ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่190 หูหนิ่ว
ตอนที่190 หูหนิ่ว
เหอจื่อจ้องมู่เซียวหยานตาเขม็ง พร้อมกับกระซิบเตือนเสียงดุ
“นี่สำรวมหน่อย”
มู่เซียวหยานเอ่ยตอบกลับไปอย่างคร้านที่จะใส่ใจว่า
“ทำไมล่ะ? ฉีน้อยเต็มใจให้ฉันเองนะ อีกอย่าง พูดยังกับว่าเขาจะให้ของขวัญดีๆแบบนี้กับฉันทุกวันจริงไหม? อ่อ ว่าแต่ซุปตัวนี้ฉันสามารถดื่มทุกวันเลยได้ไหมจ๊ะฉีน้อย?”
ฉีเล่ยพูดไม่ออกไปชั่วขณะ จะดื่มทุกวันเลยอย่างงั้นเหรอ? แต่สุดท้ายเขาก็ได้แต่ตอบกลับไปยิ้มๆ
“ควรดื่มแค่สัปดาห์ละครั้งก็พอแล้วครับ แต่ทุกครั้งที่ดื่ม ผมแนะนำให้ใส่ยาจีนตัวนี้ลงไปด้วยจะดีมากเลยครับ”
หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็หยิบขวดยาขนาดเล็กกะทัดรัดออกมายื่นให้มู่เซียวหยาน
ภายในขวดเล็กๆใบนี้อัดแน่นไปด้วยผงคางคกเย็น ที่ฉีเล่ยเทแบ่งออกมาจากขวดใหญ่ของเขา แม้จะเพียงแค่เล็กน้อย แต่ถ้าสิ่งนี้ปรากฏต่อหน้าปรมาจารย์แพทย์แผนจีนที่มีความรู้แล้วล่ะก็ มีหวังเขาอาจถูกตีขโมยยาขวดนี้ไปก็เป็นได้
และเนื่องจากส่วนผสมในการสกัดผงคางคกเย็นนั้นค่อนข้างหายากมาก เขาจึงจำเป็นต้องให้เติมผงคางคกเย็นลงไปในซุป และกำหนดให้อีกฝ่ายดื่มเพียงแค่อาทิตยละครั้งเท่านั้น
และที่สำคัญยาตัวนี้ก็ไม่สามารถหายาชนิดอื่นบนโลกมาทดแทนได้
เหอจื่ออดรนทนไม่ได้จนต้องพูดกระแนะกระแหนคนเป็นแม่
“จะดื่มทุกวันเลยงั้นเหรอ? ขืนเธอทำแบบนั้น มีหวังฉันคงจะจำหน้าแม่ตัวเองไม่ได้แน่ เพราะเธออาจจะสาวขึ้นจนกลายเป็นน้องสาวฉันไปแทนแล้ว”
“ฮ่าๆๆ พูดได้ดีมาก”
“….”
เหอจื่อถึงกับพูดไม่ออก และเปลี่ยนไปถามฉีเล่ยอย่างคร้านที่จะสนใจคนเป็นแม่อีก
“อาจารย์ฉี แล้วหนูดื่มได้ไหมค่ะ?”
ฉีเล่ยทั้งพยักหน้าและส่ายหัว
เหอจื่อเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ร้องถามด้วยสีหน้างุนงง
“สรุปคือหนูดื่มได้หรือไม่ได้? มันหมายความว่ายังไงกันแน่คะ? หนูไม่เข้าใจท่าทางของอาจารย์จริงๆ?”
“ซุปนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆกับเธอทั้งนั้น ถ้าถามว่าเธอดื่มได้ไหม? ก็คงตอบว่าได้ แต่เป็นเพราะตอนนี้เธอยังไม่อยู่ในวัยเหมาะสมสำหรับซุปนี้ ต่อให้ดื่มไปก็ไม่มีผลอะไรอยู่ดี พูดง่ายๆก็คือว่า เพราะตอนนี้เธออยู่ในช่วงวัยที่สมบูรณ์ที่สุดของชีวิตแล้วยังไงล่ะ”
เหอจื่อชี้ฟังแล้วก็ยกมือขึ้นชี้หน้าคนเป็นแม่พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“หมายความว่า กว่าหนูจะดื่มซุปนี่ได้ ก็ต้องแก่แบบป้าคนนี้ก่อนสินะคะ?”
ฉีเล่ยได้แต่พยักหน้า
มู่เซียวหยานได้ยินลูกสาวเรียกตนเองว่าป้า ก็ร้องตะโกนสวนกลับไปด้วยความโมโห
“ไอ้เด็กคนนี้! นี่แกเรียกใครว่าป้ากันห๊ะ?! แกคอยดูก็แล้วกัน ไว้ฉันตายเมื่อไหร่ ฉันจะเผากระดาษแผ่นนี้ทำลายสูตรยาทิ้งซะ ฉันจะไม่ยอมให้สูตรยานี้ตกไปถึงมือแกเด็ดขาด!”
“มู่เซียวหยาน! เธอกล้าเหรอ?!”
“แล้วคิดว่าฉันกล้าไหมล่ะ?!”
“คนอย่างเธอไม่กล้าหรอก!”
“แกผิดไปแล้ว! ฉันกล้าทำแน่!”
“….”
ฉีเล่ยได้แต่จ้องมองสองแม่ลูกทะเลาะกันอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มขื่นบิดเบี้ยวที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า
แต่ในเวลานั้นเอง สาวใช้คนหนึ่งก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“คุณผู้หญิงคะ อาหารเย็นเตรียมเสร็จแล้วค่ะ”
มู่เซียวหยานพูดตัดบทขึ้นทันที
“เอาล่ะ หมดเวลาทะเลาะกันแล้ว ไปกินข้าวกันดีกว่า”
เหอจื่อปรายตามองฉีเล่ยเล็กน้อย พร้อมกับกระซิบบอกเสียงแผ่วด้วยสีหน้าท่าทางเก้อเขิน
“อาจารย์ฉี หนูขอโทษนะคะที่แม่ของหนูเป็นแบบนี้ มันคงจะดูตลกขบขันในสายตาของอาจารย์มากเลยใช่ไหมคะ?”
“นี่! เหอจือ แกหมายความว่ายังไง? บอกแล้วไงว่าหมดเวลาทะเลาะกันแล้ว มากินข้าวดีกว่ามา หรือว่าแกยังอยากทะเลาะกับฉันต่ออีกสักยก?”
“ก็เธอขึ้นเสียงใส่ฉันก่อนนี่”
“แล้วตะกี้ใครที่เรียกฉันว่าป้าห๊ะ?”
“แล้วใครเป็นคนบอกว่าจะเผาสูตรซุปหิมะยืดอายุขัยของอาจารย์ฉีก่อนล่ะ?”
“ก็นี่มันเป็นของขวัญที่ฉีน้อยมอบให้ฉัน มันก็ต้องตกเป็นสิทธิ์ของฉันโดยชอบธรรม! เพราะฉะนั้นฉันจะทำอะไรกับกระดาษแผ่นนี้ก็ได้!”
“ก็ที่อาจารย์ฉีให้กระดาษแผ่นนี้กับเธอได้ก็เพราะฉันไหมล่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฉันเป็นคนเชิญอาจารย์ฉีมา มีเหรอที่เขาจะถ่อมาถึงที่นี่เอง แล้วก็มอบของขวัญให้เธอแบบนี้!”
“แล้วถ้าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดของฉัน มีเหรอที่แกจะชวนฉีเล่ยมาที่บ้านได้?”
“….”
เมื่อเห็นว่าไม่ทันไรสองแม่ลูกคู่นี้ก็ทะเลาะกันอีกแล้ว ฉีเล่ยก็ได้แต่พูดขัดขึ้นอย่างไม่สามารที่จะอดรนทนต่อไปได้แล้วจริงๆ
“คุณอา! เหอจือ! พวกเรารีบไปกินข้าวกันดีกว่าครับ! ผมเริ่มหิวแล้ว…”
ไม่ว่าจะคนเป็นแม่หรือคนเป็นลูก ต่างก็หัวแข็งเหมือนกันทั้งคู่ ดูทรงแล้วไม่มีใครยอมใครเลยจริงๆ…
มื้ออาหารค่ำผ่านไปได้ครึ่งทาง ขณะที่ฉีเล่ยกำลังซดน้ำซุปที่มู่เซียวหยานเป็นคนปรุงกับมือนั้น จู่ๆเสียงกริ่งประตูหน้าคฤหาสน์ก็ดังขึ้น
จากนั้น ก็มีเสียงแหลมของผู้หญิงดังขึ้นมาแต่ไกล
“น้องเหอจื่อ น้องเหอจื่อ นี่พี่เอง หูหนิ่ว”
ดูเหมือนว่าแขกคนนี้จะเป็นผู้หญิงที่มีอุปนิสัยค่อนข้างใจร้อน เธอร้องตะโกนลั่นก่อนที่เจ้าของบ้านจะเดินไปเปิดประตูให้เสียอีก
สาวใช้คนหนึ่งรีบวิ่งไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็ได้ยินเสียง‘กึกๆ’ฟังดูแปลกหูเดินเข้ามา น่าจะเป็นเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้นหินอ่อนและกำลังเดินตรงเข้ามาที่บ้าน ฉีเล่ยยังจำได้แม่นยำว่า เวลาที่ภรรยาของเขากลับมาถึงบ้านนั้น ก็มักจะมีเสียงลักษณะนี้ดังขึ้นจนรู้สึกคุ้นชิน
“น้องเหอจือ อยู่ในบ้านรึเปล่า? ฮ่าฮ่า! ฉันคิดอยู่แล้วว่าเธอต้องอยู่!”
ขณะร้องตะโกนถามนั้น หญิงสาวร่างอ้วนท้วมในชุดสีดำก็วิ่งตรงเข้ามาพร้อมด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงดังเสียดหู
เห็นได้ว่า เหอจือเองก็ค่อนข้างสนิทสนมกับผู้หญิงที่ชื่อหูหนิ่วคนนี้พอควร เธอรีบลุกขึ้นวิ่งเข้าไปจับมืออีกฝ่าย พร้อมกับพาเข้ามาร่วมโต๊ะทานอาหารมื้อค่ำด้วยกันทันที ปากก็ร้องตะโกนถามออกไปว่า
“ทำไมจู่ๆถึงมาถึงที่นี่ได้ล่ะ? แล้วนี่กินอะไรมารึยัง? มาๆกินข้าวด้วยกันก่อน”
สายตาคู่นั้นของหูหนิ่วสำรวจมองฉีเล่ยตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่เกือบสามรอบ ก่อนจะเหลียวกลับมาตอบเหอจื่อว่า
“ฉินกินมาจนเกือบอิ่มแล้วล่ะ แต่ก็ยังพอเหลือที่ว่างสำหรับของหวาน ฮ่าฮ่า…”
สาวน้อยคนนี้อายุพอๆกับเหอจื่อ แต่น้ำหนักระหว่างพวกเธอทั้งสองกลับแตกต่างกันอย่างมาก ไหล่ทั้งสองข้างแคบเล็ก และเนื่องจากร่างกายที่อ้วนของเธอ เวลาทำอะไรสักอย่างจึงดูงุ่มง่ามไปหมด แต่ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เธอถึงใส่ชุดราตรีสีดำเต็มยศราวกับว่ากำลังเตรียมจะออกไปเที่ยวต่อ
เหอจือถามย้ำอีกครั้งว่า
“แล้วทำไมจู่ๆถึงมาหาฉันถึงที่บ้านแบบนี้ล่ะ?”
หูหนิ่วยิ้มให้พร้อมตอบกลับไปว่า
“นี่น้องเหอจื่อ คงจะยังไม่รู้สินะว่า ยัยนั่นโทรมาบอกฉันว่า คืนนี้จะมีจัดกิจกรรมของก๊วนสาวกันอีก ฉันก็เลย…อยากจะมาชวนเธอไปด้วยน่ะ”
เหอจือปรายหางตามองฉีเล่ยครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไปว่า
“หูหนิ่ว คืนนี้เธอไปคนเดียวจะได้ไหม? พอดีฉันมีธุระ”
เธอตั้งใจว่าหลังทานมื้อค่ำเสร็จแล้ว เธออยากจะพาฉีเล่ยออกไปเที่ยวต่อสักหน่อย กว่าจะชวนฉีเล่ยมาได้สำเร็จ เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมาก แล้วจู่ๆจะให้มีมือที่สามมาแยกเธอกับฉีเล่ยออกง่ายๆแบบนี้ได้ยังไงกัน
หูหนิ่วเองก็ไม่ได้โง่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายหันไปสบตาสกับฉีเล่ยไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แต่มันก็ทำให้เธอเข้าใจได้ในทันที จึงรีบเสนอไปว่า
“นี่น้องเหอจื่อ ชวนเขาไปด้วยกันก็ดีนะ จะได้พาไปเปิดตัวกับเพื่อนๆด้วยยังไงล่ะ อีกอย่าง…ถ้าเธอไม่ไป มีหวังพวกนั้นต้องหัวเราะเยาะฉันอีกแน่เลย”
เหอจื่อเหลือบมองฉีเล่ยอีกครั้ง พร้อมกับทำสีหน้าลังเลเล็กน้อย
หูหนิ่วเป็นลูกของคุณลุงเธอ และเนื่องจากคุณลุงของเธอมักจะยุ่งวุ่นวายอยู่กับธุรกิจของตัวเอง เขาจึงมักจะพาหูหนิ่วมาเล่นกับเหอจื่อที่บ้านเป็นประจำ ทำให้พวกเธอทั้งคู่ต่างก็เติบโตมาด้วยกัน
อาจจะเพราะความที่เธอเป็นสาวน้อยร่างอ้วน หูหนิ่วจึงเป็นผู้หญิงที่มีความเหมือนผู้หญิงน้อยที่สุดในกลุ่ม เมื่อใดก็ตามที่มีกลุ่มเพื่อนจัดงานปาร์ตี้แฟชั่น ปาร์ตี้หน้ากาก หรือแม้แต่งานเลี้ยงค็อกเทล เธอเองก็จำเป็นต้องไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ และทุกครั้งก็จะกลายมาเป็นตัวตลกในวงเพื่อนสาวอยู่เสมอ ส่วนตัวเธอนั้นไม่เคยมีความสุขมาก่อนเลย ไม่เพียงจะถูกล้อว่าอ้วนเท่านั้น เวลากลุ่มเพื่อนสาวรวมหัวเม้าส์มอยกันก็มักจะผลักไสหูหนิ่วไม่ให้เข้าร่วมวงด้วย
และด้วยเหตุนี้ หากต้องเข้าไปอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แบบนี้ เธอมักจะต้องมีเหอจื่อไปเป็นเพื่อนด้วย
เธอรู้ดีว่า ฐานะของเธอในกลุ่มเพื่อนสาวนั้นต่ำต้อยเพียงใด ดังนั้นทุกครั้งที่มีกิจกรรมอะไรแบบนี้ เธอจึงจำเป็นต้องพาเหอจื่อไปด้วยทุกครั้งเพื่อความอุ่นใจ เสมือนมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครองนั่นเอง
และวันนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน