ยอดคุณหมอสกุลเฉิน - ตอนที่214 ผู้หญิงเห็นแก่ตัว
ตอนที่214 ผู้หญิงเห็นแก่ตัว
ฉีเล่ยคลี่ยิ้มอย่างขมขื่นใจ พลางปรายตามองสีหน้าประหลาดใจของหลินชูวโม่ และรู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่
ผู้หญิงคนนี้ ทำไมถึงต้องพูดอะไรออกมาให้ฟังดูคลุมเครือด้วยนะ?
ประโยคที่ว่า ‘เมื่อเทียบกับสิ่งที่คุณทำให้ฉัน’ มันฟังดูสองแง่สองง่ามไม่ใช่น้อยเลย เหมือนกับว่าเขาเป็นหนุ่มเพลย์บอยผู้แสนซุกซน ที่เที่ยวมอบความอบอุ่นให้กับสาวเปลี่ยวไร้คู่อะไรเทือกนั้น
“เข้าไปคุยกันข้างในกันดีกว่านะคะ ยืนคุยแบบนี้คงจะเมื่อยแย่”
หลินชูวโม่ยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยบอกชูซินซูด้วยน้ำเสียงสุภาพอ่อนโยน ก่อนจะปรายสายตาคมกริบประหนึ่งคมมีดไปทางฉีเล่ยหนึ่งที
คลินิกชูวโม่ตั้งอยู่ในย่านใจลางเมือง และการที่มีรถหรูสามคันจอดเรียงรายกันเป็นแถวติดกันเช่นนี้ อีกทั้งยังมีกลุ่มบอดี้การ์ดสวมแว่นดำนับสิบคนที่ยืนทำหน้าตาขมึงทึงอยู่หน้าร้าน ทำให้ยิ่งดึงดูดสายตาของผู้คนที่ผ่านไปมาเข้าไปใหญ่
มิหนำซ้ำยังมีหญิงสาวที่สวยงามราวกับเจ้าหญิงยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางบอดี้การ์ดเช่นนี้ คงต้องมีใครเผลอมองจนสะดุดล้มกันบ้างล่ะ
ชูซินซูพยักหน้าตอบรับ และเดินตามหลินชูวโม่เข้าไปในคลีนิกทันที
คลินิกชูวโม่ถือได้ว่าเป็นสถานที่ซึ่งเหล่าก๊วนสาวกลุ่มเล็กๆภายในเมืองมักจะนัดมาเจอกัน ลูกค้าที่มาที่นี่ส่วนใหญ่นั้น ก็เพื่อมาจับกลุ่มซุบซิบนินทากัน และจิบชายามว่างเพื่อฆ่าเวลาเล่น นานวันเข้าก็กลายมาเป็นสถานที่นัดรวมพล ผู้หญิงเหล่านี้มักจะนัดกันมาที่นี่เป็นประจำแทบทุกวันเพื่อจะได้พูดคุยสนทนาเพื่อความบันเทิง
ทุกคนที่สามารถมาใช้บริการที่นี่ได้นั้น ต้องเป็นผู้มีอันจะกินในระดับหนึ่งจึงจะสามารถสมัครสมาชิกที่คลินิกแห่งนี้ได้ คนเหล่านี้จึงไม่ต้องมานั่งครุ่นคิดเรื่องการทำมาหากิน
ทันทีที่เห็นหลินชูวโม่เดินเข้ามา ลูกค้าสาวๆที่อยู่ในร้านต่างก็พากันทักทายพร้อมกับพูดจาหยอกเย้าติดตลก แต่เมื่อเห็นชูซินซูที่เดินตามหลังอีกฝ่ายเข้ามานั้น ทุกคนต่างก็พากันกลืนคำพูดกลับลงลำคอไปแทบไม่ทัน
แม้ว่าทั้งหมดในที่นี้จะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ต่อหน้าชูซินซูแบบนี้ เสมือนว่ามีแรงกดดันอะไรบางอย่างที่ผุดขึ้นจากส่วนลึกของจิตใจพวกเธอ จนไม่ต้องหุบปากไม่กล้าเปล่งเสียงดังรบกวนใดๆอีกต่อไป
แม้ว่าลูกค้าสาวๆที่นั่งอยู่ภายในร้าน จะไม่ใช่คนที่สามารถไต่เต้าขึ้นไปอยู่ในระดับมหาเศรษฐีบนยอดปีรามิดของเมืองหลวงอย่างปักกิ่งได้ แต่ทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเธอเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่ไม่ต่ำกว่าร้อยล้านหยวนทั้งนั้น ฉะนั้นแล้ว ลูกค้าของคลินิกเสริมความงามแห่งนี้ จึงนับว่าเป็นผู้ที่มีหน้ามีตาในสังคม และเป็นพวกหัวสูงอยู่ไม่ใช่น้อยเลย
และเมื่อได้เห็นสายตาอันเฉียบคมเด็ดเดี่ยวของชูซินซู ซึ่งไม่แม้แต่จะปรายตามองมาทางพวกเธอนั้น ลูกค้าสาวกลุ่มนี้จึงตระหนักได้ทันทีว่า พวกเธอและหญิงสาวคนนี้ต่างอยู่กันคนละระดับชั้นอย่างสิ้นเชิง
กลุ่มบอดี้การ์ดของชูซินซูได้รับการต้อนรับอย่างดี พวกเขาได้รับเชิญให้ไปนั่งรอที่ชั้นล่างของคลินิก แต่ละคนเพียงนั่งพักเอนกายเล็กน้อยเพื่อพักผ่อนและดื่มชาระหว่างรอ มีเพียงบอดี้การ์ดหญิงนามว่า หม้าเยวี่ยเท่านั้นที่ได้ขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับคนอื่นๆ
ภายใต้การเตรียมการอย่างพิถีพิถันด้วยตัวเองของหลินชูวโม่ เธอได้เนรมิตห้องส่วนตัวบนชั้นสามให้กลายมาเป็นห้องรับแขกสุดหรูหราที่สุด เพื่อใช้ต้อนรับการมาของชูซินซู ทั้งยังมีชุดกาน้ำชาและถาดขนมผลไม้วางไว้ต้อนรับอีกด้วย
หลังจากเดินนำขึ้นมาส่งถึงห้องรับแขกสุดหรูแล้ว หลินชูวโม่จึงได้พูดขึ้นว่า
“ถ้าอย่างงั้นดิฉันไม่รบกวนคุณผู้หญิงแล้วนะคะ เชิญพวกคุณสองคนพูดคุยกันตามสบาย แต่ถ้าต้องการอะไรก็เรียกดิฉันได้ตลอดเวลานะคะ”
แต่ก่อนที่จะเดินออกไปนั้น หลินชูวโม่ก็ยังไม่วายที่จะปรายตามองไปทางฉีเล่ยอีกครั้ง แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง จากนั้นจึงค่อยปิดประตูห้องแล้วเดินเดินจากไป
มื้อเช้า ถงเซียวเซียวทำไข่ดาวกับขนมปังให้ฉีเล่ยทาน และถึงแม้จะตบท้ายด้วยนมไปแก้วหนึ่งแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่รู้สึกอยู่ท้องสักเท่าไหร่นัก
เธอคงจะมาปรึกษาเรื่องโรคที่กังวลเหมือนเดิมล่ะมั้ง…
ระหว่างที่คิดนั้น ฉีเล่ยก็ได้ยื่นมือออกไปหยิบไม้จิ้มฟันจิ้มแตงโมสีดแดงสด ซึ่งถูกปลอกเปลือกออกไว้ให้ดูน่ากินมาหนึ่งชิ้น ก่อนจะโยนเข้าปากของตัวเองในทันที ขณะที่เคี้ยวก็เอ่ยถามออกไปว่า
“ไม่ทราบว่าวันนี้คุณชูเจ็บป่วยไม่สบายเป็นอะไรเหรอครับ ถึงต้องมาหาผมถึงที่นี่?”
ฉีเล่ยฝืนยิ้มให้อีกฝ่าย พร้อมกับเอ่ยถามออกไปอย่างตรงไปตรงมา จะได้จบๆเรื่องซะที
“ไม่ได้เป็นอะไร และที่ฉันมาในวันนี้ ก็เพราะมีเรื่องที่จะต้องตกลงกับคุณ”
ชูซินซูส่งยิ้มหวานให้กับเขา เธอนั่งไขว่ห้างเผยให้เห็นขาอ่อนขาวนวลเนียน สายตาก็จับจ้องอยู่ที่ฉีเล่ยซึ่งกำลังนั่งกินแตงโมอย่างเอร็ดอร่อย และดูเหมือนว่าเธอจะสนอกสนใจทุกอากัปกิริยาของเลยทีเดียว
“ข้อตกลง? ข้อตกลงอะไรครับ?”
ฉีเล่ยหยุดเคี้ยวทันที พร้อมกับเอ่ยถามทั้งที่ยังมีแตงโมอยู่เต็มปาก
เมื่อพูดถึงคำว่าข้อตกลง นั่นย่อมหมายความว่า เธอต้องการบางสิ่งบางอย่างจากเขา แต่หญิงสาวที่มีฐานะอยู่ในระดับมหาเศรษฐีอย่างเธอ ควรจะต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตครบครันแล้วไม่ใช่หรือยังไง? แล้วยังต้องการอะไรจากฉันอีก ถึงได้บอกว่ามีเรื่องจะต้องการจะมาตกลง?
“คนอย่างคุณชูน่าจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการในชีวิตแล้วนี่ครับ ทำไมยังต้องการจะมาทำข้อตกลงอะไรกับผมอีก? หรือว่า…เรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับตัวผม?”
“ถูกต้อง”
ชูซินซูเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“เรื่องอะไร?”
สีหน้าของฉีเล่ยเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นในทันที
“หย่ากับภรรยาคนนั้นซะ”
ชูซินซูตอบกลับฉีเล่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดอย่างยิ่ง
ทันทีที่ได้ยินคำตอบของหญิงสาว ฉีเล่ยก็ถึงกับตกใจจนสำลักแตงโมในปากที่ยังเคี้ยวไม่ละเอียด เขาไอจนน้ำหูน้ำตาไหล และรีบหยิบกระดาษทิชชูข้างโต๊ะขึ้นมาเช็ดโดยเร็ว
หลังจากกระดกน้ำในแก้วขึ้นดึ่มแล้ว จึงรีบร้องถามออกไปว่า
“นี่คุณหมายความว่ายังไง? ผมไม่เข้าใจ?”
“ก็หมายความว่า คุณต้องแต่งงานกับฉัน แต่ก่อนจะแต่ง คุณต้องไปหย่ากับภรรยาเก่าของคุณให้เรียบร้อยซะก่อน ส่วนข้อตกลงที่ฉันพูดถึงก็คือ ถ้าคุณรับปากฉัน ฉันก็จะช่วยสนับสนุนคุณทุกหนทาง หรือถ้าคุณสนใจอยากจะลงทุนทำธุรกิจ ฉันก็พร้อมที่จะสนับสนุน เห็นไหมว่า ประโยชน์ที่คุณจะได้รับหลังการหย่านั้นคุ้มค่ามากแค่ไหน?”
ชูซินซูพูดเรื่องเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้หญิงคนนี้นับว่าเป็นนักธุรกิจอย่างแท้จริง แม้ขณะที่พูดเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ออกมา สีหน้าท่าทางของเธอกลับยังคงเรียบเฉย ไม่แสดงท่าทีประหม่าเก้อเขินออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
ฉีเล่ยรู้ดีว่า แม้สิ่งที่หญิงสาวคนนี้พูดมาจะฟังดูดีอย่างมาก หากตกลงเขาจะได้ภรรยาใหม่ที่ทั้งสวยกว่าและร่ำรวยกว่าภรรยาเก่า แต่หากเขาตอบตกลงจริงๆ สิ่งนี้ก็จะนำพาปัญหาต่างๆมากมายมาสู่ชีวิตของเขาอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ที่ชูเฟิงอี้เคยยื่นข้อเสนอแบบเดียวกันนี้ ฉีเล่ยก็รู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่การทดสอบของเขาเท่านั้น แต่เมื่อชูซินซูถึงขั้นเอ่ยปากออกมาด้วยตัวเองเช่นนี้ กระทั่งตัวเขาเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน
กับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้หญิง คุณไม่มีทางที่จะมองหาเหตุผลจากพวกเธอได้เลยจริงๆ
“ถ้าผมอยากหย่ากับภรรยาจริง คงจะตกลงไปตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปบ้านคุณแล้วล่ะ นี่คุณยังจะกล้ายื่นข้อเสนอแบบนี้ให้ผมอีกงั้นเหรอ?”
“แล้วยังไง ใครจะไปรู้…ไม่แน่ว่าครั้งนี้คำตอบอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้”
ชูซินซูตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“นี่ผมถามจริงๆเถอะ คุณทำแบบนี้เพื่ออะไร?”
ฉีเล่ยเอ่ยถามไปอย่างตรงไปตรงมาด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจไม่น้อย เวลานี้ เขาต้องระมัดระวังชูซินซูมากกว่าใครๆ ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่า หญิงสาวคนนี้ฉลาดเกินกว่าที่ใครจะควบคุมได้อยู่
ดั่งที่นักปราชาญ์ท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า
‘ยิ่งสตรีมีปัญญาล้ำเลิศมากเพียงใด สตรีผู้นั้นยิ่งน่ากลัวดั่งมารร้าย แก่นแท้ของพวกเธอเหล่านี้หาใช่ผู้บรรลุ แต่เป็นจิ้งจอกที่เต็มไปด้วยความปรารถนา’
ชูซินซูคนนี้จะไม่ยอมกลายมาเป็นบ้านเล็กบ้านน้อยของใครอย่างแน่นอน ด้วยภูมิหลังทางครอบครัวของเธอ หากเธอต้องการผู้ชายคนใด ก็ย่อมต้องได้มาครอบครอง และแน่นอนว่าจะต้องเป็นที่หนึ่งเท่านั้นด้วย
แต่เหตุการณ์ลักษณะนี้มันจะไม่ดูเป็นเรื่องไร้เหตุผลเกินไปหน่อยเหรอ?
ด้วยความสวยและความเฉลียวฉลาดของหญิงสาวคนนี้ ชายใดได้ไปครอบครองคงต้องรู้สึกปิติยินดีแน่ แต่นั่นไม่ใช่เขา!
ฉีเล่ยอดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่า หากเขาแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้จริง ชีวิตของเขาจะหลังจากนั้น จะเหมือนขึ้นสวรรค์หรือลงนรกกันแน่? เธอคนนี้เป็นผู้หญิงที่อันตรายเกินไป การหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอกับเธอจึงนับเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
ถ้าครั้งหน้าต้องมาพบเธออีก ฉีเล่ยคงต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่านี้
“เพื่อแก้ปัญหาในหลายๆเรื่อง”
ชูซินซูเอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน
“ปัญหาอะไร? อย่างคุณยังมีอะไรให้เป็นปัญหาเดือดร้อนได้อีก?”
ฉีเล่ยขมวดคิ้วแน่น สีหน้าบ่งบอกถึงความอยากรู้อยากเห็นเต็มที เขาอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่า ยังมีสิ่งใดที่สามารถสร้างความลำบากใจให้แก่ผู้หญิงคนนี้ได้อีก?
“เรื่องคู่ครองยังไงล่ะ”
ฉีเล่ยถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่ได้ยิน เขาพยักหน้าเล็กน้อย และพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ให้ตัวเองใจเย็นลง ก่อนจะเอ่ยปากอธิบายไปว่า
“ผมเข้าใจในสิ่งที่คุณกำลังสื่อนะ แล้วผมก็ยังเข้าใจสถานการณ์ที่คุณกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ด้วย แต่ถ้าเลือกที่จะแก้ปัญหาแบบนี้ กลับเป็นตัวผมที่ต้องลำบากในท้ายที่สุด”
“แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจเลยก็คือ คุณไปหาผู้ชายคนอื่นไม่ได้เหรอ? ทำไมถึงต้องตามตื้อผมขนาดนี้ด้วย? คุณทำเพื่ออะไร? คุณหนูใหญ่แห่งสกุลชู ทั้งสวยทั้งรวยแถมยังฉลาดอีกด้วย ผู้หญิงอย่างคุณมีผู้ชายที่ไหนบ้างที่ไม่อยากได้ไปเป็นคู่ครอง? ไม่ว่าจะเป็นดาราดาวรุ่งสุดฮอต มหาเศรษฐีหนุ่ม หรือแม้แต่พ่อมดแห่งวงการธุรกิจอะไรพวกนั้น ผมว่าคนพวกนี้คงต้องยอมพลีกายเป็นตัวเลือกให้คุณหมดแน่ แล้วทำไมยังต้องเลือกผม? ผมจะบอกอะไรให้ ผมไม่ใช่ผู้ชายที่เลิศเลอสมบูรณ์แบบอย่างที่คุณตามหาหรอกนะ เพราะฉะนั้นลืมมันไปซะ!”
ใช่ว่าฉีเล่ยจะต้องการพูดจาเยาะเย้ยถากถางตัวเอง เพียงแต่เขาไม่เข้าใจจริงๆว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้ตามตื้อเขาไม่ยอมปล่อยขนาดนี้?
เพื่อต้องการช่วยคนๆหนึ่งแก้ไขปัญหา ทำไมเขาถึงต้องยอมทำลายชีวิตครอบครัวของตัวเองเพื่อผู้หญิงคนนี้คนเดียวด้วย?
บางทีจุดประสงค์ที่แท้จริงของชูซินซูนั้น อาจเพียงแค่อยากจะแต่งกับเขาเพื่อใช้เขาเป็นโล่กำบัง ป้องกันไม่ให้ปัญหาเรื่องรักๆใคร่ๆเข้ามารุมเร้าตัวเธอได้ แต่เธอเคยคิดบ้างไหมว่า หลังจากนั้นปัญหาทั้งหมดจะไปตกที่ใครแทน?
นี่ก็แค่ละครฉากหนึ่งที่สวมบทเป็นสามีจอมปลอม เพื่อรอจนกว่าเธอจะได้พบเจอผู้ชายที่เหมาะสมกับตนเองอย่างแท้จริง และเมื่อถึงตอนนั้น ฉีเล่ยอาจจะโดนถีบหัวส่งก็ได้ใครจะไปรู้?
และเพราะเหตุผลนี้นี่เอง ในสายตาของฉีเล่ยจึงมองเห็นชูซินซูเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวยิ่งกว่าอะไรดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตรรกะงี่เง่าแบบนี้ของเธอ!