนข้างแย่ถึงแย่ที่สุด แค่ดูก็รู้แล้วว่าที่เธอทำตัวหยิ่งยะโสแบบนี้ได้ก็เพราะอาศัยฐานะของครอบครัวล้วนๆ
สำหรับฉีเล่ยแล้ว คนแบบนี้น่ารังเกียจที่สุด!
ต่อให้หญิงสาวคนนี้จะถอดเสื้อผ้าออกทุกชิ้นแล้วไปนอนรอบนเตียง เขาเองก็ไม่คิดที่ที่จะสนใจแม้แต่น้อย…อย่างมากที่สุดก็อาจจะเพียงแค่ปรายตามองครั้งสองครั้งเท่านั้น
“นี่แก!”
ซินซินเปิดประตูรถเตรียมจะก้าวออกไปทันที สีหน้าของเธอนั้นบูดบึ้งพร้อมบวกมาก ดูราวกับว่าเตรียมที่จะสู้กับฉีเล่ยจนกว่าจะตายกันไปข้าง
หนิงเสี่ยวเซียวซึ่งเป็นเพื่อนผู้หญิงของเธอ รีบเข้าไปคว้าแขนของเพื่อนไว้โดยเร็ว พร้อมกับร้องเตือนสติว่า
“ซินซิน ใจเย็นๆก่อนนะ! คิดให้ดีสิวันนี้มีคนสำคัญกำลังรอเธออยู่นะ! ถ้าเผลออารมณ์เสียใส่คังฟานขึ้นมา เธอจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตเลยนะ”
“แต่หมอนี่มัน…!!”
ซินซินทราบดีว่าที่หนิงเสี่ยวเซียวพูดไปล้วนแล้วแต่หวังดีกับเธอทั้งสิ้น และถ้าไม่ใช่เพราะว่าวันนี้มีดินเนอร์มื้อสำคัญกับคนที่เธอแอบหลงรักมานาน วันนี้คงต้องมีปิดเมืองฆ่าฟันกับหมอนี่ให้ตายกันไปข้างแน่ๆ! หนิงเสี่ยวเซียวยิ้มพร้อมกับร้องบอกเพื่อนไปว่า
“เดี๋ยวฉันจัดการเองดีกว่านะ”
หลังจากฉุดซินซินกลับเข้ามาในรถได้สำเร็จแล้ว ประตูรถฝังข้างคนขับก็เปิดออก สาวสวยที่สวมเสื้อสีแดงและกางเกงยีนส์สีน้ำเงินก็ก้าวลงจากรถไป หนิงเสี่ยวเซียวจัดว่าเป็นสาวร่างอวบเล็กน้อยแต่ซ่อนรูป แต่ละก้าวย่างของเธอช่างดูเซ็กซี่มีเสน่ห์จับใจ เธอเดินตรงเข้าไปหาฉีเล่ยอย่างรวดเร็ว พร้อมกับร้องบอกด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“พี่คะ พี่เองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่ามาสนใจหาเรื่องกับสาวน้อยหัวร้อนแบบพวกเราสองคนเลยค่ะ”
ฉีเล่ยยักไหล่พร้อมตอบกลับไปด้วยสีหน้าท่าทางนิ่งเรียบ
“คุณเองก็น่าจะเห็นเหมือนกันนะ ไม่ใช่ว่าผมอยากจะมีเรื่องกับพวกคุณ แต่นิสัยของเพื่อนคุณต่างหากที่แย่มาก”
สำหรับสาวน้อยคนนี้ ฉีเล่ยยังพอมีความประทับใจดีๆหลงเหลือให้อยู่บ้าง ใบหน้าของเธอคนนี้ช่างสละสลวย ผิวพรรณละเอียดลออดูราวกับตุ๊กตากระเบื้องหรู ประกอบกับนิสัยใจคอด้วยแล้ว เขาจึงยินดีที่จะยอมสนทนากับเธอคนนี้ต่ออีกสองสามคำ
หนิงเสี่ยวเซียวคลี่ยิ้มอ่อนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูขมขื่นเล็กน้อย
“พอดีวันนี้ซินซินมีนัดสำคัญมากเลยค่ะ เธอก็เลยค่อนข้างใจร้อนไปหน่อย ยังไงก็ขอโทษแทนด้วยนะคะ”
ซินซินที่ยังคงนั่งหน้าบึ้งกอดอกอยู่ในรถ จู่ๆก็เปิดกระจกรถลงอีกครั้งพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า
“เสี่ยวเซียว อย่าไปขอโทษมัน!”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย แค่ขอโทษเอง อีกอย่างพวกเราก็เป็นฝ่ายผิดไหมล่ะ?”
เดิมทีหลังจากได้ยินคำขอโทษของหญิงสาว ฉีเล่ยก็ตั้งใจจะเดินเข้าภัตตาคารไปเลย แต่ในเวลานี้เองสาวน้อยหน้าบึ้งในรถกลับไม่ยอมปล่อยไปเขาง่ายๆ เธอเปิดประตูรถเดินลงมาทันทีพร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าฉีเล่ย ปากก็ร้องตะโกนด่าทอง
“แล้วเมื่อไหร่จะไสหัวไปสักที! ยังจะยืนทำหอกอะไรของแกอีก? ถ้ายังไม่รีบถอยไปฉันจะขับรถชนแกจริงๆด้วย!”
บางคนทั้งๆที่เป็นหนี้บุญคุณคนอื่นแท้ๆแต่กลับไม่ตระหนักถึงอะไรได้เลย
ฉีเล่ยจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้หญิงที่ชื่อซินซินอย่างแน่นอน
ที่ผ่านมาผู้ชายทุกคนคงยอมเธอกันหมดสินะ ถึงได้มีนิสัยที่เอาแต่ใจขนาดนี้?
สังคมอย่างทุกวันนี้ถูกแทนที่ด้วยค่านิยมผิดๆมากมายจนตรรกะบิดเบี้ยวไปหมดแล้วจริงๆ หากเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ฉีเล่ย เมื่อถูกรถสปอร์ตหรูบีบแตร่ใส่แบบนี้ ทั้งที่ตัวเองไม่ผิด แต่แทนที่จะทักท้วง กลับเลือกที่จะขอโทษเพราะหวาดกลัวต่อฐานะของอีกฝ่าย
หากเกิดเรื่องเช่นนี้บ่อยครั้งเข้า มันก็จะยิ่งทำให้คนพวกนั้นยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น จนท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นคนหัวรั้นขอโทษคนอื่นไม่เป็น เหมือนอย่างสาวน้อยคนนี้เป็นต้น
แต่นับเป็นความโชคร้ายของเธอที่ดันมาเจอผู้ชายอย่างฉีเล่ยเข้า
ซินซินเดินตรงเข้าไปหาเสี่ยวเซียวพร้อมกับร้องบอกไปว่า
“เสี่ยวเซียว ส่งกุญแจมา!”
เธอไม่เชื่อหรอกว่า ชายหนุ่มคนนี้จะไม่กลัวความตาย ซินซินมั่นใจอย่างมากว่า ทันทีทีเธอเหยียบคันเร่งมิดพุ่งเข้าใส่ อีกฝ่ายจะต้องรีบกระโดดหลบหนีทันทียิ่งกว่ากระต่ายตื่นตูมเสียอีก
“พอได้แล้วซินซิน! เลิกสร้างปัญหาสักทีน่า!”
หนิงเสี่ยวเซียวร้องตะโกนห้ามปรามอย่างสุดที่จะทนต่อพฤติกรรมของเพื่อนแล้วเช่นกัน จากนั้นเธอก็หันไปทางฉีเล่ย พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนบ่งบอกว่าต้องการที่จะประนีประนอมมากกว่าจะมีเรื่อง
“พี่ชายคะ อย่าถือสาพวกเราเลยนะคะ กรุณาหลีกทางให้พวกเราได้ขับไปต่อเถอะนะคะ ไว้คราวหน้าหนูจะชวนพี่ไปดินเนอร์สักมื้อแทนการขอโทษดีไหมคะ?”
หนิงเสี่ยวเซียวคลี่ยิ้มหวานให้พร้อมฉุดดึงแขนเสื้อของฉีเล่ยเบาๆ ราวกับเด็กน้อยที่อ้อนขอขนมจากผู้ใหญ่ ดวงตาใสบริสุทธิ์ปราศจากความขุ่นหมองใจ
ในท้ายที่สุดนี้เขาก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง และตอบกลับไปว่า
“ช่างเถอะ ไปก็ไป”
แต่พอมาเจอกับสาวหัวร้อนแบบนี้ ตัวเขาเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างมากเลยทีเดียว
ยังดีที่มีหนิงเสี่ยวเซียวคนนี้เข้ามาแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้บ้าง ส่วนทางด้านซินซินก็พยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามที่จะไม่สนใจอีกฝ่าย พร้อมคว้ากุญแจรถมาจากมือของหนิงเสี่ยวเซียว ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในรถทันที
“ขอบคุณนะคะพี่ชาย”
“ยินดีครับ”
“พี่ชายชื่ออะไรเหรอคะ?”
“ฉีเล่ย”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ หนูชื่อหนิงเสี่ยวเซียว หวังว่าวันหน้าเราจะได้พบกันอีกครั้งนะคะ”
ฉีเล่ยรีบตอบกลับทันที
“เช่นกันครับ”
ฉีเล่ยโบกมือให้สาวน้อยคนนั้น ก่อนจะหันหลังเดินตรงเข้าไปในภัตตาคารอาหารฝรั่งไวโอเลตทันที
ถึงเวลาที่เขากับหลี่ถงซีนัดกันแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่าเธอมาถึงที่นี่รึยัง? เขาเองก็กลัวว่าจะปล่อยให้เธอต้องรอนานเหมือนกัน
ภัตตาคารไวโอเลตเป็นร้านอาหารดังที่เหมาะสำหรับคู่รักมาดินเนอร์กันใต้แสงเทียน ไม่ว่าลูกค้าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าเข้ามาเปิดโต๊ะแล้ว จะมีบริการจุดเชิงเทียนให้เพื่อเป็นการเพิ่มบรรยากาศ
กลัวถ่ายรูปไม่สวย เชิงเทียนเสริมความหรูหราสักหน่อยไหม?
เมื่อวันเวลาผ่านไปนานวันเข้า การดินเนอร์ใต้แสงเทียนกลับกลายมาเป็นจุดเด่นของร้านอาหารแห่งนี้ไป ไม่เพียงสิ่งนี้จะไม่ได้เป็นการไล่แขกแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เมื่อเหล่าคู่รักคิดที่หาร้านอาหารดีๆสำหรับดินเนอร์สักมื้อ ร้านอาหารแห่งนี้จะผุดขึ้นในหัวของพวกเขาเป็นตัวเลือกแรกๆ
มีนักศึกษาสาวและบรรดาสาวบริการมากมาย ที่พยายามใช้ทักษะในการอ่อยผู้ชายที่มีฐานะอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้ผู้ชายเหล่านั้นพาเธอมาดินเนอร์ใต้แสงเทียนที่ร้านอาหารหรูแห่งนี้ จากนั้นก็ถ่ายรูปไปอวดบรรดาเพื่อนฝูงของตัวเอง
ทันทีที่ผลักประตูบานใหญ่ทรงยุโรปเข้าไป ก็จะพบบริกรสาวสวยยืนรอต้อนรับอยู่
แม้ตอนนี้เพิ่งจะหนึ่งทุ่มตรงเท่านั้น แต่กลับมีลูกค้าแน่นร้านเสียแล้ว
ทุกโต๊ะปรากฏแสงเทียนสว่างไสว เมื่อดูรวมๆ ช่างเป็นบรรยากาศที่แสนอบอุ่น และสุดแสนจะโรแมนติกจริงๆ
เสียงเพลงแจ๊สที่บรรเลงคลอเบาๆ ยิ่งช่วยเสริมสร้างบรรยากาศภายในร้านให้ดูดีขึ้นไปอีกระดับ แม้แต่ฉีเล่ยเองที่เป็นคนไม่ค่อยชอบอาหารฝรั่งมากเท่าไหร่ ยังอดที่จะรู้สึกดื่มด่ำไปกับบรรยากาศไม่ได้
“นี่สินะวิถีชีวิตของคนรวย”
ฉีเล่ยพลางคิดกับตัวเองในใจ
“คุณผู้ชายคะ ไม่ทราบว่าได้โทรจองกับทางร้านไว้ล่วงหน้าก่อนไหมคะ?”
บริกรสาวสวยในเครื่องแบบสีขาว ผูกโบสีดำที่ลำคอเดินตรงเข้ามาไตร่ถามอย่างสุภาพนอบน้อม
“ไม่ได้โทรจองไว้เลยครับ”
ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมา เขาเพิ่งนัดกับหลี่ถงซีว่าจะมาทานอาหารที่นี่เมื่อไม่นานนี้เอง ดังนั้นอีกฝ่ายไม่น่าจะได้จองไว้ล่วงหน้า
“ต้องขออภัยคุณผู้ชายมากเลยนะคะ พอดีวันนี้ทางร้านคิวเต็มแล้ว หากคุณผู้ชายสนใจใช้บริการของทางร้านจริงๆ สามารถโทรจองคิวในวันพรุ่งนี้ไว้ล่วงหน้าได้นะคะ”
บริกรสาวรีบเอ่ยขอโทษทันที
“งั้นเหรอครับ?”
ฉีเล่ยดูงุนงงเล็กน้อย
เขาหยิบมือถือขึ้นมาและกดโทรหาหลี่ถงซีทันที
“ถงซีคุณอยู่ไหน?”
“ภัตตาคารไวโอเลต”
“ผมก็อยู่ที่นี่ แต่บริกรบอกว่าโต๊ะเต็มแล้ว”
“โต๊ะ116บอกให้บริกรพาเข้ามาได้เลย”