ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่200 ที่นั่งไม่พอคน
ตอนที่200 ที่นั่งไม่พอคน
ขณะที่ฉีเล่ยกำลังบรรยายบทเรียนเข้าเนื้อหาอย่างลื่นไหล ทันใดนั้นประตูชั้นเรียนที่อยู่ด้านหลังสุดพลันถูกเปิดออกโดยตรง ภายใต้แกนนำกลุ่มอย่างซีหลู่เฉิง มีบรรดาชาวต่างชาติผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าตรงเข้ามาในชั้นเรียนของฉีเล่ย
ฉีเล่ยเข้าใจได้ในทันทีว่า บรรดาคนเหล่านี้จะต้องเป็นคณะอาจารย์ที่เป็นตัวแทนจากมหาวิทยาลัยฟอริด้า เข้ามาเยี่ยมชมการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง
เหลือนเช่นเคย พวกเขามาที่นี่เพื่อจับผิด ภารกิจหลักที่ได้รับมอบหมายคือตรวจสอบระบบการเรียนการสอนของชาวตะวันออกอย่างคนจีน ดังนั้นแล้วคณะชาวต่างชาติพวกนี้จึงเปรียบได้กับศัตรู อาจารย์บางคนะถึงกับใช้ข้ออ้างขอลาหยุดไปก็มี หรือไม่ก็บอกคนขอตัวออกไปทำธุระข้างนอก กล่าวได้ว่าไม่มีใครกล้าเผชิญหน้ากับคณะชาวต่างชาติพวกนี้สักคน
แต่มีเพียงฉีเล่ยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คณะชาวต่างชาติที่เข้ามาเยี่ยมชมจะเดินทางมากันวันนี้
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดจะเป็นแผนเอาคืนของซีหลู่เฉิง เพราะเรื่องที่ฉีเล่ยแอบนินทาเขาต่อหน้ารองรัฐมนตรีสาธารณสุข เขาได้ยินหมดแล้วจากคำบอกเล่าต่อกันมาจากปากผู้อื่น
คราวนี้เตรียมใจไว้เลย! ฉันจะรอดูแกต้องอับอายต่อหน้าคณะชาวต่างชาติและลูกศิษย์ทุกคน!
เรื่องจากคลาสของฉีเล่ยค่อนข้างได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นในหมู่นักศึกษา จึงทำให้ทุกครั้งที่มีการบรรยายห้องเรียนมันจะถูกจับจองจนเต็มเสมอ จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะหาที่นั่งให้กับคณะชาวต่างชาติพวกนี้ ตั้งแต่เข้ามาก็ได้แต่ยืนเบียดกันอยู่แถวหลังสุด
ซีหลู่เฉิงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย กวาดสายตาไปโดยรอบทีหนึ่ง พอเห็นว่าไม่เหลือที่ว่างเลยแม้สักที่ บวกกับสายตาของบรรดาชาวต่างชาติที่จ้องเข้ามากดดัน ทำให้สุดท้ายเขาต้องตะโกนเรียกนักศึกษาแถวหลังสุดให้ลุกขึ้นยืน
“พวกเธอลุกขึ้นเร็ว! แถวที่นั่งหลังสุดจองไว้สำหรับคณะอาจารย์จากต่างประเทศ!”
ในสายตาของเขา นักศึกษาเหล่านี้มีความสำคัญน้อยกว่าบรรดาสหายชาวต่างชาติ
จะปล่อยให้พวกเขาเหล่านี้ยืนฟังการบรรยายได้ยังไง? มันไม่น่าอายไปหน่อยเหรอ?
ปล่อยให้พวกฝรั่งยืนรับชมการเรียนการสอน นี่ไม่เท่ากับมทำให้ประเทศชาติขายหน้า?
นี่มันน่าอับอายสิ้นดี!
ถึงนักศึกษาเหล่านั้นจะรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่ได้ยินแบบนั้น แต่มีเหรอที่จะกล้าขัดคำสั่งของหัวหน้าคณะอาจารย์? ไม่ว่าเกรดหลังเรียนจบของพวกเขาจะดีเลิศสักแค่ไหน แต่ถ้าทำให้อาจารย์ระดับสูงในมหาวิทยาลัยขุ่นเคือง พวกเขาก็คงโดนใส่ความจนเรียนไม่จบอยู่ดี
เมื่อพบเห็นภาพฉากนี้ ฉีเล่ยถึงกับขมวดคิ้วแน่นทันที หยุดเนื้อหาการเรียนการสอนลงทั้งหมด และชี้นิ้วใส่ซีหลู่เฉิงพร้อมกล่าวว่า
“ในชั้นเรียนของผมมีกฎที่ว่า ใครมาถึงก่อนย่อมได้สิทธิ์นั่งก่อน ใครมาช้าก็ต้องยืนเรียน ไม่ใช่เพียงแค่นักศึกษา แม้แต่คณะอาจารย์เองก็ไม่มีข้อยกเว้นครับ”
พวกเด็กๆ เหล่านี้มาที่นี่เพื่อฟังคำบรรยายการสอนของเขา ดังนั้นฉีเล่ยจะไม่ยอมให้ใครก็ตามมาชี้นิ้วสั่งและกดขี่ลูกศิษย์ของตนเองดั่ง ‘ทาส’
เมื่อได้ยินคำกล่าวของฉีเล่ยไปดังนั้น นักศึกษาที่ถูกบังคับให้สละที่นั่งก็หยุดชะงักโดยพลัน และกลับไปนั่งดังเดิมอย่างมั่นคง
พวกเขากลัวซีหลู่เฉิงก็จริง แต่พวกเขาก็รักฉีเล่ยเช่นกัน
ความหมายในคำกล่าวของฉีเล่ยค่อนข้างชัดเจน ต่อให้เป็นแพทย์จากโรงพยาบาลชื่อดังระดับโลก แต่ในเมื่อคุณเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ พวกคุณเองก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเช่นกัน
นักศึกษาทุกคนในห้องเรียนล้วนแต่เข้ามาเรียนด้วยใจรัก และทุกคนมีโอกาสที่จะสืบทอดรับมรดกความรู้ต่อจากเขา เพื่อนำไปต่อยอดและช่วยเหลือผูเคนต่อไปในอนาคต ดังนั้นแล้ว พวกคุณที่มาใหม่มีเหตุผลใดไม่ทราบ ถึงกล้ามาบังคับให้เด็กๆ พวกนี้ต้องสละที่นั่ง?
เห็นได้ชัดว่าซีหลู่เฉิงเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า ฉีเล่ยจะไม่ให้หน้าพวกตนะถึงขนาดนี้ และอย่างไรต่อหน้าคณะชาวต่างชาติ เขาจำต้องระงับความโกรธไว้ภายในใจและกล่าวเสียงเย็นเอ่ยขึ้นว่า
“อาจารย์ฉี คุณควรเข้าใจด้วยนะว่า พวกเขาเป็นคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยฟอริด้า การที่เข้ามาเยี่ยมชมการเรียนการสอนขชองคณะเรานับเป็นเกียรติแก่มหาวิทยาลัย แล้วจะปล่อยให้แขกเหล่านี้ยืนฟังได้ยังไงกัน? ถ้ามหาวิทยาลัยอื่นรู้เข้าว่า พวกเราปล่อยให้พวกเขายืนฟังการสอนตั้งแต่ต้นจนจบ คงไม่หัวเราะเยาะพวกเราตาย?”
ฉีเล่ยกล่าสวนตอบไปอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ
“ถ้าจะบอกว่า คุณสามารถปล่อยให้ลูกศิษย์ของผมยืนฟังได้ แล้วทำไมพวกเขาจะยืนไม่ได้เหมือนกัน? ผมรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีต้อนรับพวกเขาเช่นกันที่เข้ามาเยี่ยมชมการสอนของผม เพราะนี่ถือเป็นการสอนให้พวกเขาได้เห็นประโยชน์ของศาสตร์แพทย์แผนจีนของเรา และหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะเห็นค่าและช่วยกันบูราการมันขึ้นมาอีกครั้ง”
“แต่ไม่ว่าจะยังไง ผมขอออกตัวก่อนเลยว่า ตัวผมเองก็เคารพในวิชาชีพศาสตร์แพทย์ตะวันตกเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่อาสาให้คณะอาจารย์จากต่างประเทศเข้ามาเยี่ยมชมแบบนี้ สิ่งที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้ มันไม่ใช่การหักหน้า แต่ผมพูดในฐานะอาจารย์คนหนึ่งที่สอนในชั้นเรียนแห่งนี้ ลูกศิษย์ทุกคนของผมตื่นแต่เช้าและรีบเข้ามาจองที่นั่งด้วยความตั้งใจจริง ในเมื่อพวกคุณมาช้าก็ต้องรับสภาพความเป็นจริง”
“ไม่ใช่ว่าตัวเองจะเลือกใช้สิทธิ์ความเป็นอาจารย์หรือความอาวุโสมาบีบบังคับกันแบบนี้ ขอร้องเถอะครับหัวหน้าคณะซี เลิกทำตัวให้เรื่องน่าอับอายต่อคณะอาจารย์จากต่างประเทศได้แล้ว”
“ฉีเล่ย นี่คุณ…”
ฉีเล่ยมองผ่านอ่านความคิดของซีหลู่เฉิงออกทันทีว่าต้องการจะพูดอะไรต่อ จึงดักทางโต้สวนตอบไปทันทีว่า
“ถ้าไม่สามารถปฏิบัติตามกฎได้ ก็เชิญออกไปครับ”
สีหน้าการแสดงออกของซีหลู่เฉิงดูอับอายอย่างมาก เขาแทบจะต้องการวิ่งไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายเดี๋ยวนี้เลย
เขาอุตส่าห์จงใจพาคณะอาจารย์จากต่างประเทศเข้ามาในชั้นเรียนของฉีเล่ยเป็นที่แรก ตั้งใจจะทำให้ฉีเล่ยต้องอับอายต่อหน้าทุกคนเนื่องจากเตรียมตัวมาไม่ทัน
หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาเล็กน้อย เขาจะใช้โอกาสนี้สร้างปัญหาให้ฉีเล่ยยุ่งเหยิง
แต่สถานการณ์ตอนนี้กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าชัดๆ กลับเป็นตัวเขาเองที่ขุดหลุมดักตนเองชัดๆ ไม่เพียงจะต้องอับอายต่อหน้าพวกนักศึกษาเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังเสียหน้าอย่างหนักต่อคณะชาวต่างชาติที่พามาด้วย
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในคณะชาวต่างชาติหันไปเอ่ยถามซีหลู่เฉิงด้วยสีหน้าหม่องหมนว่า
“หัวคณะซี นี่ตกลงว่ายังไง?”
เนื่องจากเป็นโครงการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศระหว่างมหาวิทยาลัยต่างๆ ในจีนและมหาวิทยาลัยฟอนิด้า ทางกระทรวงการศึกษาของจีนจึงส่งระดับผู้อำนวยการจากมหาวิทยาลัยอีกแห่งมาลงพื้นที่เองด้วย แต่ใครจะไปคาดคิดว่า พอเปิดประตูชั้นเรียนเข้ามาจะต้องพบปัญหาเสียแล้ว
ซีหลาเฉิงกล่าวอธิบายด้วยความเก้อเขินว่า
“เนื่องจากภายในชั้นเรียนแห่งนี้มีจำนวนนักเรียนมากเกินไป ทำให้…ไม่มีที่นั่ง…”
ก่อนหน้านี้ซีหลู่เฉิงถูกทางเบื้องบนระดับรัฐมนตรีตำหนิลงมาอย่างรุนแรง หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวมันยิ่งทำให้เขาเกลียดฉีเล่ยมากขึ้นอีก และคราบความแค้นนี้ไม่มีทางชำระล้างออกได้โดยง่ายแน่นอน
เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้มันเกือบทำให้ซ๊หลู่เฉิงหลุดจากตำแหน่งหัวคณะอาจารย์ไปอย่างฉิวเฉียด
ยังดีที่มีรัฐมนตรีหม่าช่วยเอาไว้ เว้นเสียแต่เขาทำผิดพลาดครั้งร้ายแรงจริงๆ ตราบใดที่มีอีกฝ่ายคอยหนุนหลัง พูดได้เลยว่าซีหลู่เฉิงไม่มีทางหลุดออกจากตำแหน่งได้โดยง่าย
ชายวัยกลางคนหันไปจับจ้องซีหลู่เฉิงด้วยแววตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเกลียดชัง กรนเสียงแข็งกร้าวราวกับเหล็กกล้าดังขึ้นว่า
“นี่คุณไม่ได้เตรียมการอะไรเอาไว้เลยเหรอ?”
ยิ่งเป็นต่อหน้าระดับผู้อำนวยการจากมหาวิทยาลัยอื่นมาเห็นเหตุการณ์แบบนี้เข้า มันยิ่งทำให้ซีหลู่เฉิงขายหน้าเข้าไปใหญ่
แต่ทันใดนั้นชายวัยกลางคนชาวต่างชาติคนหนึ่งผู้ใบหน้าตอบบางกล่าวขึ้นว่า
“ม่ายเป็นไร เรายืนฟังได้ เพราะที่นี่คือคลาสของเขา ดังนั้นพวกเราเองก็ควรเคารพในการตัดสินใจของเขาเช่นกัน”
เขาเป็นผู้ชายอายุประมาณ40ปีเห็นจะได้ ใช่ชุดสูททรงพอดีตัว ใส่แว่นชั้นหนา ใบหน้าดูเคร่งครึมตลอดเวลา ปราศจากรอยยิ้ม ราวกับเป็นคนเอาจริงเอาจังตลอดเวลา
ทักษะภาษาจีนของเขาคนนี้ค่อนข้างดี แม้ว่าจะมีบางคำที่ต้องพยายามดัดลิ้นจนเสียงเพื้ยนออกไปบ้าง
แต่ถึงเป็นแบบนั้น ทุกคนก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เขากล่าวได้อย่างชัดเจน
จากนั้นเขาก็หันไปอธิบายให้บรรดาเพื่อนพ้องฟังเป็นภาษาอังกฤษอีกทีหนึ่ง
ทุกคนต่างปั้นหน้าแปลกใจ ไม่นึกเลยว่า พวกตนจะถูกปฏิบัติเช่นนี้จริงๆ
เวลาที่พวกเขาเดินทางไปเยี่ยมเยียนมหาวิทยาลัยแพทย์อื่นๆ ในจีน ทุกครั้งมักจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมอ
ไม่เพียงจะเว้นแถวหน้าสุดของชั้นเรียนให้เท่านั้น แต่ยังมีการจัดเตรียมสมุด ปากกา และแก้วน้ำดื่มอย่างเป็นระเบียบ
การต้อนรับที่พิถีพิถันใส่ใจแบบนี้ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกพึงพอใจไปในตัว
ทว่าคนจีนคนนี้กลับไม่ให้เกียรติพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อหัวหน้าคณะของพวกเขาเอ่ยปากบอกเองว่า ไม่เป็นไร ทุกคนก็ทำได้เพียงปิดปากเงียบและยืนฟังอาจารย์หนุ่มบรรยายเรื่องยาจีนลวงโลกต่อไป